Skip to content

King of Gods 220

King Of Gods

บทที่ 220 : คำสาปสุสานร้อยหลุมศพ

จ้าวเฟิงไร้ซึ่งความลังเล สายฟ้าแล่นวูบใต้ฝ่าเท้าพร้อมกับที่เขาทะยานออกไปในอากาศ

เมื่ออยู่กลางอากาศ เด็กหนุ่มก็ดูจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายเย็นเยียบจากหลุมศพเบื้องล่างที่ดูจะเริ่มแผ่ออกจากเท้าของเขา

ทันใดนั้น

ความรู้สึกหนาวเยือกไปถึงกระดูกก็ได้ปรากฏขึ้น ความรู้สึกอันตรายนั้นพยายามที่จะหาหนทางมุ่งตรงไปยังวิญญาณของจ้าวเฟิง

ความรู้สึกนั้นคล้ายคลึงกับยามที่เขาเหยียบย่างลงไปที่พื้นกระดูกเป็นครั้งแรก ทว่าครานี้ทรงพลังกว่านับสิบเท่า

ตึก ตึก ตึก ตึก…

ส่วนลึกของดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง ในพื้นที่ดำมืดได้ปรากฏแสงสีเขียวครามหมุนวน

แสงสีเขียวครามนั้นได้ส่งกลิ่นอายเก่าแก่ออกมา

เพียงยามนั้นที่ความรู้สึกถึงอันตรายได้หายไป

หัวใจของจ้าวเฟิงเย็นเยียบ ความรูสึกถึงอันตรายเมื่อครู่นั้นกระทั่งรุนแรงกว่าโครงกระดูกลึกลับในป่าเมฆาคล้อยหลายเท่า

เขาพลันดูเหมือนจะรับรู้ได้ว่าที่ที่เขาเหยียบอยู่ตอนนี้คือพื้นที่ต้องห้าม

เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ ดูจะยาวนานเป็นศตวรรษ

จ้าวเฟิงสามารถพลิ้วกายผ่านหลุมศพไปได้ในที่สุด สัญชาตญาณบอกเขาว่าอันตรายนั้นมาจากหลุมศพนับร้อยเบื้องล่าง

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวน้อยร่อนลงที่พื้นแทบจะเป็นเวลาเดียวกับจ้าวเฟิง

พื้นนั้นถูกสร้างขึ้นโดยผลึกสีเงินลึกลับที่กระทั่งดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มก็ไม่อาจมองทะลุผ่านไปได้

มันพอที่จะคาดเดาได้ว่า ด้วยพลังในปัจจุบันของเด็กหนุ่ม เขาไม่อาจที่จะทำลายสถานที่นี้ได้แม้แต่น้อย

แต่ดวงตาซ้ายของเขาดูจะรับรู้ได้ว่าพลังงานที่นี่ดูราวกับถูกแช่แข็งไว้

แมวขโมยตัวน้อยกระโจนอย่างคล่องแคล่วไปยังใจกลางพื้นที่โล่งที่เป็นที่ตั้งของแท่นบูชา

มันมีเส้นสายค่ายกลที่ลึกล้ำจำนวนมากสลักลงบนแท่นศิลาบูชานั้น และเมื่อเขามองไปยังมัน เด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความโล่งกว้างไร้ที่สิ้นสุด

ฟุ่บ!

จ้าวเฟิงใช้ดวงตาซ้ายของเขาจะจดจำรอยสลักเหล่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำอันใดกับมันได้ ความลึกล้ำของมันนั้นก็ล้ำค่านัก

แมวขโมยตัวน้อยกระโดดขึ้นไปบนแท่นศิลาบูชา ดูจะตื่นเต้นเล็กๆ

จ้าวเฟิงคิด: มันไม่มีสมบัติใดๆ แล้วเหตุใดแมวขโมยตัวน้อยจึงแสดงท่าทีเช่นนั้น?

แมวขโมยตัวน้อยกระโดดไปรอบๆ อยู่ชั่วครู่ก่อนจะเผยสีหน้าเศร้าสร้อยออกมา

จ้าวเฟิงไม่สนใจมันและเดินไปยังห้องศิลาด้านข้างแท่นบูชา

เขากวาดตามองรอบด้านอย่างระมัดระวัง ทว่าไม่พบสิ่งใดที่เป็นอันตราย

ตั้งแต่ผ่านหลุมศพเหล่านั้นมา ความรู้สึกอันตรายก็ได้หายไป

ซึ่งทำให้จ้าวเฟิงเกือบจะมั่นใจได้ว่าพื้นที่สีเงินนี้เป็นพื้นที่ปลอดภัย

ภายในห้อง

ทุกๆ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่ และใยแมงมุม มันดูเหมือนว่าห้องนี้ได้ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงกวาดสำรวจอย่างรวดเร็วและแน่นอนว่ามันมีสิ่งของที่มีมูลค่าอยู่

ไม่ช้าเขาก็จับจ้องไปยังของสามอย่าง ขวดเล็กๆ ขวดหนึ่ง กระติกเหล้า และชิ้นส่วนหนังสัตว์

ความจริงนั้น สิ่งของที่อยู่ในนี้ต่อให้เวลาผ่านไปยาวนาน แต่ด้วยมันไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป ถึงเวลาผ่านมายาวนานก็ไม่อาจทำให้เน่าเสียได้ คงไว้ซึ่งคุณค่าทั้งสิ้น

ฟุ่บ ฟุ่บ!

จ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อยเคลื่อนไหวแทบจะพร้อมเพรียงกัน

ทว่าเป้าหมายของพวกเขาแตกต่างกัน

จ้าวเฟิงตั้งเป้าไปยังของทั้งสามบนโต๊ะและพุ่งไปยังพวกมัน

เป้าหมายของแมวขโมยตัวน้อยคือแมลงที่ตายแล้วตัวหนึ่ง

จ้าวเฟิงรู้สึกแปลกใจเล็กๆ เขาเองก็เห็นซากแมลงตัวนั้นที่ร่างกายของมันยังไม่เน่าเปื่อย

แต่แน่นอนว่าเขาย่อมไม่สนใจมัน

แมวขโมยตัวน้อยกลืนกินร่างของแมลงเข้าไปทั้งหมดราวกับว่าหวาดกลัวว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวจะแย่งมัน

“กินของมั่วซั่ว เจ้าไม่กลัวว่ามันจะเป็นพิษหรือ?”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม

ยามที่ดวงตาซ้ายของเขากวาดผ่านซากแมลงนั้น เขาเห็นว่าแมลงตัวนั้นมีพิษร้ายแรง

แมวขโมยตัวน้อยทำเพียงสะอึก ทว่ามิเป็นอันใด

จ้าวเฟิงประหลาดใจอย่างมาก คนควรจะรู้ว่าแมวนั้นไม่เคยสะอึกยามที่มันกินผลึกเริ่มต้นหรือของอื่นๆ

ดูเหมือนว่าแมวนี่จะไม่ธรรมดาเมื่อมันสามารถกินซากแมลงนั้นเข้าไปได้

เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวหันเหสายตากลับมายังของที่เขาได้รับ

ขวดขนาดเล็กนั้นเรียบและโปร่งใส ชัดเจนว่าไม่ได้สร้างขึ้นจากวัสดุธรรมดา นอกจากนั้นมันยังมีของเหลวสีโปร่งใสอยู่ภายใน

สำหรับกระติกเหล้านั้น มันหนักอย่างมากและส่งกลิ่นหอมหวน ทว่าเมื่อจ้าวเฟิงเปิดมันออก ภายในกลับว่างเปล่า

ทว่าสัญชาตญาณได้บอกเด็กหนุ่มว่ากระติกเหล้านี้ไม่ธรรมดา

แมวขโมยตัวน้อยมองไปยังขวดและกระติกเหล้าด้วยความโกรธและขุ่นเคือง

แต่แน่นอนว่าแมวตัวน้อยไม่อาจที่จะคว้าทั้งสองไปได้ในครั้งเดียว ทั้งมันยังไม่สามารถเอาชนะผู้เป็นเจ้าของได้

บนชิ้นส่วนหนังสัตว์นั้นปรากฏแถวข้อความขึ้นสองแถว ดูจะถูกเขียนด้วยความเร่งรีบ สำหรับคำช่วงท้ายนั้นพร่าเลือนไม่ชัดเจน จ้าวเฟิงสรุปขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

ห้องหินนี้แต่เดิมถูกปกป้องโดยใครบางคน ทว่าด้วยเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดทำให้คนผู้นั้นต้องจากไป ทั้งขวดและกระติกล้วนเป็นสิ่งที่ถูกทิ้งไว้ด้วยความเร่งรีบ

ทว่า…

ตัวหนังสือที่ปรากฏบนหนังสัตว์นั้นมิอาจอ่านออก

ภาษาที่อยู่บนแผ่นหนังสัตว์นั้นไม่ใช่ภาษาทั่วไปในทวีปนี้

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวน้อยกระโดดขึ้นบนไหล่ของจ้าวเฟิงก่อนจะเผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมาขณะที่ดวงตาของมันกวาดมองอักษรทั้งสองแถวนั้น

“เจ้าเข้าใจพวกมันหรือ?”

จ้าวเฟิงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขารู้สึกว่าแมวขโมยตัวน้อยไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เพิ่งจะถือกำเนิดขึ้น ทว่ามันเป็นบางอย่างที่เต็มไปด้วยสติปัญญา

แมวขโมยตัวน้อยมีสีหน้าหยามเหยียดและมันโบกอุ้งเท้าของมันไปยังผู้เป็นเจ้าของ

เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนำกระดาษและปากกาออกมาจากกำไลมิติของเขา

แมวขโมยตัวน้อยใช้สองอุ้งเท้าเล็กๆ และจับปากกานั้น ก่อนจะ ‘แปล’ คำที่อยู่บนแผ่นหนังสัตว์

จ้าวเฟิงมองไปยังข้อความนั้น: ตำหนักเซียนทั้งสามไม่อาจเคลื่อนไหวออกจากดินแดนแห่งฝุ่นได้ ในสองสามวันที่ผ่านมา มันกระทั่งล่อลวงกองกำลังระดับหนึ่งดารามาจนกระทั่งแทบจะทำลาย ‘คำสาปสุสานร้อยหลุมศพ’ ลงได้ บัดนี้ พลังของค่ายกลเคลื่อนย้ายแทบจะหมดสิ้นลง… ข้ารับใช้ผู้นี้จะออกไปก่อน…

คิ้วของจ้าวเฟิงขมวดเข้าหากันหลังจากอ่านจบ

ที่ใดคือดินแดนแห่งฝุ่น? มันคือสิบสามแคว้นหรือทวีปเหนือกัน?

กองกำลังระดับหนึ่งดาราเป็นข้อมูลอีกอย่างหนึ่ง

จ้าวเฟิงเคยได้ยินผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยว่ากองกำลังจะถูกจัดเป็นหนึ่งถึงห้าดารา

โดยที่ห้าดารานั้นแข็งแกร่งที่สุด

ทว่ากองกำลังระดับห้าดาราที่แข็งแกร่งที่สุดนั้นกลับมีเพียงเรื่องเล่าตามตำนานเท่านั้น

ทั้งสำนักในทวีปแห่งนี้ก็ดูจะไม่ได้ถูกแบ่งโดยใช้ดารา

จ้าวเฟิงไม่รู้ว่ากองกำลังนั้นถูกจัดระดับได้อย่างไร ทว่าผู้อาวุโสหนึ่งดูจะรู้

สุดท้ายของประโยคนั้นถูกเขียนไว้ว่า ‘คำสาปสุสานร้อยหลุมศพ’ และมันได้ทำให้จ้าวเฟิงเข้าใจถึงการวางของหลุมศพนับร้อยนั้น

ไม่แปลกใจเลยที่เขารู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่พยายามรุกรานเข้ามาในร่างกายของเขายามที่เหยียบย่างเข้าสู่พื้นที่กระดูกสีขาว

แต่เพราะดวงตาซ้ายของเขา คำสาปจึงไม่อาจเข้ามาภายในร่างกายของเขาได้ นอกจากนั้น จากสิ่งที่เขียนอยู่บนแผ่นหนัง คำสาปของหลุมศพทั้งร้อยนั้นแทบจะถูกทำลายลง ทั้งประสิทธิภาพของมันก็อ่อนด้อยลงกว่าแต่ก่อนอย่างมาก

แมวขโมยตัวน้อยเองก็สามารถเพิกเฉยต่อคำสาปสุสานร้อยหลุมศพได้ นั่นหมายความว่าร่างกายของมันพิเศษ ทั้งมันยังรู้มากพอที่จะเดินทะลวงผ่านไปตรงๆ

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่อาจเข้าใจว่าคำบนแผ่นหนังสัตว์นั้นต้องการจะสื่ออะไรเป็นเสียส่วนมาก เขาก็ยังสามารถบอกได้จากคำว่า ‘ฝุ่น’ ว่าโลกใบนี้ที่เขายืนอยู่นั้นเป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็ง

เมื่อเห็นว่าเขาไม่อาจที่จะขบคิดปัญหานี้ให้ทะลุปรุโปร่งได้ จ้าวเฟิงก็ตัดสินใจที่จะไม่คิดถึงพวกมัน

จากนั้นเด็กหนุ่มจึงส่งความสนใจของเขาไปยังกระติกเหล้าและขวด

กระติกนั้นว่างเปล่า ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงโยนมันเข้าไปในกำไลมิติ เมื่อเห็นเช่นนั้น ดวงตาของแมวขโมยตัวน้อยก็ส่องประกายขณะที่มันกระโดดเข้าไปในกำไลมิติเช่นกัน

จากนั้นจ้าวเฟิงจึงให้ความสนใจกับขวด

ของเหลวสีโปร่งใสได้ปรากฏหลงเหลืออยู่เล็กน้อย เด็กหนุ่มรับรู้ถึงพลังงานบริสุทธิ์ได้ด้วยดวงตาซ้ายของเขา มันยอดเยี่ยมกว่ายาจิตวิญญาณที่เขากินในสำนัก

เด็กหนุ่มดื่มของเหลวที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งในยี่สิบส่วนของขวดเข้าไปโดยไร้ซึ่งความลังเล

ของเหลวโปร่งใสได้ไหลผ่านลำคอของเขาเข้าไปในร่าง

เสี้ยววินาที พลังงานที่สะอาดบริสุทธิ์ก็ได้ปรากฏขึ้นร่างของเขา

ปริมาณของของเหลวสีโปร่งใสนั้นเทียบเท่าได้เพียงนิ้วโป้ง ทว่ามันกลับมีพลังงานจำนวนมหาศาล และให้กลิ่นอายทรงพลัง

ความรู้สึกแรกที่จ้าวเฟิงรู้สึกนั้นคือความอิ่ม พลังของเขาถูกเติมเต็ม

จากนั้น พลังของของเหลวก็เริ่มที่จะส่งผลต่อกระดูก โลหิต และผิวหนังของเขา ผลของมันนั้นเหนือกว่ายาชำระไขกระดูกนับสิบเท่า

โชคดีที่พลังนี้สงบอย่างมาก หรือมิเช่นนั้นมันคงสร้างอาการบาดเจ็บสาหัสให้กับร่างของจ้าวเฟิงแล้ว

เด็กหนุ่มรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างของเขาถูกชำระล้างซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาการบาดเจ็บที่หลงเหลืออยู่ถูกรักษาให้ดีขึ้น

ในเวลาเดียวกัน เขามีความรู้สึกว่ากระดูกของเขาได้เปลี่ยนไป

เด็กหนุ่มพลันนั่งขัดสมาธิและเริ่มโคจรปราณในร่าง

พลังงานจากของเหลวนั้นง่ายที่จะดูดซึมนัก

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

ร่างกายของจ้าวเฟิงได้ขับของเหลวสีดำอ่อนเป็นชั้นออกมา

ครึ่งวันต่อมา

จ้าวเฟิงดูดซึมของเหลวที่มีขนาดเพียงหนึ่งนิ่วหัวแม่โป้งเข้าไปทั้งหมด รู้สึกได้ถึงพลังที่เคลื่อนผ่านไปทั่วร่าง มันราวกับว่าเขาเพิ่งจะกินอาหารอย่างเต็มอิ่มไปหนึ่งมื้อ พลังงานทั้งหมดเต็มเปี่ยม

ในยามนี้ จ้าวเฟิงได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่ห้า

“แค่ของเหลวที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยกลับทำให้ข้าเข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่ห้า”

จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก กดความรู้สึกยินดีเอาไว้ในใจ

ระดับความพอใจที่เขาให้กับพื้นที่นี้เอาไว้ได้เพิ่งสูงขึ้นอีกครั้ง

จากการวิเคราะห์ของเขา ของเหลวนั้นดูเหมือนจะเป็นเพียง ‘อาหาร’ สำหรับคนผู้นั้นที่เป็นผู้ดูแลที่นี่ และการชำระล้างร่างกายเป็นเพียงแค่ผลเสริม

ถูกแล้ว เพียงแค่ผลเสริม

ตอนแรกจ้าวเฟิงรู้สึก ‘อิ่ม’ ยามที่ดื่มของเหลวนั้น จากนั้นจึงรู้สึกว่าร่างกายเปลี่ยนแปลงไป

เด็กหนุ่มยกมือของเขาขึ้นและโคจรปราณแท้ เขารู้สึกว่าพลังของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกหนึ่งเท่า

เพียงแค่ร่างกายของเขาเพียงอย่างเดียวก็แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปในนภาที่สี่แล้ว

ผลของของเหลวลึกลับนี้น่าพรั่นพรึงยิ่ง ทว่าน่าเศร้าที่มันมีเพียงน้อยนิด เป็นของที่ผู้อื่นเหลือทิ้งเอาไว้

จ้าวเฟิงตั้งใจที่จะสร้างความเสถียรให้กับระดับพลังของเขา เด็กหนุ่มพบว่าการฝึกตนของเขาบัดนี้ได้รวดเร็วกว่าแต่เดิม

หากความเร็วยังคงเป็นเช่นนี้ อีกเพียงไม่กี่วันเขาก็จะเข้าสู่ขีดจำกัดของนภาที่ห้า และนภาที่หกก็จะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

จ้าวเฟิงถอนหายใจ เขาดื่มมันไปเพียงเล็กน้อย ทว่าผลของมันน่าตื่นตะลึงและควรจะพึงพอใจกับมัน

จากนั้นเด็กหนุ่มจึงนำความสนใจของเขากลับไปยังกำไลมิติและตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น

ภายในกำไลมิติ แมวขโมยตัวน้อยเมามายไป ทว่ากลิ่นอายของมันก็ได้แข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อน

“เหล้ามาจากที่ใดกัน?”

จ้าวเฟิงนิ่งอึ้ง

เขาจดจำได้ว่าในกำไลมิตินั่นไม่มีเหล้า

จ้าวเฟิงตวัดสายตาไปจ้องยังกระติก

กระติกนั้นทั้งหอมและหนักเป็นอย่างมาก และภายในยังคงเหลือเหล้าอยู่อีกเล็กน้อย

เหล้าพวกนี้มาจากที่ใด?

จ้าวเฟิงมั่นใจว่าก่อนหน้านั้นกระติกมันว่างเปล่า

เขาเค้นเสียงเย็นชาและดึงแมวขโมยตัวน้อยออกมา

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

แมวขโมยตัวน้อยยอมบอกความจริง มันได้เทน้ำลงไปในกระติกเล็กน้อย

ไม่นานหลังจากนั้น น้ำภายในกระติกก็เริ่มที่จะส่งกลิ่นหอมออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!