บทที่ 159 : การชี้แนะของผู้อาวุโสหนึ่ง
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของผู้อาวุโสหนึ่งและหยางก่าน จ้าวเฟิงจึงเอ่ยเพิ่ม
“ศิษย์หมายถึงใช้แต้มสนับสนุนแลกกับวิชานั้น”
ในสำนัก แต้มสนับสนุนสามารถแลกเปลี่ยนกับวิชามนุษย์ระดับสูงได้
“แต้มของเจ้าไม่เพียงพอในการแลกมัน นอกจากนั้น แม้ว่าเจ้าจะมีเพียงพอเจ้าก็แลกไม่ได้” ผู้อาวุโสหนึ่งส่ายศีรษะ
จ้าวเฟิงชะงักไปและหยางก่านได้เอ่ยอธิบาย
“คนผู้หนึ่งต้องการแต้มสนับสนุน 200,000 แต้มในการแลกวิชามนุษย์ระดับสุดยอด และพวกเขาต้องอยู่ในนภาที่หกแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณหรือสูงกว่า”
200,000 แต้ม! นภาที่หกแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ!
หัวใจของจ้าวเฟิงเย็นเยียบและรู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้ เขาไม่มีสิ่งใดตรงกับข้อกำหนด ในทางกลับกัน เขากลับห่างไกลจากข้อกำหนดทั้งสองนัก
เขานั้นไม่เคยคาดคิดว่าข้อกำหนดในการแลกเปลี่ยนวิชามนุษย์ระดับสุดยอดจะสูงส่งเพียงนี้
“ศิษย์น้องจ้าว วิชามนุษย์ระดับสุดยอดนั้นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถแตะต้องได้ โดยเฉพาะเก้ากำแพงทองแปรผันที่กระทั่งผู้อาวุโสยังยากที่จะฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นสูง”
หยางก่านถอนหายใจเมื่อพูดถึงยามนี้
‘ความต้องการ’ ของจ้าวเฟิงนั้นสูงส่งเกินไป ชายหนุ่มไม่เคยได้ยินว่าผู้ใดในนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณต้องการวิชามนุษย์ระดับสุดยอด
มีเพียงผู้อาวุโสของสำนักที่สามารถฝึกฝนได้จำนวนหนึ่ง
และสำหรับวิชาชั้นจิตวิญญาณนั้น ผู้อาวุโสอาจไม่แม้กระทั่งสามารถทำความเข้าใจมันได้
“เหตุใดเจ้าจึงเลือกวิชาเก้ากำแพงทองแปรผันกัน? หนทางแห่งการเสริมกายานั้นยากนัก และเจ้าเองก็ได้สร้างพื้นฐานที่มั่นคงด้วยการเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณด้วยร่างกายของเจ้าแล้ว เหตุใดจึงไม่ใช้เวลาไปกับจุดแข็งของเจ้าเล่า? อย่างพลังจิตของเจ้า?”
ดวงตาของชายชราเปล่งประกายระยับยามที่มองไปยังจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มผมครามจมลึกลงในห้วงความคิดเมื่อได้ยินเช่นนั้น และตระหนักได้ว่าคำกล่าวของอีกฝ่ายมีเหตุผล
“เหตุใดจึงยังเดินในเส้นทางเสริมกายา? แล้วเลือกวิชาเก้ากำแพงทองแปรผันที่ห่างไกลเกินไป?”
เก้าขั้นแห่งขอบเขตแห่งการรวบรวมนับเป็นเพียงพื้นฐาน ในตอนนั้น จ้าวเฟิงได้เข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ด้วยร่างกาย ซึ่งทำให้พื้นฐานของเขามั่นคงยิ่งนัก
ทว่าคำถามที่ว่าบัดนี้เขาได้เข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณแล้ว เขาไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกวิชาเสริมกายาหรือวิชาเก้ากำแพงทองผันแปร
นอกจากนั้น ดวงตาของผู้อาวุโสหนึ่งยังแหลมคมและพบว่าเด็กหนุ่มนั้นมีพลังจิตที่แข็งแกร่งที่มีต้นกำเนิดมาจากดวงตาซ้ายของเขา
จ้าวเฟิงนั้นรู้จัก ‘พลังจิต’ เพียงแค่หยาบๆ และไม่รู้ถึงวิธีใช้สมบัตินี้ได้อย่างเหมาะสม
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เด็กหนุ่มจึงได้ตัดสินใจ
“เจ้าคิดเห็นเช่นไร?”
ดวงตาของผู้อาวุโสหนึ่งหรี่ลง
“อาจารย์กล่าวถูกต้อง ข้าไม่ควรเน้นกับการเสริมกายาต่อไป บางทีมันอาจไม่ใช่หนทางที่ดีที่สุดสำหรับข้า”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ แม้ว่าสายเลือดของเขาจะทำให้การดูดซึมพลังงานง่ายขึ้น แต่หนทางแห่งการเสริมกายาย่อมไม่ราบลื่น
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเข้าใจอย่างง่ายดาย ผู้อาวุโสหนึ่งได้ประหลาดใจเล็กๆ พร้อมคิดว่า
“ความเข้าใจและปัญญาของเจ้าเด็กนี้ดีนัก และเขาไม่ดูเหมือนผู้ที่จะดื้อดึงในทุกสิ่ง เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงไม่ยอมแพ้ในวิชาฝ่ามือวายุอัสนี?”
“โชคร้ายนัก ข้าได้เข้าสู่ขีดจำกัดของวิชากำแพงเงินแล้ว” จ้าวเฟิงถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย
วิ้งง
ชั้นแสงสีเงินบางปรากฏขึ้นบนร่างของเด็กหนุ่มซึ่งทำให้เขาดูราวกับรูปปั้นน้ำแข็ง
นี่คือระดับที่สิบเอ็ดของวิชากำแพงเงิน!
กายสมบูรณ์แบบ
อันใดกัน!?
ผู้อาวุโสหนึ่งและหยางก่านต่างตื่นตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าจ้าวเฟิงนั้นจะได้ฝึกฝนวิชาเสริมกายาจนเข้าขั้นสูงเพียงนี้ เพียงแค่ร่างกายของเขาเพียงอย่างเดียวก็สามารถจัดการผู้ฝึกตนในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้แล้ว
“ศิษย์น้องจ้าวย่อมมีโอกาสที่จะแย่งชิงหนึ่งในที่นั่งสู่การทดสอบยอดนภาแล้วในตอนนี้”
หยางก่านประหลาดใจอย่างมาก
มันมิใช่ว่าไม่มีผู้ใดฝึกฝนร่างกายของพวกเขาจนเข้าสู่ระดับสูงสุดของวิชาระดับมนุษย์ ทว่ากลับมีจำนวนน้อยนิดนัก ทว่าไม่มีผู้ใดที่ยังเยาว์เทียบเท่าจ้าวเฟิง
ผู้ใดกันที่เอ่ยว่าจุดเด่นของเขามิใช่การเสริมกายา!?
คิ้วของผู้อาวุโสหนึ่งกระตุกเล็กน้อย ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้ชื่นชมความเด็ดขาดของอีกฝ่าย หากเป็นผู้อื่นที่ฝึกฝนร่างกายของพวกเขาจนถึงระดับนี้ พวกเขาจะยอมแพ้โดยง่ายหรือ?
กระทั่งเขาก็เสียใจที่เอ่ยเช่นนั้นไปเล็กๆ บางทีเด็กหนุ่มอาจเป็นอัจฉริยะในการพัฒนาร่างกายจริงๆ
เมื่อคิดถึงยามนี้ ชายชราก็หัวเราะอีกครั้ง
“มันมิใช่ว่าไม่มีโอกาสเลย แม้ว่าพลังฝึกตนและแต้มสนับสนุนของเจ้าจะไม่เพียงพอ เจ้าก็ยังสามารถได้รับวิชาเก้ากำแพงทองแปรผันได้”
“ท่านอาจารย์ โปรดเอ่ย” หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุก
“การ ทด สอบ ยอด นะ ภา” ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยทีล่ะคำ
การทดสอบยอดนภา?
หยางก่านสบตากับจ้าวเฟิง
“การทดสอบยอดนภานั้นเป็นจุดเปลี่ยนใหญ่ ด้วยพลังที่เพียงพอ คนผู้หนึ่งสามารถได้รับวิชาชั้นมนุษย์ระดับสุดยอด และกระทั่งอาวุธและวิชาชั้นจิตวิญญาณ” ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบาง
ปากของศิษย์ทั้งสองอ้าค้าง
ตำหนักยอดนภานี้ลึกลับมากเพียงใดกัน? เหตุใดจึงกระทั่งมีวิชาชั้นจิตวิญญาณ?
“หากเจ้าได้รับวิชาชั้นมนุษย์ระดับสุดยอดจากตำหนัก เจ้าย่อมสามารถแลกเปลี่ยนมันกับวิชาเก้ากำแพงทองแปรผันได้” ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยอธิบาย
จ้าวเฟิงเข้าใจในสิ่งที่ผู้เป็นอาจารย์ต้องการ กระทั่งผู้อาวุโสยังคาดหวังในรางวัลด้านใน ทว่ามันมีข้อจำกัดในอายุและพลังฝึกตน
“มีจุดสำคัญอีกอย่างหนึ่ง หากเจ้ามีพรสวรรค์สูงในด้านใดด้านหนึ่ง เจ้าอาจได้รับมรดก”
ชายชราหัวเราะอีกครั้ง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจของจ้าวเฟิงก็เต้นรัวขึ้น กระทั่งหยางก่านก็มีความต้องการปรากฏขึ้นบนใบหน้า เด็กหนุ่มผมครามรู้ในที่สุดว่าเหตุใดการทดสอบยอดนภานี้จึงสำคัญ
“ขอบคุณท่านอาจารย์ ศิษย์ขอลา”
จ้าวเฟิงไม่ได้อยู่นานและกลับไปในไม่ช้า ทิ้งหยางก่านและผู้อาวุโสหนึ่งไว้เพียงสองคน
“ด้วยความสามารถของเขาในถ้ำจันทราชาดและระดับของวิชาเสริมกายา เขาย่อมสามารถเข้าร่วมการทดสอบยอดนภาได้” ผู้อาวุโสหนึ่งพึมพำ
“ท่านอาจารย์ ท่านต้องการให้ข้าช่วยเขาด้านในบททดสอบหรือไม่?” หยางก่านพลันเอ่ยถามขึ้น
เขาไม่รู้ว่าผู้เป็นอาจารย์คิดอย่างไรกับศิษย์น้องผู้นี้
“ไม่ต้อง!”
ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยอย่างเด็ดขาด
“การทดสอบยอดนภาสำคัญกับเจ้ายิ่งนัก และคนผู้หนึ่งสามารถเข้าร่วมได้เพียงครั้งเดียว! ในบรรดาศิษย์ที่เข้าร่วม เจ้าแข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นแล้วเจ้าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี”
“ศิษย์เข้าใจแล้ว”
หยางก่านถอนหายใจอยู่ในใจ มันดูเหมือนว่าตำแหน่งของเขาในใจของผู้เป็นอาจารย์จะยังไม่สั่นคลอนและไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้โดยศิษย์สายนอกผู้หนึ่ง
นอกจากนั้น ยังเป็นผู้ที่ฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนีที่อาจตายได้ทุกเวลา ดังนั้นแล้วมันจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีความรู้สึกใดๆ ต่อเด็กหนุ่มผมครามผู้นั้นมากนัก
ชายชราส่งศิษย์หลักของตนออกไปด้วยสายตาก่อนพึมพำกับตนเอง
“ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าจ้าวเฟิงจะมีความเด็ดขาดในการยอมแพ้เรื่องวิชาเสริมกายาอย่างรวดเร็วเช่นนั้น เขาดูเหมือนคนที่ใจเย็นและสงบนิ่ง เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงไม่ยอมแพ้ในฝ่ามือวายุอัสนีกัน?”
หลังจากออกจากที่พักของผู้อาวุโสหนึ่ง จ้าวเฟิงก็เข้าใจว่าเขานั้นได้มีพื้นฐานที่มั่นคงแล้ว และไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจกับการเสริมกายาในตอนนี้
จากมุมมองใหม่ เขาสามารถเดินไปในเส้นทางที่เหมาะสมกับเขาที่สุดเพราะมันเป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผลที่สุด ดังนั้นแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องบังคับตนเองให้ฝึกฝนวิชากำเก้ากำแพงทองแปรผัน
“หนทางแห่งการเสริมกายานั้นเชื่องช้าและใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ซึ่งทำให้ความเร็วในการฝึกตนของข้าช้าลงนัก”
ยิ่งเด็กหนุ่มครุ่นคิดมากเท่าใด เขาก็ยิ่งเห็นเหตุผลมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนั้น กระทั่งผู้อาวุโสหนึ่งที่เป็นคนนอกยังเห็นว่าเขามีพลังจิตที่ไม่ธรรมดา
ในเวลาไม่กี่วันต่อมา จ้าวเฟิงได้เตรียมตัวสำหรับการทดสอบยอดนภาและการแย่งชิงตำแหน่งอย่างเต็มที่
มีคนเพียงสิบคนที่สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นแล้วการแข่งขันย่อมรุนแรงอย่างมาก และหลายคนจะอยู่ในนภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
มันไม่ใช่เพียงจ้าวเฟิงที่ฝึกฝนอย่างหนัก ศิษย์สายในผู้อื่นเองต่างก็ฝึกฝนอย่างหนักเช่นกัน หลินฟ่านได้มาประลองชี้แนะกับจ้าวเฟิงในบางครั้ง
ตั้งแต่ที่พวกเขาได้ทำภารกิจก่อนหน้าเสร็จสิ้น หลินฟ่านได้ใช้รางวัลที่มากมายในการทำให้ตนเองเข้าสู่นภาที่สองและเอาชนะซู่เหรินได้อย่างง่ายดายเมื่อไม่กี่วันก่อน
ทุกคนควรจะรู้ว่าซู่เหรินที่เข้าสู่นภาที่สามเมื่อครึ่งเดือนก่อน ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินฟ่าน
พรสวรรค์ของชายหนุ่มนั้นไม่สูง ทว่าเขาเป็นเหมือนจ้าวเฟิง พวกเขาต่างมีพลังต่อสู้อันสมบูรณ์และมากมาย ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถสู้กับผู้อื่นที่มีระดับสูงกว่าได้
จ้าวเฟิงและหลินฟ่านเริ่มปะทะกันในสวนของพวกเขา
เคล็ดดาบคลื่นสะท้อน!
หลินฟ่านจับดาบหน้าตาทรุดโทรมเล่มหนึ่งไว้และวาดฟันมันราวกับกำลังผ่าคลื่นธารา
“วิชามนุษย์ระดับสูง ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าท่านเรียนรู้มันได้เร็วนัก!”
จ้าวเฟิงหัวเราะแผ่วเบาก่อนจะใช้ฝ่ามือวายุอัสนีออก มันได้ผลักให้ร่างของหลินฟ่านต้องล่าถอย อีกฝ่ายไม่เพียงมีวิชาดาบชั้นมนุษย์ระดับสูง ทว่าเขายังมีดาบชั้นมนุษย์ระดับต่ำอีกด้วย จ้าวเฟิงจำต้องใช้พลังกว่าเจ็ดส่วนในการเอาชนะอีกฝ่ายในราวๆ ยี่สิบกระบวนท่า
ทุกคนควรจะรู้ว่าผู้ฝึกตนคนอื่นในนภาที่สองแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณไม่อาจแม้กระทั่งต้านทานได้ในสองสามกระบวนท่า แม้ว่าจ้าวเฟิงจะใช้พลังเพียงเจ็ดส่วนก็ตาม
“ขอบคุณ ศิษย์น้องจ้าวที่ให้วิชาดาบนี้แก่ข้า… แต่แม้กระนั้นข้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า”
หลินฟ่านรู้สึกซาบซึ้งและขมขื่นเล็กๆ ในเวลาเดียวกัน
แม้ว่าเขาจะได้รับผลึกเริ่มต้นและแต้มสนับสนุนจำนวนมาก มันก็ยังคงไม่เพียงพอต่อวิชามนุษย์ระดับสูง
จ้าวเฟิงคิดว่าหลินฟ่านนั้นเชื่อถือได้ ดังนั้นแล้วเขาจึงให้เคล็ดดาบคลื่นสะท้อนที่เขาได้รับจากตำหนักกลวงแก่อีกฝ่าย และไม่มีผู้ใดสงสัยเนื่องด้วยรางวัลจำนวนมากที่พวกเขาได้รับ
“จ้าวเฟิง พลังของเจ้านั้นใกล้เคียงนภาที่สี่แห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ และย่อมไม่มีปัญหาในการได้รับที่หนึ่ง ทว่าเหตุใดเจ้าจึงไม่แลกอาวุธมาเพิ่มความแข็งแกร่งของเจ้ากัน?”
หลินฟ่านแนะนำ
อาวุธ?
หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุก เพราะธนูบันไดสุวรรณของเขานั้นไม่เหมาะสมกับเขาอีกต่อไป รวมกับการทดสอบยอดนภาที่ใกล้เข้ามา ดังนั้นแล้วเขาควรจะหาอาวุธใหม่มาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมของเขา
เมื่อคิดถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มจึงเดินไปยังตำหนักภารกิจสำนัก
ตำหนักภารกิจสำนัก
จ้าวเฟิงพบรองหัวหน้าตำหนักจางและพลันเอ่ยถึงความต้องการของเขาทันที
“ข้าสามารถลดให้เจ้าได้ 20%” ผู้เฒ่าจางหัวเราะ
ลด 20%?
ดวงตาของจ้าวเฟิงกลายเป็นขีดเดียวยามที่เขายิ้มกว้าง การลด 20% นั้นไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสามารถได้รับ
ไม่ช้า ผู้เฒ่าจางก็ได้นำจ้าวเฟิงไปยังหออาวุธ
ช่างตีเหล็กต่างทำงานในตำหนักภารกิจสำนัก และมันมีพื้นที่เฉพาะในการแลกเปลี่ยน
แถวของอาวุธที่แตกต่างกันวางเรียงรายอยู่ส่องประกายวาววับคมกริบ… พวกมันทำให้ดวงตาของเด็กหนุ่มพร่าเลือนจากแสงสะท้อนเหล่านั้น