บทที่ 135 : ก่อกำเนิดปราณ
หลังจากเอาชนะเจียงอวี่เยี่ยนและเซี่ยวซุนแล้ว จ้าวเฟิงก็มีความรู้สึกโดดเดี่ยว
ในเวลานี้ เขารู้สึกว่าวิชากำแพงเงินของเขานั้นเข้าใกล้ระดับสิบอย่างมาก เขาต้องการเวลา 6-15 วันเป็นอย่างมากก่อนที่มันจะทะลวงระดับ
ภายในมิติในดวงตาซ้ายของเขา แสงสีครามได้ส่องสว่างมีรัศมีราวๆ 9.9 ฟุตและดูราวกับว่ามันได้เข้าถึงขีดจำกัด
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นเมื่อแสงนั้นขยายเกิน 9.9 ฟุต
ก่อนที่จ้าวเฟิงจะได้พักถึงครึ่งวัน แขกสองคนก็ได้มาหาเขา
“รองหัวหน้าตำหนักกวน รองหัวหน้าตำหนักจาง เหตุใดพวกท่านจึงมาที่นี่กัน?”
เด็กหนุ่มประหลาดใจ รองหัวหน้าตำหนักทั้งสองนั้นได้มายังสวนเล็กๆ ของเขาในเวลาเดียวกัน
เขาพลันต้อนรับทั้งสองเข้าด้านในและคิดว่าหรือทั้งสองจะ ‘ตกลงกัน’ ได้แล้ว
ทว่าเกินคาดเมื่อทั้งสองนั้นต่างเงียบงันและไม่ได้เอ่ยโต้เถียงกันแม้แต่น้อย สิ่งที่พวกเขาทำมีเพียงมองไปยังเด็กหนุ่มและถอนหายใจ
“เกิดอันใดขึ้น…?”
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าสถานการณ์นั้นแปลกประหลาด ทั้งผู้เฒ่าจางและผู้เฒ่ากวนควรจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงพรสวรรค์ของเขา
“จ้าวเฟิง เรานั้นได้ตัดสินใจในเรื่องการที่เจ้าจะเลือกอาจารย์” รองหัวหน้าตำหนักกวนเอ่ยอย่างเคร่งเครียด
พวกเขาตัดสินใจแล้ว?
จ้าวเฟิงอุทานในใจ แม้ว่าเขาจะสนใจทั้งในด้านของการปรุงยาและค่ายกล ทว่ามันกลับไม่ใช่ทางที่เขาต้องการเดิน
ผู้เฒ่าจางกระแอมไอ
“มันเป็นเช่นนี้ จากการทดสอบของพวกเรา เราตัดสินใจว่าพรสวรรค์ของเจ้านั้นดีเกินกว่าที่จะเป็นศิษย์ของเรา”
อ๊า!
จ้าวเฟิงมองไปที่ทั้งสองอย่างเหลือเชื่อ
รองหัวหน้าตำหนักจางและรองหัวหน้าตำหนักกวนนั้นมองหน้ากันก่อนจะแย้มยิ้มราวกับว่าได้ทำเรื่องใหญ่โตสำเร็จแล้ว
“จ้าวเฟิง เจ้าอาจประหลาดใจ แต่มันเป็นความจริง เจ้าคืออัจฉริยะในการทำยาที่เก่งกาจที่สุดที่ข้าเคยเห็น และด้วยความสามารถของเจ้า เจ้าคงใช้เวลาเพียง 1-2 ปีในการเรียนรู้สิ่งที่ข้าจะสามารถสั่งสอนได้” ผู้เฒ่ากวนถอนหายใจและส่ายศีรษะอย่างจนใจ
“ถูกแล้ว เราไม่ดีพอที่จะเป็นอาจารย์ของเจ้า เราสามารถแนะนำเจ้าให้กับผู้เชี่ยวชาญค่ายกลที่เก่งกาจที่สุด ‘กงเฉินชิงซาน’ แห่งจักรวรรดิคลังนภา มีเพียงการเป็นศิษย์ของเขาเท่านั้นที่พรสวรรค์ของเจ้าจะถูกใช้อย่างเต็มที่” ผู้เฒ่าจางเองอย่างจนใจและขมขื่น
รองหัวหน้าตำหนักกวนเองก็ได้เอ่ยแนะนำนักปรุงยาจากจักรวรรดิโลหะเลือดเช่นกัน
ทั้งสองนั้นไม่ได้เข้าสู่ระดับผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง พวกเขาแค่มีความชำนาญในการปรุงยาและค่ายกล
จ้าวเฟิงรู้ว่าทั้งจักรวรรดิคลังนภาและจักรวรรดิโลหะเลือดนั้นเหนือกว่าจักรวรรดิเมฆาและสำนักในจักรวรรดิทั้งสองก็เหนือกว่าสำนักจันทร์สลายมากนัก
“ท่านผู้สั่งสอน ขอบคุณสำหรับความหวังดีของพวกท่าน แต่ข้าไม่ต้องการที่จะเดินไปในทางของค่ายกลหรือการปรุงยา”
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึกและค้อมศีรษะลงแก่รองหัวหน้าตำหนักทั้งสองอย่างนอบน้อม
ในตอนนี้เขาได้เอ่ยความคิดที่แท้จริงของเขาออกมาในที่สุด
“เจ้าเรียกเราว่าผู้สั่งสอน?”
ผู้เฒ่ากวนนั้นตื่นเต้นขณะที่ผู้เฒ่าจางนั้นก็รู้สึกเย่อหยิ่งขึ้นเช่นกัน
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ได้รับพวกเขาเป็นอาจารย์อย่างเป็นทางการ แต่ ‘ผู้สั่งสอน’ ที่เขาใช้เรียกนั้นได้แสดงถึงความซาบซึ้งและขอบคุณแล้ว
ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะไปได้สูงแค่ไหน หรือไม่ว่าผู้ใดที่เขาจะนับเป็นอาจารย์ เขาก็จะยังคงเรียกทั้งสองว่า ‘ผู้สั่งสอน’
จากสายตาของรองหัวหน้าตำหนักทั้งสองนั้น แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ได้พยายามอย่างหนัก เขาก็ยังสามารถกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกลและนักปรุงยาได้ หรือกระทั่งเป็นทั้งสองอย่าง
ดังนั้นแล้ว การที่เด็กหนุ่มเรียกพวกเขาว่า ‘ผู้สั่งสอน’ ได้สร้างความพึงพอใจให้พวกเขา
หลังจากนั้น จ้าวเฟิงก็เผชิญหน้ากับการโน้มน้าวของทั้งสอง ชายชราทั้งสองต่างพยายามให้เด็กหนุ่มนั้นเดินไปในเส้นทางที่ ‘ถูกต้อง’ และบอกเขาว่าเขาสามารถเรียนรู้ได้ทั้งสองสิ่งหากต้องการ
ทว่าจ้าวเฟิงได้ปฏิเสธทั้งสองในที่สุดและยังคงที่จะเดินไปในเส้นทางแห่งการฝึกตน
“หากเจ้าต้องการที่จะเดินไปในเส้นทางของการฝึกตน เจ้าต้องไม่พลาดการทดสอบยอดนภาในอีกไม่กี่เดือนนี้” ผู้เฒ่ากวนพลันแปรเปลี่ยนไป
การทดสอบยอดนภา?
จ้าวเฟิงพลันเชื่อมโยงมันเข้ากับสิ่งก่อสร้างลึกลับในสำนักจันทร์สลาย ‘ตำหนักยอดนภา’ และเขามองไปยังสิ่งก่อสร้างที่ลอยอยู่ใจกลางอากาศในทะเลสายฟ้าด้วยดวงตาซ้ายของเขา
“การทดสอบยอดนภานั้นจะปรากฏทุกๆ 5 ปี และเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตของคนผู้หนึ่ง หากเจ้าไม่อาจลายเป็นศิษย์สายในหรือเข้าร่วมการทดสอบยอดนภาได้ นั่นหมายความว่าเส้นทางแห่งการฝึกตนไม่เหมาะสมกับเจ้าแล้ว”
รองหัวหน้าตำหนักจางแย้มยิ้ม
จ้าวเฟิงคิดถึงคำของทั้งสองอย่างช่วยไม่ได้ เขาเริ่มตระหนักได้ว่าการทดสอบยอดนภานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนัก ทว่ามีศิษย์สายในเพียงจำนวนน้อยนิดที่สามารถเข้าร่วมได้
จากนั้นจ้าวเฟิงจึงได้รับข้อมูลจำนวนมากจากรองหัวหน้าตำหนักทั้งสองเกี่ยวกับการทดสอบยอดนภา
อย่างแรก การทดสอบยอดนภานั้นเป็นโอกาสในการเข้าไปยังตำหนักยอดนภาและได้ของจากที่นั้น ซึ่งจะช่วยคนผู้หนึ่งอย่างมาก
อย่างที่สอง ศิษย์ที่แสดงความสามารถได้ยอดเยี่ยมที่สุดในการทดสอบยอดนภาจะถูกให้ความสำคัญอย่างมากโดยสำนัก
ในสำนักจันทร์สลายนั้น คนส่วนมากที่เข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงนั้นล้วนแล้วแต่แสดงความสามารถในการทดสอบยอดนภาได้เป็นอย่างดี
ตัวอย่างเช่น ไฮ่หยุนก็เป็นหนึ่งในผู้ที่แสดงความสามารถได้ดีที่สุดใน 100 ปีที่ผ่านมา
ความหมายของรองหัวหน้าตำหนักทั้งสองนั้นชัดเจน หากจ้าวเฟิงไม่อาจเข้าร่วมการทดสอบยอดนภาได้ ย่อมหมายความว่าโชคของเขานั้นมีจำกัด ดังนั้นแล้วเขาควรที่จะไปเรียนรู้การทำยาและค่ายกลแทน
ในโลกของสำนักนั้น หลายคนเชื่อใน ‘โชค’ นั่นเป็นสาเหตุให้ทั้งสองเอ่ยเช่นนี้ กระทั่งเด็กหนุ่มเองก็ไม่อาจเมิน ‘โชค’ สิ่งที่ไม่อาจมองเห็น ไม่อาจสัมผัส ไม่อาจรับรู้ได้
หากเขาไม่มีดวงตาซ้ายลึกลับ เขาย่อมไม่อาจเดินมาได้ไกลเพียงนี้
“ฮี่ฮี่ หากข้าสามารถเข้าร่วมการทดสอบยอดนภาได้สำเร็จ ข้าเดาว่าพวกท่านคงไม่หยุดข้าจากการเดินไปในเส้นทางแห่งการฝึกตนใช่หรือไม่?” จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง
รองหัวหน้าตำหนักทั้งสองหัวเราะและส่ายศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ยังคงเหลือเวลาอีก 2-3 เดือนก่อนที่การทดสอบจะเริ่มขึ้น และมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าจะกลายเป็นศิษย์สายในได้หรือไม่ นอกจากนั้นมันยังมีที่จำกัดในการเข้าร่วม และหากยังไม่มีพลังฝึกตนในนภาที่สามของขอบเขตก่อกำเนิดปราณ มันก็ยากแม้แต่จะได้เข้าร่วม” ผู้เฒ่ากวนเอ่ยอธิบาย
ผู้เฒ่าจางเอ่ยเสริม
“หากเจ้าสามารถเข้าร่วมการทดสอบได้ เราเองก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก”
“ตกลง!”
จ้าวเฟิงทำการตกลงกับชายชราทั้งสอง
หากเด็กหนุ่มสามารถเข้าร่วมการทดสอบได้ เช่นนั้นรองหัวหน้าตำหนักทั้งสองก็จะไม่หยุดหรือโน้มน้าวเขาในการเดินไปในเส้นทางแห่งการฝึกตน แต่หากเขาไม่อาจเข้าร่วมได้ เช่นนั้นเขาก็ต้องพิจารณาข้อเสนอของทั้งสอง
เมื่อตกลงได้เช่นนี้ รองหัวหน้าตำหนักทั้งสองก็หัวเราะและจากที่พักของจ้าวเฟิงไปด้วยความมั่นใจ
“การแข่งขันมันสูงเช่นนั้นเลยหรือ?”
จ้าวเฟิงส่งชายชราที่มั่นใจทั้งสองจากไปด้วยสายตา
บัดนี้ปัญหาได้คลี่คลายแล้ว เด็กหนุ่มได้มุ่งเน้นไปในการฝึกตนเพียงอย่างเดียว ทว่าเขาต้องการที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาก่อนที่จะกลายเป็นศิษย์สายใน
ฝ่ามือวายุอัสนี วิชากำแพงเงิน กระบวนท่าตัดวายุเพลิง ภาพมัจฉามายา… พวกมันเป็นสิ่งที่จ้าวเฟิงให้ความสนใจมากที่สุด
สามวันต่อมา เซี่ยวซุนได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณและกลายเป็นศิษย์สายใน
ตามกฎนั้น ตราบเท่าที่คนผู้หนึ่งเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณก่อนอายุ 30 ปี พวกเขาจะกลายเป็นศิษย์สายในโดยอัตโนมัติ ทว่าเขาต้องการที่จะเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง
ยามสายของวันเดียวกัน
องค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียงได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณและกลายเป็นศิษย์สายใน
ทั้งอวิ๋นเมิงเซียงและเซี่ยวซุนต่างมีพรสวรรค์ที่ดีและมีคนหนุนหลังที่ดีในบรรดาศิษย์สายนอกทั้งหมด
ก่อนที่อวิ๋นเมิงเซียงจะจากไป เด็กสาวได้มาเอ่ยลาจ้าวเฟิง
“นักปรุงยาจ้าวเฟิง ข้าจะรอให้ท่านมาเป็นศิษย์สายใน”
“ได้”
คำตอบของจ้าวเฟิงทำให้เด็กสาวประหลาดใจเล็กๆ
เซี่ยวซุนและอวิ๋นเมิงเซียงนั้นมีจุดเริ่มต้นที่สูงกว่า ทั้งพรสวรรค์และคนหนุนหลัง
เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงยังไม่เข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ อวิ๋นเมิงเซียงจึงคิดว่าเขาถูกจำกัดโดยพรสวรรค์ของเขา
นางจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กหนุ่มนั้นตั้งเป้าในการเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณด้วยร่างกาย หรือมิเช่นนั้นเขาคงทะลวงขั้นไปก่อนเซี่ยวซุนเสียอีก?
วันถัดจากที่เซี่ยวซุนและอวิ๋นเมิงเซียงทะลวงขั้น วิชาวายุอัสนีของจ้าวเฟิงก็ได้เข้าสู่ระดับสามซึ่งเป็นขั้นต่ำ
ในเวลาไม่กี่วันต่อมา จ้าวเฟิงได้ทำความเข้าใจกระบวนท่าตัดวายุเพลิงไปกว่าเจ็ดถึงแปดในสิบส่วน และพลังของมันนั้นเหนือกว่ากระบวนท่าเสี้ยววายุอย่างน้อยสองเท่า
ในขณะที่จ้าวเฟิงกำลังรวบรวมความแข็งแกร่งอยู่นั้นก็ได้ปรากฏข่าวลือขึ้นจำนวนหนึ่ง
“ผู้ที่มากพรสวรรค์ที่สุดในบรรดาเด็กใหม่ได้กลายเป็นศิษย์สายในแล้ว”
“แม้ว่าจ้าวเฟิงจะเป็นอันดับหนึ่ง เขาก็ยังถูกจำกัดโดยพรสวรรค์ของเขา”
จ้าวเฟิงยังคงฝึกฝนอย่างเยือกเย็นและหาได้ใส่ใจในคำของผู้อื่น เมื่อเขาว่างเขามักจะปรุงยาชำระไขกระดูกและยาสลายจันทร์หวนออกมาเพื่อแลกกับผลึกเริ่มต้นจำลองบางส่วน
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงก็ยังได้ให้ยาชำระไขกระดูกแก่หนานกงฟั่นและหยางชิงชั่นคนล่ะเม็ด
“ศิษย์น้องจ้าว เหตุใดเจ้าจึงไม่ใช้ยาชำระไขกระดูกนี่ในการพยายามทะลวงขั้นเข้าขอบเขตก่อกำเนิดปราณเล่า?”
หยางชิงชั่นและหนานกงฟั่นรู้สึกผิดและซาบซึ้งในเวลาเดียวกัน
“ข้าไม่ต้องการมันอีกแล้ว” จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม เขามียาชำระไขกระดูกเหลืออีกจำนวนหนึ่งในตอนนี้…
จ้าวเฟิงกลับไปยังสวนของเขาและนั่งขัดสมาธิ ทว่าเขาไม่ได้มุ่งเน้นไปในการฝึกตน เขายังคงโคจรวิชากำแพงเงิน
วิ้งง
แสงประกายสีเงินถูกสร้างขึ้นพร้อมกับส่งกลิ่นอายที่แข็งแกร่งกว่าพลังภายในนับสิบเท่าออกมา
“ปราณแท้วายุเงินนี้ถูกควบรวมแล้วในที่สุด”
ในขณะที่เด็กหนุ่มหายใจ เขาจะส่งกลิ่นอายคล้ายจ้าวสัตว์ปีศาจออกมา ทำให้หัวใจของว่าที่ศิษย์สายในใกล้ๆ เย็นเยียบ ในตอนนี้ ทุกๆ การกระทำของจ้าวเฟิงได้ส่งกลิ่นอายของหนทางแห่งเซียนออกมา
เพราะเขาเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณด้วยร่างกายของเขา ปราณแท้จึงออกมาจากเลือดเนื้อของเขา หากเป็นผู้ฝึกตนธรรมดา ปราณแท้ของพวกเขาจะมาจากจุดตันเถียน และปราณนั้นจะควบรวมกันซ้ำๆ
ในตอนนี้ จ้าวเฟิงได้เข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณด้วยร่างกายของเขา เขารู้สึกว่าดวงตาของเขาเต้นเร็วขึ้น
ตึก! ตึก! ตึก!
แสงสีครามที่หมุนวนขนาด 9.9 ฟุตในดวงตาซ้ายของเขาหยุดหมุน
วิ้งง
แสงที่ส่องประกายนั้นเริ่มหลอมรวมกันและเปลี่ยนแปลงรูปร่างไป…