บทที่ 222 : เนตรจิตวิญญาณแห่งเทพเจ้า
“ดูเหมือนว่าเฟิงเอ๋อร์จะพบกับโชคดียามที่ออกไปในครานี้”
ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยด้วยความยินดี
หัวใจของหยางกานกระตุก เขาได้รับแรงกดดันจากศิษย์น้องของผู้นี้มากมายนัก
แต่เดิมนั้น เขาคาดคิดว่าคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของเขาคือเป่ยม่อ
มิคาด จ้าวเฟิงก้าวข้ามเป่ยม่อไป และใกล้เคียงกับตำแหน่งของเขาในฐานะศิษย์หลักแล้ว
“ถูกแล้วขอรับ ทว่ามันก็ค่อนข้างอันตรายเช่นกัน”
จ้าวเฟิงยังคงหวาดกลัวอยู่เล็กๆ
โชคลาภมักมาพร้อมกับอันตราย มันคือสิ่งที่ทั้งผู้อาวุโสหนึ่งและหยางกานต่างก็รู้
มันมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตายไปเพื่อที่จะไล่ล่าโชคลาภเหล่านั้น
มีเพียงผู้ที่สามารถรอดผ่านอันตรายมาได้จึงจะเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง
เมื่อคิดถึงยามนี้ ผู้อาวุโสหนึ่งก็ให้ความสำคัญกับจ้าวเฟิงมากยิ่งขึ้นไปอีก
พรสวรรค์ของอีกฝ่ายอาจไม่ได้สูงนัก ทว่ากลับได้รับมรดกที่ดีที่สุดภายในตำหนักยอดนภา
สถิติหมื่นปีของตำหนักยอดนภาได้ถูกทำลายโดยเด็กหนุ่มผู้นี้
และบัดนี้
พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเพียงในระยะเวลา 10 วันสั้นๆ
หากเป็นอัจฉริยะทั่วไปจะมีโชคลาภถึงเพียงนี้เลยหรือ?
นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?
“ความโชคดีของเด็กคนนี้อาจจะเหนือกว่าเป่ยม่อเสียอีก”
ยามเมื่อผู้อาวุโสหนึ่งคิดถึงยามนี้ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นเล็กๆ อย่างช่วยไม่ได้
นับแต่เกิดจนบัดนี้ เขาไม่เคยเจออัจฉริยะที่มีโชคมากมายเพียงนี้มาก่อน
กระทั่งเป่ยม่อยังไม่อาจเทียบเท่ากับจ้าวเฟิงได้
ทั้งสองล้วนออกไปข้างนอกเพื่อค้นหาประสบการณ์ ทว่าชัดเจนว่าพลังฝึกตนของเป่ยม่อที่เพิ่มขึ้นกลับไม่มากเทียบเท่ากับจ้าวเฟิง
นอกจากนั้น เหล่าผู้ที่มีโชคมากมักจะส่งผลกับผู้คนรอบกายของตนไปด้วย ดังคำว่า “ยามหมนุษย์ผู้หนึ่งพัฒนา กระทั่งไก่และสุนัขก็ได้เลื่อนขั้นไปด้วย”
หยางกานกังวลและไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับศิษย์น้องที่พลังเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดผู้นี้เช่นไร
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เขาอาจสูญเสียตำแหน่งหัวหน้าศิษย์ไป
ผู้อาวุโสหนึ่งเองก็รับรู้ถึงความกังวลของศิษย์คนแรกของเขา ทว่าทำได้เพียงถอดถอนใจอยู่ในใจอย่างช่วยไม่ได้
ในยามนั้นเองที่จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้น “ศิษย์พี่หยาง อย่าได้กังวล ข้ามิสนใจในตำแหน่งหัวหน้าศิษย์”
หลังจากคำพูดนั้นถึงเอ่ยขึ้น
ผู้อาวุโสหนึ่งประหลาดใจ ขณะที่หยางกานไม่รู้จะเอ่ยหรือกระทำสิ่งใด
คำพูดของจ้าวเฟิงนั้นเถรตรงเกินไป อาจทำร้ายจิตใจบางคนอยู่บ้าง
ทว่าเพราะพวกเขามีอาจารย์คนเดียวกัน มันจึงดีกว่าที่จะเอ่ยเช่นนี้
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังได้ค้นพบสิ่งที่ติดค้างอยู่ในหัวใจของหยางกานยามเมื่อฝึกพลังจิตกับอีกฝ่าย
“หึ ศิษย์น้องจ้าว เจ้ามั่นใจในการเอาชนะข้าจริงๆ หรือ?”
หยางกานเอ่ยอย่างไม่ใคร่ยินดีนัก
ทว่าเมื่อชายหนุ่มเอ่ยเช่นนั้น เขาก็ไม่ได้มั่นใจนัก
ความจริงนั้น เขาไม่กระทั่งมีความมั่นใจในการเอาชนะศิษย์ผู้ลึกลับของเขาผู้นี้เสียด้วยซ้ำ
ยามเมื่อพวกเขาฝึกฝนกันคราที่แล้ว เคล็ดพลังจิตของจ้าวเฟิงได้ทำงานครั้งหนึ่ง ทั้งบัดนี้พลังฝึกตนของเด็กหนุ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
“ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้า ข้ามีโอกาสในการเอาชนะอ้าวเยว่เทียนอย่างน้อยเจ็ดสิบในร้อยส่วน”
จ้าวเฟิงเลี่ยงใช้คำอื่น
เขาไม่ได้เอ่ยว่าเขาสามารถเอาชนะหยางกานได้ ทว่าใช้อ้าวเยว่เทียนเป็นตัวแทน
“เอาชนะอ้าวเยว่เทียน?”
หยางกานสูดลมหายใจเย็นเยียบ สำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะกล้าจินตนาการ
ย้อนไปยามงานสามสำนัก พลังแข็งแกร่งของอ้าวเยว่เทียนได้สลักลึกลงในหัวใจของเขา เขาพ่ายแพ้โดยแท้จริง
ยามเมื่อผู้อาวุโสหนึ่งได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของชายชราก็ส่องประกายวูบ ความยินดีที่ได้รับจากศิษย์ผู้นี้นั้นเหนือกว่าที่เขาคาดยิ่งนัก
ทว่าผู้อาวุโสหนึ่งไม่ได้เชื่อถือในคำของจ้าวเฟิงอย่างสมบูรณ์ ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา เขาได้เห็นอัจฉริยะที่มั่นใจจนเกินไปและพ่ายแพ้ยับเยินในท้ายที่สุดมามากแล้ว
“ฮึ่ม อย่าได้ยโสนัก ครึ่งเดือนก่อนอ้าวเยว่เทียนแห่งสำนักวิญญาณจันทร์ได้ทะลวงเข้าสู่นภาที่เจ็ดแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณแล้ว ทั้งศิษย์หลักของพวกเขา จ้าวหยูเฟยก็ได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่หก”
ผู้อาวุโสหนึ่งเค้นเสียงเย็นในลำคอก่อนจะเอ่ยขึ้นเพื่อดับไฟของจ้าวเฟิง
นภาที่เจ็ดแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
หยางกานตะลึง มันยากที่จะเชื่อว่าคนผู้หนึ่งในคนรุ่นใหม่ได้เข้าสู่นภาที่เจ็ดแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณแล้ว
สีหน้าของจ้าวเฟิงยังคงปกติ ทว่าเขาถอดถอนใจอยู่ในใจ เขาคำนวณว่ามันมีโอกาสน้อยนักที่อ้าวเยว่เทียนจะพยายามทะลวงขั้นสู่นภาที่เจ็ดก่อนงานพันธมิตร
ทว่ามันกลับเกิดขึ้นจริงๆ
“ขอบคุณที่ศิษย์น้องจ้าวช่วยคลายปมในใจข้า”
หยางกานมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความรู้สึกซับซ้อนและซาบซึ้ง
จ้าวเฟิงเอ่ยมันออกมาตรงๆ และใช้พลังในการคลายปมในใจของหยางกาน
หากจ้าวเฟิงไม่เอ่ยมันออกมา หยางกานก็จะรู้สึกกดดันอย่างมากและอาจเกิดความริษยา ทำให้อารมณ์ของเขาจมลึกลง
จ้าวเฟิงไม่ต้องการให้เกิดการต่อสู้ระหว่างพวกเขา ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
ในยามนี้ หัวใจของหยางกานได้กว้างไกลขึ้น ไม่มีสิ่งใดจำกัดเขาไว้อีกต่อไป ทำให้มีโอกาสในการเพิ่มพลังฝึกตนมากขึ้น
ผู้อาวุโสเห็นทุกสิ่ง และผงกศีรษะ
การกระทำของจ้าวเฟิงอาจดูจองหองและประมาทเลินเล่อ ทว่ามันได้แก้ไขปัญหาด้วยทางที่ง่ายและเถรตรงที่สุด
หลังจากหยางกานออกไป มีเพียงจ้าวเฟิงและผู้อาวุโสหนึ่งอยู่
“เฟิงเอ๋อร์ มีอันใดอีกหรือ?”
ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยถาม
จ้าวเฟิงนำชิ้นส่วนหนังสัตว์จากแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพมอบให้กับผู้เป็นอาจารย์
ผู้อาวุโสหนึ่งกวาดตามองอักษรบนแผ่นหนัง สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ผู้อาวุโสหนึ่งชัดเจนว่ารู้จักอักษรที่เขียนบนแผ่นหนัง และดูจะเห็นความลับบางอย่างจากมัน
“ข้าไม่อยากเชื่อว่าเจ้าสามารถมีชีวิตรอดจากการเข้าไปยังแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพได้”
ผู้อาวุโสหนึ่งสูดลมหายใจลึก สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและสงสัย
แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพคือหนึ่งในเจ็ดสถานที่ต้องห้ามในทวีป และในเวลาพันปีที่ผ่านมา มีเพียงผู้นำลัทธิมารจันทราชาดเท่านั้นที่สามารถล่าถอยออกจากที่แห่งนั้นได้โดยไร้ซึ่งอันตรายใดๆ
ผู้อาวุโสหนึ่งยังคงรู้สึกไม่สบายใจและตรวจสอบร่างกายของผู้เป็นศิษย์
“หากข้าถูกโจมตีโดยคำสาป พลังฝึกตนของข้าจะเพิ่มขึ้นหรือ?”
จ้าวเฟิงไม่รู้จะพูดเช่นไร
และอย่างที่คาด ผู้อาวุโสหนึ่งไม่พบสิ่งใดในร่างกายของเด็กหนุ่ม
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะถูกสาป จากเหล่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็อาจไม่สามารถทำลายมันลงได้
แน่นอนว่าสาเหตุที่จ้าวเฟิงส่งแผ่นหนังให้กับผู้อาวุโสหนึ่งนั้นเป็นเพราะเขาต้องการถามคำถามบางอย่าง
“การจัดระดับระหว่างสำนักนั้นมีอยู่จริงหรือขอรับ? สำนักหนึ่งดาราแข็งแกร่งเพียงใดกัน?”
จ้าวเฟิงเอ่ยถามด้วยควมาสงสัย
“นี่เป็นเพียงตำนาน หากสำนักถูกจัดแบ่งตามดารา จะไม่มีสำนักหรือพรรคใดๆ กระทั่งมีระดับถึงหนึ่งดาราในประวัติศาสตร์ของทวีปบุปผาคราม”
ผู้อาวุโสหนึ่งแย้มยิ้มขมขื่น
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็นิ่งอึ้ง มิใช่นั่นหมายความว่าสำนักจันทร์สลายนั้นไม่กระทั่งเป็นสำนักระดับหนึ่งดาราหรือ?
“จากการแบ่งระดับเป็นดารา สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งนี้อาจพอเรียกได้ว่าเป็นระดับหนึ่งดารา พูดจริงๆ แล้ว อาจเรียกได้ว่ามีเพียงลัทธิมารจันทราชาดจากเมื่อหลายร้อยปีก่อนที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสำนักที่มีระดับหนึ่งดาราจริงๆ สำหรับสำนักจันทร์สลาย มันไม่กระทั่งมีระดับถึงครึ่งดารา นอกจากนั้น ช่องว่างระหว่างครึ่งดาราและหนึ่งดารานั้นมากเกินกว่าหมื่นแสนเท่า แน่นอนว่ามันไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นความจริง”
ยามเมื่อผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ย ชายชราก็ส่ายศีรษะ
การแบ่งกองกำลังโดยดารานั้นเป็นเพียงตำนาน
ตามระดับนั้น สำนักจันทร์สลายไม่อาจกระทั่งนับได้ว่าเป็นครึ่งดารา และสำนักที่มีระดับถึงหนึ่งดารานั้นแข็งแกร่งกว่าสำนักครึ่งดารานับหมื่นนับแสนเท่า
หากมันเป็นเช่นนี้ต่อไป หนึ่งดาราครึ่ง… สองดารา… จนกระทั่งถึงห้าดารา สำนักระดับห้าดาราจะทรงพลังมากมายเพียงใดกัน?
เพียงแค่ข้ารับใช้จากสำนักสองดาราก็สามารถที่จะทำลายสำนักจันทร์สลายได้แล้ว ดังนั้นไม่ต้องคิดถึงห้าดาราเลย
“มันมีตำนานมากมายเกินไป เจ้าสามารถไปยังหอตำราและอ่านบันทึกที่นั่นได้”
ผู้อาวุโสหนึ่งถอดถอนใจและดูเหมือนว่าจะต้องไม่ต้องการพูดสิ่งใดไปมากกว่านี้
จ้าวเฟิงกลับไปยังตำหนักกลางและเข้าไปยังหอตำรา
ไม่ช้า
เด็กหนุ่มก็พบบันทึกเกี่ยวกับดารา
ตำรากล่าวว่าสำนักระดับครึ่งดาราต้องมีคนในระดับชั้นนายเหนือแท้คนหนึ่ง และผู้อื่นในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงอีกนับสิบ รวมทั้งข้อกำหนดอีกจำนวนมาก
แสดงว่าสำนักจันทร์สลายไม่ใช่กองกำลังระดับครึ่งดารา ห่างไกลกันมากนัก
เมื่อถึงเวลาหนึ่ง
จ้าวเฟิงก็เริ่มที่จะอ่านเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของกาลเวลา
ตามบันทึก มันได้มี ‘ทวีปรกร้าง’ แห่งหนึ่ง
จักรวรรดิรกร้างนั้นกว้างใหญ่ไพศาล และเป็นจุดเริ่มต้นของกาลเวลา ให้กำเนิดเทพและปีศาจที่ครอบครองพลังมหาศาล และส่วนใหญ่จะเป็นอมตะ
ในบรรดาหนทางแห่งกาลเวลา เผ่าพันธุ์จำนวนนับไม่ถ้วนได้ปรากฏขึ้นในทวีปรกร้างนั้น
จนกระทั่งวันหนึ่ง
การต่อสู้ได้เกิดขึ้น กระทั่งเทพ ปีศาจ และราชาแห่งเทพก็เข้าร่วม
การต่อสู้นั้นสั่นสะท้านตะวันและจันทรา โลกาแหลกสลาย ในที่สุดก็ฉุดรั้งเทพแต่บรรพกาลที่มีพลังต้องห้ามให้เข้าร่วม สร้างพายุสายลมทำลายล้าง ทำลายทวีปรกร้างจนแตกสลาย
โลกไม่ได้จบลงหลังจากที่ทวีปรกร้างแตกออก กลับกัน ทวีปขนาดยักษ์ได้แบ่งออกเป็นชิ้นส่วนนับพันล้าน สายเลือดแห่งเทพโบราณได้หลอมรวมเข้าไปในฝุ่นผงเหล่านั้น
ตำนานกล่าวไว้ว่า
ทวีปบุปผาครามคือหนึ่งในชิ้นส่วนนับพันล้านของทวีปรกร้าง
จ้าวเฟิงรู้สึกไม่เชื่อถือในตำนานเหล่านี้
หากมันเป็นจริง เช่นนั้นทวีปรกร้างก็มีขนาดใหญ่เกินไปแล้ว เพียงแค่เศษเสี้ยวยังมีขนาดเท่าโลกใบหนึ่ง
ชัดเจนว่าเด็กหนุ่มไม่เชื่อในสิ่งนี้ เช่นเดียวกับที่เรื่องการจัดระดับดารา
จ้าวเฟิงปิดบันทึกลง หมุนตัวจากไป
หืม?
จ้าวเฟิงพลันรับรู้ว่าดวงตาของแมวขโมยตัวน้อยส่องประกายระริกยามที่เขาอ่านตำนานเหล่านั้น
วินาทีเดียวกับที่เขาหมุนตัว
เสียงในความทรงจำก็ได้ดังขึ้น “อดีตได้พังทลาย เทพบรรพกาลที่ถูกทำลายจะกลายเป็นเศษฝุ่นนับพันล้าน…”
เสียงนั้นฟังดูคุ้นเคย และมันคือเสียงที่เขาได้ยินเป็นอย่างแรกยามที่ได้รับดวงตาซ้ายลึกลับมา
ร่างกายของเด็กหนุ่มแข็งค้าง สูดลมหายใจลึกอย่างช่วยไม่ได้
อดีตได้พังทลาย เทพบรรพกาลที่ถูกทำลายจะกลายเป็นเศษฝุ่นนับพันล้าน
คำสั้นๆ ง่ายๆ เหล่านี้ดูจะพิสูจน์ในตำนานที่เขาเพิ่งจะอ่านเมื่อครู่
มิใช่นี่หมายความว่า… ตำนานเหล่านี้เป็นความจริงหรือ? อย่างน้อยก็ไม่ได้บิดเบือนไปมาก
หากตำนานเป็นความจริง เช่นนั้นการจัดระดับดาราก็ควรจะเป็นความจริงเช่นกัน
ในเสี้ยววินาทีนี้
สมองของจ้าวเฟิงเกิดความสับสนบางอย่าง
แต่จิตใจของเขาไม่นานก็เยือกเย็นลงได้
ตั้งแต่ยามที่เขาหลอมรวมเข้ากับดวงตาซ้ายลึกลับ เขาก็ได้กลายเป็นคนเยือกเย็นและเด็ดขาด ไม่ว่าสถานการณ์จะอันตรายและเข้าตาจนมากเพียงใด เขาก็ยังคงสามารถรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้
“นั่นหมายความว่าดวงตาซ้ายของข้าคือเนตรแห่งเทพโบราณหรือ?”
จ้าวเฟิงคิด ทว่าค่อนข้างมั่นใจว่ามันเป็นเช่นนั้น
ดวงตาที่มาจากเทพบรรพกาลแห่งยุคสมัยของทวีปรกร้าง
จ้าวเฟิงมั่นใจในการวิเคราะห์ของเขาอย่างมาก แน่นอน นี่ก็เป็นการคาดเดาได้ว่าตำนานนั้นเป็นความจริง
“เช่นนั้น ข้าควรจะเรียกดวงตาซ้ายของข้าว่าเนตรจิตวิญญาณแห่งเทพเจ้า”
จ้าวเฟิงพึมพำ
ตึก ตึก ตึก ตึก
ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มพลันเต้นตุบอย่างรวดเร็วกว่าเดิม โลหิตสีเขียวครามลึกในดวงตานั้นดูราวกับเผาไหม้ ราวกับว่าจักรพรรดิได้ลืมตาตื่น
กลิ่นอายที่กระทั่งล้ำลึกกว่าเดิมได้หลอมรวมเข้ากับสายเลือดของจ้าวเฟิง เปลี่ยนสีผมของเด็กหนุ่มให้เข้มขึ้น