บทที่ 158 : เก้ากำแพงทองแปรผัน
สำนักจันทร์สลายได้ทำการสำรวจรอบพื้นที่ของตระกูลซิ่งเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง ทว่ากลับไร้ซึ่งร่องรอยของศพโลหิต
พื้นที่ค้นหาได้ขยายขึ้นทีล่ะเล็กทีล่ะน้อย ทว่าโอกาสที่จะหาพบกลับลดน้อยลง
ผู้อาวุโสทั้งสามได้จากไปทีล่ะคนพร้อมกับศิษย์กว่าครึ่ง
จ้าวเฟิงเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่กลับไปยังสำนักจันทร์สลาย
สามวันต่อมา ยอดฝีมือของสำนักก็ได้จากไป
เสียง ‘ครึ่ก ครึ่ก’ แปลกประหลาดดังขึ้นจากใต้หลุมศพของตระกูลซิ่ง
หากคนผู้หนึ่งสำรวจพื้นที่จากด้านบน พวกเขาจะเห็นภาพที่แปลกประหลาด
โลหิตของศพได้ซึมลึกลงไปในพื้นดินและสร้างเส้นทางแปลกประหลาดขึ้น ซึ่งบรรจบกันในที่สุด ศพเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ตายตกในตระกูลซิ่ง และแม้ว่าร่างของพวกเขาจะถูกเผาจนเหลือแต่เถ้า เลือดของพวกเขาก็ยังคงหยดลงสู่พื้นดิน
ในฐานะของตระกูลใหญ่ พลังฝึกตนของคนในตระกูลจึงอยู่ที่ขั้นที่สองแห่งขอบเขตแห่งการรวบรวมหรือสูงกว่าเป็นอย่างน้อย
“ชิชิชิ… สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด ค่ายกลโรคากลั่นแก่นโลหิตได้ถูกสร้างขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน มันอยู่ในแผนของข้าในการถูกค้นพบโดยสำนัก”
ศพโลหิตลายเงินยกร่างของมันออกจากพื้นดิน ในฐานะของผู้คุ้มครองศพโลหิต มันได้มีชีวิตอยู่มานับร้อยปีและได้เหนือกว่าขีดจำกัดของ ‘มนุษย์’ และได้กลายเป็น ‘กึ่งตาย’ ดังนั้นแล้ว ช่วงชีวิตของมันจึงเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมากนัก…
หลังจากได้เห็นแสงอาทิตย์อีกครั้ง กลิ่นอายของศพโลหิตลายเงินได้แข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนหน้ามาก และมันได้ฟื้นฟูพลังของมันกลับไปยังนภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณแล้ว
ศพโลหิตลายเงินแย้มยิ้มชั่วร้ายและเลียริมฝีปาก
ในแผนของมันนั้น มันได้รู้ว่าสำนักจะค้นหามัน แต่ว่าปัญหาเพียงอย่างเดียวคือจ้าวเฟิง
ยิ่งมันคิดถึงการที่มันต้องมอบของของมันให้เด็กเหลือขอนั่นมากเท่าใด มันก็ยิ่งโกรธแค้นมากขึ้นไปอีก ทว่ามันไม่รู้ว่ามันเองก็ได้เดินเข้าใกล้บานประตูแห่งความตายเช่นกัน
จ้าวเฟิงนั้นทำตัวต้อยต่ำอย่างมากหลังจากได้รับรางวัลและไม่ได้ใช้ดวงตาซ้ายของเขาขณะค้นหา หรือมิเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็คงพบค่ายกลโรคากลั่นแก่นโลหิตในดินไปแล้ว
ไม่กี่วันต่อมา
กลุ่มของยอดฝีมือได้กลับไปยังเทือกเขานภาจันทร์
จากระยะไกลๆ จ้าวเฟิงสามารถเห็นได้ถึงตำหนักยอดนภาใจกลางทะเลอัสนี
“ยังคงเหลือเวลาอีกสองเดือนกระทั่งการทดสอบยอดนภาจะเริ่มขึ้น”
ศิษย์จำนวนหนึ่งมองไปยังตำหนักสีครามด้วยความคาดหวัง
วันจัดการทดสอบยอดนภาได้เข้ามาใกล้ขึ้น และการทดสอบนี้นับเป็นจุดเปลี่ยนของศิษย์ที่ไม่ได้มีคนหนุนหลังที่แข็งแกร่ง หากพวกเขาคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ พวกเขาย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของพวกเขาได้
“ข้าต้องเข้าร่วมการทดสอบยอดนภา” การตัดสินใจของจ้าวเฟิงไม่อาจสั่นคลอนได้
การทดสอบเข้าสำนักหนึ่งครั้งในรอบห้าปี และการทดสอบยอดนภาหนึ่งครั้งในรอบห้าปีล้วนสำคัญยิ่งนัก หากคนผู้หนึ่งพลาดหนึ่งในนั้นไป พวกเขาย่อมถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง และห้าปีนับว่านานเกินไปสำหรับเด็กหนุ่ม
ตั้งแต่ที่จ้าวเฟิงได้หลอมรวมเข้ากับดวงตาซ้าย หนทางของเขาก็ยอดเยี่ยมนัก เข้าร่วมตำหนักกว่านจวินหลังจากไม่กี่เดือนในตระกูลจ้าว และเข้าร่วมสำนักในไม่กี่เดือนในตำหนักกว่านจวิน
หลังจากไม่กี่เดือนในสำนักนี้ เขาก็ได้ขึ้นมาสูงถึงเพียงนี้
หนึ่งปีก่อน เขาอายุเพียง 13 ขวบปี และไม่แม้แต่จะอายุ 14 ยามที่อยู่ในตระกูลจ้าว หนึ่งปีต่อมา เขาสามารถเข้าร่วมสำนักได้ด้วยอายุเพียง 14 ขวบปี
โชคชะตาของคนผู้หนึ่งแปรเปลี่ยนเช่นนั้น หรือมิเช่นนั้นเด็กหนุ่มย่อมมิอาจเข้าสู่นภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณจากขั้นหนึ่งแห่งขอบเขตแห่งการรวบรวมได้ในเวลาหนึ่งปี
การฝึกตนของเขาสามารถเทียบเท่าได้กับอัจฉริยะในสำนัก
หลังจากกลับมาถึง จ้าวเฟิงก็ได้แยกกับหลินฟ่านและคนอื่นๆ
หลินฟ่านเอ่ยทิ้งท้ายไว้ก่อนจะแยกไป
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าไม่เพียงช่วยเหลือข้าไว้หลายครั้งในภารกิจ เจ้ายังให้รางวัลเช่นนั้นแก่ข้า บุญคุณนี้ควรต้องตอบแทน”
จ้าวเฟิงส่งอีกฝ่าไยไปด้วยสายตาพร้อมกับจมลึกในห้วงความคิด
เขามีเพื่อนไม่มากในสำนัก และหนานกงฟั่นกับหยางชิงชั่นยังไม่แข็งแกร่ง
เป็นหลินฟ่านที่ตื่นขึ้นก่อนเซี่ยวซุนและซู่เหริน หมายความว่าเขามีพลังใจที่แข็งแกร่ง พวกเขาทำงานร่วมกันได้ดีเช่นกัน เมื่อจ้าวเฟิงหายไปอย่างลึกลับ มีเพียงหลินฟ่านที่ได้เอ่ยถามหวงอวิ๋น หลินฟ่านไม่รู้ว่าความคิดนี้ของจ้าวเฟิงจะได้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขาไป
ในเวลาเพียงพริบตา เวลาครึ่งเดือนก็ได้ผ่านพ้นไป และสำนักจันทร์สลายก็ได้เงียบสงบลง ข่าวในการค้นพบคลังสมบัติจันทร์สีชาดได้กระจายไปยังอีกสิบสองสำนัก และพวกเขาต่างถกเถียงกันเกี่ยวกับมัน
แน่นอนว่ามันไม่เกี่ยวข้องอันใดกับจ้าวเฟิงอีกต่อไป
สิ่งแรกที่เด็กหนุ่มทำคือการแลกเปลี่ยนทรัพยากรฝึกตนด้วยแต้มสนับสนุนของเขาและใช้ผลึกเริ่มต้นในการเพิ่มพลังฝึกตนของเขา
หลังจากเข้าสู่ระดับสิบของวิชากำแพงเงิน การพัฒนาของมันก็เชื่องช้าลงอย่างมาก ราวกับความเร็วของหอยทาก
ระดับสิบเอ็ดนั้นเป็นระดับที่สูงที่สุดและคนผู้นั้นจะได้รับร่างกายที่สมบูรณ์แบบ
จากคำอธิบาย เมื่อคนผู้หนึ่งเข้าสู่ระดับที่สิบเอ็ด พวกเขาจะสามารถเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ด้วยเพียงร่างกายของพวกเขา
เด็กหนุ่มคิดว่าเขาต้องใช้ผลึกเริ่มต้นจำลอง 100-200 ผลึกในการเข้าสู่ขั้นนั้น ทว่าหลังจากใช้ผลึกเริ่มต้นจำลองไปเกือบ 1,000 ผลึก เขาก็ยังไปไม่ถึงเป้าหมาย
การใช้ผลึกเริ่มต้นจำลองไปเกือบพันผลึกและแต้มสนับสนุนไปกว่าพันแต้มทำได้เพียงทำให้เขาเข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับสิบ ห่างจากระดับสิบเอ็ดครึ่งก้าว
จ้าวเฟิงถอนหายใจและไม่อาจเชื่อได้ว่าหลังจากใช้ทรัพยากรล้ำค่าไปจำนวนมาก ความพัฒนาของวิชาเสริมกายาของเขาจะยังคงเชื่องช้า มันมีผู้ฝึกตนจำนวนไม่มากที่เน้นไปในการฝึกวิชาเสริมกายาเพราะว่ามันยากเกินไป
“ข้ายังเหลือผลึกเริ่มต้นจำลองอีก 22,000 ผลึกหรือประมาณนั้น ข้าควรจะสำเร็จหากใช้เพิ่มอีก 500” จ้าวเฟิงคำนวณ
เขาได้รับรางวัลอย่างมหาศาลเมื่อภารกิจครั้งที่แล้ว ทว่าผลึกเริ่มต้นจำลองจำต้องใช้อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อการทดสอบยอดนภาได้ใกล้เข้ามาแล้ว
หากเขาซื้อวัตถุดิบและสร้างยาด้วยตนเอง เด็กหนุ่มจะสามารถประหยัดผลึกเริ่มต้นจำนวนมาก ทว่าทุกๆ วินาทีของเขาในตอนนี้มันล้ำค่านัก
การทดสอบยอดนภานั้นสำคัญที่สุด เขาไม่เสียใจที่จะใช้ผลึกเริ่มต้นเหล่านี้ไป
ไม่กี่วันต่อมา
วิชากำแพงเงินของจ้าวเฟิงได้เข้าสู่ระดับสิบเอ็ด
เพื่อที่จะสำเร็จถึงระดับนี้ เด็กหนุ่มต้องใช้ผลึกเริ่มต้นจำลองประมาณ 2,000 ผลึกหรือผลึกเริ่มต้นระดับต่ำประมาณ 20 ผลึก
แน่นอนว่าพลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน
“กายสมบูรณ์แบบ”
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิบนพื้นพร้อมกับโคจรวิชาเสริมกายาของเขา เสี้ยววินาที ชั้นสีเงินบางก็ได้ปรากฏขึ้นบนร่างของเขาพร้อมกับส่งกลิ่นอายเข้มข้น
เขาสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนในนภาที่สี่ได้ด้วยร่างกายของเขาเพียงอย่างเดียว พลังป้องกันของเขาน่าพรั่นพรึง เขาสามารถเหยียบย่ำลงในกองเพลิงและไม่ได้รับบาดเจ็บในรับเวลาสั้นๆ
ในขณะที่เด็กหนุ่มฝึกฝนวิชาเสริมกายา เขาก็ยังไม่ทิ้งวิชาเซียนวายุสวรรค์ วิชามนุษย์ระดับสูง เขาได้ฝึกมันจนเข้าสู่ระดับสี่จากหกระดับ และยิ่งเข้าสู่ระดับสูงเท่าใด ปราณแท้ของเขาก็ยิ่งบริสุทธิ์ขึ้น
หลังจากเข้าสู่ระดับสี่ ความบริสุทธิ์ของมันเทียบเท่าได้กับผู้ที่อยู่ในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ทว่ามีปริมาณน้อยกว่า
มันยากที่จะจินตนาการว่าปราณแท้ของจ้าวเฟิงนั้นบริสุทธิ์เทียบเท่าได้กับผู้ที่อยู่ในนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
ในเดือนที่ผ่านมา ทั้งวากำแพงเงินและวิชาเซียนวายุสวรรค์ต่างพัฒนาขึ้นอย่างมั่นคง และเป็นฝ่ามือวายุอัสนีที่พัฒนาไปอย่างเชื่องช้า
ฝ่ามือวายุอัสนีแบ่งออกเป็นหกระดับ และจ้าวเฟิงยังคงอยู่ที่ระดับสาม ห่างจากระดับสี่เพียงครึ่งก้าว
“เมื่อข้าเข้าสู่ระดับสี่ การโจมตีของข้าสามารถทำให้ร่างกายของคู่ต่อสู้ชาได้”
เด็กหนุ่มต้องการที่จะเข้าสู่ระดับนั้น ทว่านับแต่ระดับสี่เป็นต้นไป สายฟ้านับเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด และจ้าวเฟิงยังไม่ได้ตีความสายฟ้ามากนัก
มันยังมีเหตุผลหนึ่ง นั่นเป็นเพราะฝ่ามือวายุอัสนีนั้นเขียนไว้อย่างหยาบเกินไป ดังนั้นแล้วเขาจึงต้องพยายามพัฒนามันด้วยดวงตาซ้ายของเขาอย่างระมัดระวัง
แน่นอน ฝ่ามือวายุอัสนีของเขาได้อยู่ที่ขั้นสุดยอดของระดับสาม และมันสามารถเข้าสู่ระดับสี่ได้ทุกเวลา
เวลาผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว และเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนก่อนจะถึงการทดสอบยอดนภา
จ้าวเฟิงรู้สึกว่าทั้งวิชาเสริมกายา พลังฝึกตน และวิชาต่อสู้ของเขาล้วนเข้าสู่คอขวด
“วิชากำแพงเงินได้เข้าสู่ขีดจำกัดแล้ว ข้าสงสัยนักว่าข้าจะสามารถยื่นมือไปยังวิชาเก้ากำแพงทองแปรผันได้หรือไม่” เด็กหนุ่มครุ่นคิด
จากที่เขารู้ วิชาเก้ากำแพงทองผันแปรนั้นเป็นวิชามนุษย์ระดับสุดยอดที่ได้รับความสำคัญจากสำนักอย่างมาก
เขามีแต้มสนับสนุน 50,000 แต้มในมือ และวิชามนุษย์ระดับกลางใช้แต้ม 5,000
ดังนั้นแล้ว เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจไปถามผู้อาวุโสหนึ่ง
ตามคำเรียกขานนั้น ผู้อาวุโสหนึ่งเป็นอาจารย์ของเขา ทว่าในความเป็นจริงนั้น อีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่จะพูดคุยกับจ้าวเฟิง
โดยปกติแล้ว ผู้อาวุโสหนึ่งจะให้หยางก่านบอกทุกสิ่งแก่จ้าวเฟิง
วันนี้ ผู้อาวุโสหนึ่งกำลังชี้แนะหยางก่านอยู่ และเด็กหนุ่มได้ไปถึงในไม่ช้า
“วิชาเก้ากำแพงทองแปรผัน?” คิ้วของผู้อาวุโสหนึ่งเลิกสูงขึ้น
“ศิษย์น้องจ้าว วิชาเก้ากำแพงทองแปรผันนั้นเป็นวิชามนุษย์ระดับสูง มิคิดหรือว่าเจ้าเร่งร้อนไปหน่อย?”
หยางก่านยิ้มและส่ายศีรษะ จ้าวเฟิงนั้นเร่งร้อนนัก กระทั่งศิษย์หลักเช่นเขายังไม่มีสิทธิที่จะฝึกฝนมัน