บทที่ 106 : เข้าสู่เทือกเขา
หลิวเยว่เอ๋อร์เมื่อเห็นท่าทางไม่ใส่ใจของจ้าวเฟิง ราวกับว่าไม่มีอัจฉริยะผู้ใดสามารถเข้าไปในสายตาของเขาได้ กระทั่งยามที่เขามองไปยังผู้ฝึกตนขั้นเก้าก็ยังคงเรียบเฉยไร้อารมณ์
หึ!
คิ้วของหลิวเยว่เอ๋อร์กระตุกเล็กๆ และนางไม่หลบซ่อนความหยามเหยียดในแววตา อัจฉริยะในที่นี้ล้วนเยาว์วัย ไม่ว่าผู้ใดต่างก็เป็นอัจฉริยะในพรรค สำนัก และตระกูลของพวกเขา และต่างมั่นใจในตนเองอย่างที่สุด
จ้าวเฟิงพลันตระหนักได้ว่าท่าทางของเขานั้นค่อนข้างเหยียดหยามผู้อื่น เขาสนใจเพียงแค่เป่ยโม่ย ผู้อื่นไม่อาจเข้าตาของเขาได้
“เจ้าเมืองกว่านจวิน กายจิตวิญญาณใดที่ศิษย์ของท่านมี?” เจ้าเมืองชางตี้เอ่ยถามอย่างสงสัย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มเยาะหยันก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหนานกงฟั่น
เจ้าเมืองกว่านจวินส่ายศีรษะ
“ทั่วไป”
บุรุษวัยกลางคนไม่ต้องการจะเอ่ยถึงพรสวรรค์ของจ้าวเฟิง ทว่าท่าทางของเขากลับทำให้เจ้าเมืองชางตี้และหลิวเยว่เอ๋อร์รู้สึกสงสัยยิ่งขึ้น
“ข้าไม่เชื่อว่าพรสวรรค์ของเขาจะเหนือกว่าข้า”
ความมั่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิวเยว่เอ๋อร์
ยามราตรี
เหล่าเด็กหนุ่มสาวเริ่มพูดคุยกันเองขณะที่เฝ้ารอวันที่จะมาถึง บางครั้งพวกเขาก็ได้ต่อสู้กันเอง
“เซี่ยวซุน! อย่าได้คิดว่าเจ้าจะสามารถดูแคลนพวกข้าได้เพียงเพราะเจ้าเข้าสู่ขั้นเก้า!”
ไม่ห่างไกลนักปรากฏเสียงโต้เถียงขึ้น ทุกคนต่างเบนศีรษะของตนไปยังต้นเสียงก่อนจะพบเด็กหนุ่มผู้ฝึกตนขั้นเก้าในชุดสีดำผู้หนึ่งกำลังโต้เถียงกับเด็กหนุ่มคนอื่นๆ
เด็กหนุ่มชุดดำนั้นคือเซี่ยวซุน เด็กหนุ่มขั้นเก้าเพียงคนเดียว
“เจ้าพวกอ่อนแอ!” เซี่ยวซุนกวาดตามองเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ที่มีพลังฝึกตนในขั้นเจ็ดและแปด
กลิ่นอายของผู้ฝึกตนขั้นเก้าของเขาถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้เด็กหนุ่มผู้อื่นไม่อาจหายใจได้อย่างสะดวก
“มีอันใดต้องกลัว? โจมตีพร้อมกัน!”
เด็กหนุ่มขั้นแปดสองคนกระโจนเข้าหาร่างของเซี่ยวซุนจากด้านซ้ายและขวา ทั้งสามพลันเริ่มต่อสู้กันในทันที
เด็กหนุ่มสาวทุกคนที่นี่ล้วนฝึกฝนวิชาระดับสูงและเป็นยอดฝีมือในที่ของตน เด็กหนุ่มผู้ฝึกตนขั้นแปดทั้งสองนั้นกระทั่งสามารถตอบโต้ผู้ฝึกตนขั้นเก้าได้ ทว่าเซี่ยวซุนนั้นได้ฝึกฝนวิชาเคลื่อนไหวและวิชาโจมตีที่ล้วนแล้วแต่เป็นวิชาเซียน ทำให้เขาสามารถเอาชนะทั้งสองได้ในไม่กี่กระบวนท่า
“ความแข็งแกร่งของเซี่ยวซุนนั้นค่อนข้างใกล้เคียงกับเป่ยโม่ย” จ้าวเฟิงคิด
มันเป็นเวลากว่า 20 วันแล้วที่เป่ยโม่ยจากไป และความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวของหนทางแห่งเซียนในตอนนั้น บัดนี้เขาได้เข้าร่วมสำนักแล้วเขาจะกระทั่งแข็งแกร่งขึ้นอีกหรือไม่?
“เซี่ยวซุนผู้นี้มาจากตระกูลที่ใหญ่ที่สุด ตระกูลเซี่ยว ตระกูลนี้นั้นได้ก่อตั้งมายาวนานกว่าพันปีและพลังอำนาจของพวกเขานั้นไม่อาจนับว่าด้อยกว่านครหลวงได้เลย” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเฟิงได้ยินเกี่ยวกับขั้วอำนาจในจักรวรรดิเมฆาซึ่งทรงพลังยิ่งกว่านครหลวงกว่านจวิน ทว่าแม้กระนั้น ตระกูลเหล่านี้ก็ยังต้องพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะส่งลูกหลานเข้าไปในสำนัก
ตุบ! ตุบ!
เซี่ยวซุนเอาชนะเด็กหนุ่มผู้ฝึกตนขั้นแปดทั้งสองได้ในไม่ช้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ข้าย่อมเป็นอันดับหนึ่งในการสอบเข้า!” เซี่ยวซันหัวเราะเสียงลั่น
อันดับหนึ่ง?
คำพูดของเขาสร้างความเป็นศัตรูให้กับอัจฉริยะผู้อื่นเช่นหลิวเยว่เอ๋อร์และองค์หญิงอวิ๋นเมิ่งเซียง
มีคนจำนวนจำกัดที่สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมสำนัก ตามที่จ้าวเฟิงรู้ มีการทดสอบทั้งหมดสามการทดสอบ และคะแนนนั้นจะถูกให้จากทั้งสามการทดสอบ
ลำดับนั้นจะถูกจัดตามคะแนนรวม มีเพียง 20 คนแรกที่จะได้เข้าสำนัก ตัวอย่างเช่นหากสำนักจันทร์สลายต้องการรับศิษย์ทั้งหมด 20 คน พวกเขาก็จะรับเพียง 20 อันดับแรก ยิ่งอันดับสูงเท่าใดก็ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นที่พวกเขาจะถูกรับเข้าไปโดยพวกระดับสูงในสำนัก
เจ้าเมืองกว่านจวินได้พูดคุยกับจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ ในเรื่องนี้ก่อนหน้า และบัดนี้เซี่ยวซุนได้เล็งไปที่อันดับหนึ่งซึ่งทำให้คนอื่นๆ รู้สึกเคืองโกรธเล็กๆ แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดท้าทายเขาเพราะอีกฝ่ายนั้นมีพลังฝึกตนสูงที่สุด และสำนักนั้นได้ทดสอบจาพรสวรรค์ ความแข็งแกร่ง และความเข้าใจ
พรสวรรค์นับเป็นหกส่วนในสิบส่วน ซึ่งหมายความว่าแม้เจ้าจะแข็งแกร่งที่สุด เจ้าอาจไม่ได้รับอันดับหนึ่ง
“หึ! พรสวรรค์นับว่าสำคัญที่สุด!”
“ถูกแล้ว! ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงไรในตอนนี้ เจ้าก็ยังจะถูกจำกัดด้วยความขาดพรสวรรค์”
เด็กหนุ่มสาวคนอื่นๆ เอ่ย ทว่าไม่มีผู้ใดท้าประลองเขา
เหล่าคนรุ่นก่อนไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเหล่าเด็กหนุ่มสาวเมื่อพวกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงการละเล่นของเหล่าเด็กๆ
“เซี่ยวซุน อวิ๋นเมิ่งเซียง หลิวเยว่เอ๋อร์ ซุนหยวนเฮ่า…”
ดวงตาของจ้าวเฟิงจับจ้องไปยังผู้ที่เขาคิดว่าน่าจับตามองที่สุด
ผู้ที่มีพลังฝึกตนสูงที่สุดคือเซี่ยวซุน จากนั้นจึงเป็นอวิ๋นเมิ่งเซียงและหลิวเยว่เอ๋อร์ซึ่งล้วนแล้วแต่งดงามยิ่งนัก
สุดท้ายจึงเป็นซุนหยวนเฮ่า
เหตุผลที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสนใจอีกฝ่ายนั้นเป็นเพราะเขาอายุเพียง 13-14 ขวบปี ทว่าได้เข้าสู่ขั้นแปดแห่งหนทางผู้ฝึกตนแล้ว
ซุนหยวนเฮ่านั้นมีใบหน้าใสกระจ่างและตัวเล็กยิ่งนัก ทว่าจ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับเป่ยโม่ยจากร่างของอีกฝ่าย หลังจากที่รู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องซุนหยวนเฮ่าจึงหันมายิ้มให้จ้าวเฟิงอย่างไร้เดียงสา
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา แสงซีดจางก็ปรากฏขึ้นบนท้องนภา ยามย่ำรุ่งได้มาถึง แสงอาทิตย์ส่องไปยังเมฆหมอกของเทือกเขาจันทร์นภา สะท้อนกลายเป็นแสงสีเงินสว่างงดงาม
รูปร่างของเทอกเขาปรากฏขึ้น ทว่าหมอกรอบภูเขานั้นก็ยังคงทำให้มันยากที่จะมองเห็นภายในได้
ในที่สุดจ้าวเฟิงก็ดูเหมือนจะนึกถึงภาพหนึ่งขึ้นได้ เป็นภาพของบึง แม่น้ำ และกระทั่งพื้นที่เพาะปลูก บนสุดของเนินเขาเขียวขจีปรากฏสิ่งก่อสร้างขึ้นจำนวนมาก
เมื่อเด็กหนุ่มใช้ดวงตาซ้ายอย่างเต็มที่ เขาจึงมองเห็นตำหนักสีเขียวเข้มล่องลอยอยู่ใจกลางนภาพร้อมกับสายฟ้าสีครามที่แล่นอยู่รอบๆ…
“อันใดกัน!? ตำหนักทั้งตำหนักลอยอยู่ใจกลางอากาศระหว่างสายฟ้า?” จ้าวเฟิงนิ่งอึ้ง
ทุกๆ สิ่งภายในสำนักนั้นดูเหมือนจะแตกต่างจากโลกภายนอก ตำหนักนั้นน่าตะลึงยิ่งนักเมื่อมันตั้งใจอยู่ใจกลางกระแสสายฟ้าและสายลม ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์
หัวใจของเด็กหนุ่มไม่อาจเยือกเย็นลงได้และเขารู้สึกได้ถึงดวงตาซ้ายที่เต้นตุบราวกับว่ามันรู้สึกได้ถึงบางอย่าง เขาต้องการที่จะถามผู้อื่น ทว่าเขาไม่อาจทำได้เมื่อตำหนักนั้นอยู่ห่างไกลยิ่งนักและซ่อนอยู่ใจกลางหมอกที่กระทั่งผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณยังมิอาจมองผ่านได้
ซู่ววว วิ้งง
ประกายแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นบนผาฝั่งตรงข้าม จ้าวเฟิงเห็นประตูหินหนักหลายร้อยกิโลกรัมค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า
“ประตูเปิดแล้ว!”
ฝูงชนร้องตะโกนอย่างยินดี
ปึก! ปึก! ปึก!
ร่างสองสามร่างพลันพุ่งมาตามทางเดินรูปตัวยู
“การทดสอบเข้าสำนักจะเริ่มในไม่ช้า” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยเตือนศิษย์ทั้งสามก่อนจะนำทางไป
หลังจากไปถึงสุดท้าย พวกเขาก็ได้อยู่เบื้องหน้าประตูหิน ประตูหินนี้เป็นทางเข้าของสำนักจันทร์สลาย
มีชายหนุ่มสี่คนยืนอยู่ข้างหน้าและทุกคนล้วนมีกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวซึ่งทำให้กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นเก้าต้องตัวสั่น
จ้าวเฟิงเปิดดวงตาซ้าย พบว่าพลังของชายหนุ่มทั้งสี่นั้นเทียบเท่าได้กับเจ้าเมืองกว่านจวิน เจ้าเมืองกว่านจวินนั้นอยู่ในนภาที่สองของขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ชายหนุ่มเหล่านั้นเองก็ใกล้เคียงกัน
“คารวะ ผู้คุมกฎชิว!”
สมาชิกของสำนักปรากฏตัวขึ้นเมื่อกลุ่มคนได้เข้ามาภายในเทือกเขา มีทั้งหมดสิบกว่าคน และทั้งหมดต่างส่งกลิ่นอายทรงพลังออกมา
คนเหล่านี้ต่างสวมใส่เสื้อที่มีแถบสีดำและล้วนแล้วแต่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ผู้นำของพวกเขาคือชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกว่า ‘ผู้คุมกฎชิว’
“คารวะ ผู้คุมกฎชิว!”
เจ้าเมืองกว่านจวินและคนอื่นๆ ต่างเข้าไปค้อมคำนับ เหล่าเด็กหนุ่มสาวเบื้องหลังพวกเขาพลันทำตามในทันที
จ้าวเฟิงไม่รู้สึกถึงสิ่งใดจากผู้คุมกฎชิวเลยแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อเขาเปิดดวงตาซ้ายออก เขากลับรู้สึกได้ถึงพลังที่น่าสะพรึงกลัวจากอีกฝ่ายซึ่งทำให้โลหิตของเขาเดือดพล่าน
“ความแข็งแกร่งของผู้คุมกฎชิวผู้นี้เหนือกว่าเหล่าอาจารย์นัก เขาสามารถฆ่าผู้ฝึกตนในหนทางแห่งเซียนเหล่านั้นได้ด้วยนิ้วเพียงหนึ่งนิ้ว”
จ้าวเฟิงสรุปอย่างรวดเร็วและปิดความสามารถของดวงตาเขาเพราะเขากลัวว่าจะถูกค้นพบโดยอีกฝ่าย
“ทุกคนตามข้ามา”
ดวงตาของผู้คุมกฎชิวกวาดผ่านร่างของผู้คนราวกับกำลังมองมดปลวก
ไม่ช้า ทั้งกลุ่มก็ได้มาถึงเบื้องหน้าแท่นหินขนาดใหญ่ บนแท่นหินนั้นปรากฏแท่งคริสตัลสูงสิบเมตรและกว่างครึ่งเมตร ส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์
“การทดสอบแรก แท่งจิตวิญญาณนภา ทุกคนมาและรับลำดับของพวกเจ้าไป”
ผู้คุมกฎชิวเอ่ยสั่งเหล่าผู้เป็นอาจารย์ให้นำศิษย์ของตนมาสมัครและรับลำดับของพวกเขา
“จ้าวเฟิง หมายเลข 49 ”
“หยางชิงชั่น หมายเลข 50”
หลังจากได้ป้ายลำดับแล้ว จ้าวเฟิงเห็นว่าศิษย์บางคนได้มาเฝ้าดู หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มหล่อเหลาสวนเสื้อแถบสีดำซึ่งแย้มยิ้มขณะที่เอ่ยกับเจ้าเมืองกว่านจวิน
“ท่านลุงเซว่ยัน เราพบกันอีกแล้ว”
หยางชิงชั่นและคนอื่นๆ ต่างมองไปยังอีกฝ่ายด้วยความหวาดระแวงและไม่เป็นมิตร
บุรุษหล่อเหลาผู้นี้คือกวานเฉิน ผู้ที่ได้นำตัวเป่ยโม่ยไปในวันนั้น