Skip to content

King of Gods 194

King Of Gods

บทที่ 194 : จ้าวเฟิงสารภาพผิด

ไม่?

ตั้งแต่เจ้าสำนักสู่ศิษย์ ทั้งหมดล้วนแต่มีสีหน้าเคลือบแคลงและประหลาดใจ

ผู้ที่ครองอันดับหนึ่งในการทดสอบ ผู้ที่ได้ทำลายสถิติหมื่นปี กลับมิได้รับมรดก?

กระทั่งเป่ยม่อที่ครองอันดับสอง และกระทั่งมีคะแนนมิถึงพันแต้มยังได้รับมรดก แล้วเหตุใดเขาจึงไม่ได้?

“มันขึ้นอยู่กับโชควาสนาของคนผู้หนึ่ง ในการได้รับมรดก”

ความผิดหวังเจือจางได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าสำนัก

จ้าวเฟิงนั้นคืออัจฉริยะในการที่ทำลายสถิติหมื่นปีได้ และเขาต้องมีวิธีในการทำเช่นนั้น หากเขาได้รับมรดก มันย่อมชดเชยความต่างเรื่องพรสวรรค์ และช่วยเขาให้กลายเป็นอัจฉริยะแห่งสำนักจันทร์สลาย

โชคร้ายนัก จ้าวเฟิงอาจเป็นผู้ทำลายสถิติ ทว่าเขาไม่ได้รับสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา

ในเวลาเดียวกันนั้น

คำตอบของจ้าวเฟิงได้ทำให้หลายคนถอนลมหายใจออกมาอย่างลับๆ

“โดยไร้ซึ่งมรดก เจ้าครองอันดับหนึ่งในการทดสอบ แล้วอย่างไร? เจ้าถูกกำหนดไว้ให้เป็นผู้แพ้สำหรับข้า”

รอยยิ้มมั่นใจปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเป่ยม่อ

พรสวรรค์ของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั้นเพียงระดับทั่วไป หากได้รับมรดก อีกฝ่ายอาจจะคุกคามเขาได้ แต้โชคร้ายที่จ้าวเฟิงไม่ได้รับมัน

“โชคดีนัก…” ผู้อาวุโสหยุนไห่ถอนหายใจ

พรสวรรค์ของจ้าวเฟิงไม่สูงส่ง ทว่าความสามารถแฝงและวิธีการที่เด็กหนุ่มได้แสดงออกมาตลอดเวลานี้นั้นน่าสะพรึง หากอีกฝ่ายได้รับมรดก แรงคุกคามที่เขาได้รับจะมากเกินไป

โชคดีที่เด็กเหลือขอนี่ไม่ได้รับมรดก ใช้เป่ยม่อเพียงผู้เดียวก็สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้

กระทั่งข่งหยวนอู๋ยังมีประกายความเหยียดหยามในแววตา

“หากมิมีมรดก ด้วยกายจิตวิญญาณระดับต่ำของเจ้า เจ้าย่อมถูกก้าวข้ามโดยข้าในสักวัน วันหนึ่งข้าจะเอาชนะเจ้าตรงๆ และคืนความอับอายนี้!”

ในยามนี้ ทุกคนได้มองไปยังจ้าวเฟิงอย่างหมิ่นแคลน อย่างน้อยในสายตาของปรปักษ์อย่างผู้อาวุโสหยุนไห่และคนอื่นๆ จ้าวเฟิงนั้นจะสามารถจองหองได้เพียงพักหนึ่ง มิอาจแข็งแกร่งในอนาคต

จ้าวเฟิงที่เห็นภาพเหล่านั้นทั้งหมดหัวเราะอย่างเย็นเยียบอยู่ภายในใจ

นี่คือผลลัพธ์ที่เขาต้องการ

ยามที่คนผู้หนึ่งควรทำตัวสูง ก็จงยืดสูง ยามที่คนผู้หนึ่งควรลดลงต่ำ ก็ต้องอดกลั้น

เขาดึงดูดความสนใจมากเกินไปกับการทำลายสถิติหมื่นปี นี่ได้ทำให้ศัตรูของเขาจำนวนมากรู้สึกถูกคุกคาม

สำหรับจ้าวเฟิงที่ยังคงกำลังเติบโต นี่นับว่ามิใช่สิ่งดี

ในทวีปแห่งนี้ เคยมีอัจฉริยะผู้เจิดจ้าจำนวนเท่าใด แต่ก็เพียงส่องแสงชั่วสั้นๆ

อัจฉริยะเหล่านั้น เป็นที่สะดุดตามากเกินไป บ้างต้องตายในการศึกภายใน บ้างถูกศัตรูลอบสังหาร ต่างล้วนอายุสั้น

กระทั่งอัจฉริยะที่มี ‘กายจิตวิญญาณฟ้า’ ก่อนจะเป็นผู้แกร่งกล้าอันสูงสุด ก็ยังสามารถถูกฆ่าได้โดยใครก็ได้

หากผู้อาวุโสหยุนไห่และคนอื่นๆ พบว่าเขาได้รับมรดกที่ดีที่สุด ‘มรดกอัสนี’ พวกเขาย่อมพยายามอย่างสุดความสามารถ ฆ่าเด็กหนุ่มก่อนที่เขาจะเติบโตอย่างเต็มที่อย่างแน่นอน

ดังนั้น

จ้าวเฟิงจึงปกปิดความจริง

ศิษย์ที่มีพรสวรรค์ทั่วไปและไร้ซึ่งมรดกย่อมไร้ซึ่งแรงคุกคาม ศิษย์ที่มีอายุเทียบเท่ากับจ้าวเฟิงยังมองหมิ่นดูแคลนเขา

ทว่า แม้ว่าคำของเขาจะสามารถหลอกศิษย์คนอื่นๆ ได้ แต่กับเหล่าผู้อาวุโสกลับไม่ได้ถูกหลอกง่ายดายนัก

ดวงตาของทั้งผู้อาวุโสเสวี่ยและผู้อาวุโสหยุนไห่ส่องประกายระริก เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

คนที่ทำลายสถิติหมื่นปีจะไม่ได้รับมรดกได้อย่างไร? นี่นับว่าน่าสงสัยจนเกินไป หรือมีสิ่งอันใดปิดบัง?

“จ้าวเฟิง ข้าจดจำได้ว่าเมื่อคนผู้หนึ่งมีคะแนนถึงจุดหนึ่ง การทดสอบจะมอบมรดกทั่วไปแบบให้เปล่า” ผู้อาวุโสเสวี่ยเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ

อย่างไรก็ตามคนที่เคยไปถึงจุดนั้น ต่างเป็นเรื่องที่ยาวนานมากแล้ว อีกทั้งมีเพียงน้อยนิด และนี่ล้วนเป็นสิ่งที่ได้ยินมาจากผู้อื่น

ผู้อาวุโสหยุนไห่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด

“คะแนนของข้าย่อมสูงกว่าเงื่อนไขการสืบทอดมรดก” จ้าวเฟิงหัวเราะ

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าเป่ยม่อ ฉวนเฉิน และคนอื่นๆ ล้วนเปลี่ยนแปลงไป หรือจ้าวเฟิงเพียงหลอกพวกเขาก่อนหน้า?

“โชคร้ายยิ่ง ตำหนักยอดนภามิมีมรดกที่เหมาะสมสำหรับข้า พรสวรรค์ของข้าคือพลังจิต” จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยความเศร้าสร้อย

“พลังแห่งจิต?” ผู้อาวุโสล้วนมองหน้ากัน

ในระดับของพวกเขา พวกเขาสามารถมองเห็นว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั้นมีพลังแห่งจิตปริมาณมหาศาลได้อย่างง่ายดาย ซึ่งทำให้อีกฝ่ายสามารถต่อต้านกลิ่นอายของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้ จุดนี้ได้ถูกค้นพบโดยผู้อาวุโสหนึ่งเป็นคนแรก

“พลังแห่งจิต โดยปกติแล้วจะเป็นวิถีแห่งเดียรถีย์ เป็นเส้นทางสายอธรรม ตำหนักยอดนภาเป็นผู้สืบทอดเชื้อสายธรรมะ คงไม่มีมรดกที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้” เจ้าสำนักถอดถอนใจและเชื่อในคำของจ้าวเฟิง

ผู้อาวุโสทุกคนได้ยินว่าจ้าวเฟิงนั้นมีพรสวรรค์ที่เกี่ยวข้องกับพลังแห่งจิต และเหล่าศิษย์ล้วนประสบกับมันมาแล้ว

ในการทดสอบที่สอง เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวได้จัดการค้างคาวจำนวนมหาศาลด้วยการโจมตีด้วยเสียงพลังจิตของเขา ทำให้การสูญเสียและบาดเจ็บของศิษย์คนอื่นๆ เป็นศูนย์ จนผ่านด่านได้หมด

“จ้าวเฟิง เพราะความสามารถที่ยอดเยี่ยมของเจ้าในการทดสอบรวมทั้งคุณประโยชน์ที่เจ้าสร้างให้แก่สำนัก ข้าตัดสินใจที่จะมอบแต้มสนับสนุนให้แก่เจ้าห้าแสนแต้ม และอนุญาตให้เจ้าอ่านวิชาใดก็ได้ในตำหนักกลวง นอกจากนั้น สำนักจะมีรางวัลให้แก่เจ้า สำหรับสิ่งที่เจ้านำมามอบให้”

เจ้าสำนักประกาศ

ห้าแสนแต้ม!

คนอื่นๆ ล้วนตกตะลึง

กระทั่งผู้อยู่ระดับสูงของสำนักก็ยังไม่ดูเหมือนว่าจะมีแต้มมากเพียงนี้

ด้วยแต้มมากมายเพียงนั้น มีสิ่งใดที่เขาทำไม่ได้กัน?

“เอาล่ะ เมื่อรางวัลถูกมอบไปแล้ว บัดนี้ถึงเวลาของการลงโทษ รางวัลและบทลงโทษนั้นไม่อาจนำมาปะปนกัน”

ผู้อาวุโสคุมกฎลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ

“ถูกแล้ว จ้าวเฟิงได้สร้างคุณประโยชน์มากมายให้แก่สำนักก็จริง ทว่าการกระทำของเขาในการทดสอบต้องได้รับการลงโทษ” ผู้อาวุโสเสวี่ยเห็นด้วย

“ขณะเดียวกับที่จ้าวเฟิงได้เป็นอันดับหนึ่ง เขาก็ได้ทำลายผลประโยชน์และอนาคตของผู้อื่นเช่นกัน” ผู้อาวุโสหยุนไห่เอ่ยอย่างเย็นชา

ผู้อาวุโสสองคน สนับสนุนผู้อาวุโสคุมกฎ

การเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เป็นที่คาดไม่ถึงของเจ้าสำนัก แม่เฒ่าลิ่วเยว่เป็นกลางและนางไม่ช่วยเหลือผู้ใด ดวงตาของผู้อาวุโสหนึ่งหรี่ลง พร้อมกับบรรยากาศที่กลับกลายเป็นตึงเครียด

มันชัดเจนว่าทั้งสามได้วางแผนเรื่องนี้ด้วยกัน ผู้อาวุโสคุมกฎจะเรียกร้องขอลงโทษ และผู้อาวุโสทั้งสองจะคอยสนับสนุน ซึ่งหมายความว่ากระทั่งผู้อาวุโสหนึ่งก็ยากที่จะคัดค้าน

อย่างไรก็ตาม ในสำนักจันทร์สลาย มิมีผู้ใดจักใช้ฝ่ามือเดียวบังฟ้าได้อย่างแท้จริง

“ผู้อาวุโสคุมกฎคิดอันใดกัน?”

สีหน้าของผู้อาวุโสหนึ่งกลับกลายเป็นเยือกเย็นอีกครั้ง

“ไต่สวนกลางตำหนัก ด้วยความยุติธรรม ต่อหน้าปวงสายตา ไม่ปรักปรำคนดี และมิปล่อยผ่านคนเลว ข้าเชื่อว่ามิมีผู้ใดต่อต้านใช่หรือไม่?” ผู้อาวุโสคุมกฎเอ่ย

“ถูกแล้ว! ข้าเห็นด้วย”

“จ้าวเฟิงเป็นเด็กหนุ่มที่ชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์ ทำร้ายศิษย์ร่วมสำนัก เขาควรที่จะถูกขับไล่ออกจากสำนัก”

“เหตุผลที่ทำให้เขามาเป็นอันดับหนึ่งนั้นได้ถูกสร้างขึ้นจากการทำลายผลประโยชน์ของผู้อื่น คนพาลเช่นเขาควรถูกลงโทษ”

ทุกคนที่อยู่ใต้แกนนำโดยฉวนเฉินและลู่หู่ พากันเห็นพ้องสนับสนุน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กระทั่งเจ้าสำนักและผู้อาวุโสหนึ่งก็มิอาจกระทำสิ่งใด

“หากเรื่องนี้สามารถถูกจัดการได้อย่างยุติธรรม ข้าก็ไร้ซึ่งสิ่งใดจะเอ่ย” ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ย

“ได้ เช่นนั้นเราจะถามคำถามจ้าวเฟิง จ้าวเฟิง เจ้ามีปัญหาอันใดหรือไม่?”

ผู้อาวุโสคุมกฎผงกศีรษะ

“ไม่มีขอรับ”

จ้าวเฟิงยังคงมีท่าทีสบายๆ

“ข้าถามเจ้า เหตุใดเจ้าจึงเตะข่งหยวนอู๋และลู่หู่ลงเหวนรกในการทดสอบแรก?” ผู้อาวุโสคุมกฎเอ่ยถามอย่างดุดัน

วินาทีที่สิ้นคำ ข่งหยวนอู๋และลู่หู่ก็เริ่มอธิบายว่าพวกเขาถูกหลอกโดยจ้าวเฟิงได้อย่างไร

“ไอ้เด็กเหลือขอนี่ไร้ซึ่งความเคารพใดต่อผู้อาวุโส เตะข้าผู้เป็นศิษย์หลัก ลงไปในนรก ทำลายอนาคตของข้า…” ลู่หู่ร่ำร้องออกมา

“เขาต้องการที่จะฮุบสมบัติทั้งหมดไว้เองและกลัวว่าข้าจะต่อสู้แย่งชิงมัน ดังนั้นเขาจึงเตะข้าลงนรก” ข่งหยวนอู๋ร้องไห้ออกมา

ทั้งสองได้บิดเบือนความจริงและแสดงได้ดีเสียจนทุกคนรู้สึกสงสาร

“จ้าวเฟิง! เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้เช่นไร?” ผู้อาวุโสคุมกฎเอ่ยถาม

“ดวงจิตของสองคนนี้อ่อนแอยิ่ง! พวกเขาถูกควบคุมโดยจิ้งจอกมายา ศิษย์ผู้นี้คิดว่าผู้คนเช่นพวกเขามีเพียงจะถ่วงผู้อื่น ดังนั้นจึงตัดสินใจเตะส่งพวกเขาออกไป” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างไร้อารมณ์

“จ้าวเฟิง! อย่าได้ดูหมิ่นพวกข้า!”

ลู่หู่และข่งหยวนอู๋เต็มไปด้วยความเคืองแค้น

จ้าวเฟิงหัวเราะอย่างเย็นเยียบภายในใจ พวกเจ้าคิดหรือว่าข้าจะโต้เถียงกับพวกเจ้าด้วย ‘ความจริง’?

คนเหล่านี้อาจได้วางแผนไว้ด้วยกันเพื่อตอบโต้เด็กหนุ่ม หลังจากได้ยิน ‘คำอธิบาย’ ของจ้าวเฟิง ทุกคนจึงได้นิ่งอึ้งไป มันเป็นเพราะว่าพวกเขาไร้ประโยชน์ พวกเขาจึงถูกเตะออกมา

“บัดซบ! ไอ้หมอนี่นับว่าจองหองเกินไปแล้ว”

หลายคนโกรธเกรี้ยว

ลู่หู่และข่งหยวนอู๋ต่างปรากฏความเศร้าสร้อยบนใบหน้า ในสถานการณ์เช่นนี้ พวกเขายังคงถูกดูแคลน

ผู้อาวุโสคุมกฎชะงักไปเล็กน้อย แผนที่พวกเขาวางไว้ไม่อาจตอบโต้มันได้

“เจ้ากล้าเย่อหยิ่งเพียงนี้ได้เยี่ยงไร! เช่นนั้นข้าถามเจ้า เหตุใดเจ้าจึงโจมตีฉวนเฉินในบททดสอบที่สอง?” ผู้อาวุโสคุมกฎเอ่ยถามอย่างเย็นชา

“เรียนท่านเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโส ศิษย์ผู้นี้ได้สามารถเข้าไปยังใจกลางปราสาทได้ในที่สุด และจ้าวเฟิงที่เข้ามากลางคันกลับต้องการผลแห่งชัยชนะของของข้าไป…”

ฉวนเฉินเอ่ยลอดจากฟันที่ขบแน่นของเขา

“จ้าวเฟิง เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร?”

จ้าวเฟิงหัวเราะ

“ศิษย์พี่ฉวนร่วมมือกับข้าในการโจมตีปราสาท ทว่าเขาไร้ประโยชน์ เขาคอยถ่วงรั้งข้า เขาจะช่วยได้มากกว่าหากเขาไม่อยู่ที่นั่น”

ไร้ประโยชน์? ถ่วงอีกฝ่ายไว้?

ดวงตาของทุกคนแทบจะถลนออกจากเบ้า ข้อแก้ตัวนี้นับว่าน่าละอายจนเกินไปแล้ว

“จ้าวเฟิง! เจ้าปรักปรำคน!”

ฉวนเฉินกราดเกรี้ยวอย่างมาก เมื่อใดกันที่เขาได้ถ่วงรั้งอีกฝ่าย?

อีกฝ่ายนั้นไม่แม้แต่จะอธิบายสิ่งใด ทำเพียงฉีกหน้าพวกเขา

“ดี ดี จ้าวเฟิง ข้าได้เป็นผู้อาวุโสคุมกฎมาหลายปี และนี่เป็นคราแรกที่เคยเห็นใครบางคนที่จองหองเพียงนี้ ข้าถามเจ้า เหตุใดเจ้าจึงหลอกเป่ยม่อในการทดสอบสุดท้ายและทำให้เขาออกมาก่อน?” ผู้อาวุโสคุมกฎเอ่ยถามอย่างเย็นชา

“แมวนั่นร่วมมือกับจ้าวเฟิงและหลอกข้า หรือศิษย์น้องจ้าวคิดว่าข้าไร้ประโยชน์เช่นกัน?”

เป่ยม่อจ้องไปยังแมวขโมยตัวน้อยก่อนจะหัวเราะเสียงเย็น

ความแข็งแกร่งของเป่ยม่อนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัย ในเวลาเดียวกัน พรสวรรค์และโชคของเขาก็สูงยิ่งนักเช่นกัน

ทุกคนล้วนคิด

“ครานี้เจ้าไม่อาจใช้คำว่า ‘ไร้ประโยชน์’ และ ‘ถ่วงรั้งข้า’ ได้แล้ว”

“ศิษย์พี่เป่ยนั้นแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด ทว่าความฉลาดของเขา… ท่านเชื่อสิ่งที่แมวตัวหนึ่งบอกได้เยี่ยงไร? ดังนั้นแล้วหากคนเช่นเขาที่มีพลัง ทว่าไร้ซึ่งสมอง ออกไปแล้วอย่างไร?” จ้าวเฟิงเอ่ย

“เจ้ากำลังบอกว่าปัญญาของข้าต่ำ?” เป่ยม่อหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวน้อยบนไหล่ของจ้าวเฟิงผงกศีรษะของมันขณะที่มันโบกอุ้งเท้าอย่างเห็นด้วย

“เจ้า… เจ้า…”

เป่ยม่อนั้นโกรธแค้นอย่างหนักจนแทบกระอักเลือด

จ้าวเฟิงนั้นไม่แม้แต่จะอธิบายสิ่งใด อีกฝ่ายทำเพียงฉีกหน้าพวกเขา!

“เป็นเด็กเหลือขอที่จองหองอันใดเยี่ยงนี้!”

ผู้อาวุโสคุมกฎแทบจะระเบิดออกด้วยความโกรธเกรี้ยว จ้าวเฟิงไม่ได้ใช้ไพ่ที่เขาต้องการให้อีกฝ่ายใช้ ซึ่งทำให้กับดักและแผนทั้งหมดของเขาผิดพลาด

จากนั้นจ้าวเฟิงจึงพลันคำนับไปทางเจ้าสำนักและผู้อาวุโสหนึ่ง

“คนเหล่านี้หากมิใช่ไร้ประโยชน์ก็เบาปัญญา เมื่อคิดถึงภาพรวมของการทดสอบแล้ว ข้าจึงตัดสินใจที่จะเตะพวกเขาออก ศิษย์ยินยอมที่จะรับโทษฐานที่ ‘จองหอง’!”

ข้ายอมรับ… ความผิดบาปนี้!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!