บทที่ 30 : วิชากำแพงเหล็ก
“เจ้ามีจุดแข็งในด้านของความเร็วและพลังภายใน ทว่าพลังป้องกันของเจ้านั้นอ่อนด้อยยิ่ง” จ้าวหยูเฟ่ยมองไปยังจ้าวเฟิง
“ใช่! นั่นคือจุดอ่อนของข้า” จ้าวเฟิงไม่ได้ประหลาดใจ หลังจากที่เขาได้หลอมรวมเข้ากับดวงตาซ้ายของเขาแล้ว การมองเห็นของเขานั้นก็พัฒนาขึ้นกระทั่งมองเห็นรายละเอียดเล็กๆ เมื่อเด็กหนุ่มสามารถมองเห็นจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ได้ เขาย่อมมองเห็นของตนเองได้เช่นกัน
“เจ้าได้เรียนวิชาฝึกฝนร่างกายบ้างหรือไม่?” จ้าวหยูเฟ่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ
“ไม่”
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการฝึกฝน แต่เป็นเพราะวิชาที่ใช้ฝึกฝนร่างกายนั้นต้องใช้เวลายาวนานและไม่อาจเรียนรู้ได้ในเวลาสั้นๆ
วิชาโดยทั่วไปนั้นใช้เพียงความเข้าใจและพรสวรรค์ก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างง่ายดายในเวลาสั้นๆ มีเพียงวิชาที่ใช้ในการฝึกฝนร่างกายที่ต้องการวัตถุดิบ รวมทั้งความพยายามในการเรียนรู้
“ร่างกายนับเป็นพื้นฐานของการฝึกตน วิชาฝึกฝนร่างกายระดับสูงไม่เพียงช่วยเสริมพื้นฐาน แต่สามารถเพิ่มพลังป้องกันให้ได้ด้วย พี่จ้าวเฟิงอยากจะเรียนสักวิชาหรือไม่..?” จ้าวหยูเฟ่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน
คำว่า ‘พี่จ้าวเฟิง’ นั้นทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มเต้น ทันใดนั้นใบหน้าของจ้าวหยูเฟ่ยก็แดงซ่านราวกับเต็มไปด้วยเลือด ภายในพรรคนั้น ศิษย์ที่อายุแก่กว่าจะถูกเรียกว่า ‘พี่’ บางทีอาจเป็นเพราะความสามารถของเด็กหนุ่มนั้นน่าตื่นตะลึงเกินไปจนทำให้เด็กสาวลืมเลือนเรื่องนี้ไป
“นับว่ามีเหตุผล ข้าจะคิดดู” จ้าวเฟิงผงกศีรษะหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนหน้าความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มนั้นคือความเร็ว ผู้คนที่อยู่ในขั้นเดียวกันย่อมไม่อาจแตะได้กระทั่งชายเสื้อของเขา ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้ใส่ใจความสำคัญของวิชาฝึกฝนร่างกายเท่าใดนัก
บัดนี้ ด้วยคำใบ้ของจ้าวหยูเฟ่ยทำให้จ้าวเฟิงกลับมาคิดถึงมันอีกครั้ง หากเขาไม่ได้มีไพ่ลับเช่นพลังภายใน เขาคงไม่อาจป้องกันคมดาบเหมันต์ของจ้าวยี่จางได้
ในทางกลับกัน จ้าวเยว่นั้นไม่มีกระทั่งพลังภายใน แต่กลับสามารถแลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับจ้าวยี่จางได้พักหนึ่ง นั่นเป็นเพราะเขาได้เรียนรู้วิชาฝึกฝนร่างกาย
การประลองกับซินโทงเมื่อวานทำให้จ้าวเฟิงตระหนักได้ถึงความสำคัญของวิชาฝึกฝนร่างกาย
เที่ยงวันเดียวกัน
จ้าวหยูเฟ่ยเชิญจ้าวเฟิงไปยังที่พักของนาง เด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ เมื่อพบว่าบ้านของเด็กสาวนั้นอยู่ข้างบ้านของเขา นางได้รับการดูแลเช่นเดียวกับจ้าวเฟิง ทั้งสองล้วนถูกดูแลเป็นอย่างดีโดยพรรค
“ท่านปู่!” จ้าวหยูเฟ่ยตะโกนอย่างยินดียามที่นางกลับบ้าน
“หยูเฟ่ยกลับมาแล้ว” ห้องๆ หนึ่งปรากฏร่างของชายชราแขนเดียวเดินออกมา เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดนอกจากตวัดสายตาไปมองจ้าวเฟิงอย่างผ่านๆ
“ข้าสงสัยยิ่งนักว่าข้อแลกเปลี่ยนที่จ้าวหยูเฟ่ยกล่าวถึงคือสิ่งใด?” จ้าวเฟิงกลับเข้าเรื่องในที่สุด
“โปรดรอสักพัก น้องจ้าวเฟิง” จ้าวหยูเฟ่ยเดินตรงไปยังชายชราก่อนจะเอ่ยคำพูดสองสามคำ
ในที่สุดชายชราแขนเดียวก็พยักหน้าและกลับไปยังห้องเพื่อนำหนังสือเก่าแก่เล่มหนึ่งออกมา
“วิชานี้เรียกว่าวิชากำแพงเหล็ก มันค่อนข้างเป็นที่รู้จักในทวีปเมฆา เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมกว่ากายาเหล็กของจ้าวเยว่เสียอีก” ชายชราแขนเดียวถอนหายใจอย่างแผ่วเบายามที่ยื่นหนังสือเล่มนั้นให้จ้าวหยูเฟ่ย
จ้าวเฟิงสำนึกขึ้นได้ในทันทีว่าคู่ปู่หลานคู่นี้ย่อมวางแผนรวมทั้งรับรู้ถึงผลประโยชน์ที่ได้จากวิชาลมหายใจตัดอากาศแล้ว
เหตุผลที่ทำให้นางอยากฝึกซ้อมกับจ้าวเฟิงนั้นเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าเขายังขาดความแข็งแกร่งของร่างกาย จากนั้นจึงสร้างข้อต่อรองขึ้น
“วิชากำแพงเหล็ก?” จ้าวเฟิงพึมพำอย่างแผ่วเบา เขาไม่เคยได้ยินผู้ใดเอ่ยถึงมันมาก่อน วิชากายาเหล็กของจ้าวเยว่นั้นนับเป็นวิชารดับสูง วิชากายาสัมฤทธิ์ของซินโทงเองก็เช่นกัน
จากคำกล่าวของชายชรานั้น วิชาฝึกฝนร่างกายนี้ยอดเยี่ยมกว่าวิชากายาเหล็ก
“วิชาฝึกฝนร่างกายนี่เป็นฉบับง่ายของวิชาระดับเทพเจ้า ‘กำแพงเงิน’ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงฉบับง่ายและมีเนื้อหาเพียงแค่หนึ่งในสามจากต้นฉบับ มันก็ยังถูกจัดอยู่ในขั้นสุดยอด” ชายชราเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
วิชาระดับเทพเจ้า? จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเย็นเยียบและเริ่มพิจารณาผู้พูด การที่สามารถนำวิชาระดับนี้ออกมาได้ อีกฝ่ายย่อมไม่ได้มีพื้นเพธรรมดาเป็นแน่
เขาใช้นัยน์ตาซ้ายมองอีกฝ่าย ทว่ากลับพบว่าโลหิตของชายชรานั้นเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ไม่มีร่องรอยของพลังภายในแม้แต่น้อย
“10 ปีที่แล้ว ข้าสูญเสียพลังฝึกตนของข้าไปในอุบัติเหตุ” ชายชราดูเหมือนจะรับรู้ถึงสายตาของเด็กหนุ่ม เขาจึงเอ่ยอธิบาย
“ขออภัยด้วย” จ้าวเฟิงรู้สึกผิดขณะที่รั้งสายตากลับ
ชายชราแขนเดียวมีสีหน้าไร้อารมณ์ในขณะที่เอ่ยต่อ
“เพื่อหลานสาวของข้า ข้าจะให้วิชากำแพงเหล็กแก่เจ้าแลกกับวิชาพลังภายในของเจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?” คำกล่าวนี้ล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของจ้าวเฟิง
“ให้ข้าคิดก่อน” เด็กหนุ่มเริ่มชั่งผลดีผลเสีย
วิชาลมหายใจตัดอากาศนั้นเป็นวิชาพลังภายในเพียงอย่างเดียวและสามารถจัดได้ว่าเหนือกว่าวิชาระดับสูงได้โดยง่าย อาจเรียกได้ว่าไม่ด้อยไปกว่าวิชาระดับสุดยอดเลยแม้แต่น้อย ทว่าวิชานี้ต้องใช้ร่วมกับวิชานภาลอยล่องจึงจะสามารถใช้ได้จนสุดขีดความสามารถ
แน่นอนว่าวิชากำแพงเหล็กก็ไม่นับว่าแย่ มันคือฉบับง่ายของวิชาระดับเทพเจ้าและจัดอยู่ในขั้นสุดยอดของวิชาระดับสูง ไม่ห่างไกลจากวิชาระดับสุดยอดเท่าใด
เมื่อคิดถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มก็ได้คำตอบ
“ได้” จ้าวเฟิงพยักหน้าก่อนจะขอให้จ้าวหยูเฟ่ยนำกระดาษมาให้เขา หลังจากนั้นเด็กหนุ่มจึงได้เขียนรายละเอียดวิชาลมหายใจตัดอากาศลงไป
เด็กหนุ่มเขียนลงไปเฉพาะส่วนของวิชาลมหายใจตัดอากาศ แต่ไม่ได้เขียนสิ่งใดที่จะโยงไปถึงวิชานภาลอยล่องได้ นั่นหมายความว่าจ้าวหยูเฟ่ยจะได้ไปเพียงวิชาพลังภายใน แต่ไม่ได้ส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิชานภาลอยล่องไป
หลังจากที่เขียนเสร็จ จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยจึงแลกเปลี่ยนวิชากัน
ชายชรานำวิชาลมหายใจตัดอากาศไปก่อนเริ่มพิจารณามัน จ้าวเฟิงใช้ดวงตาซ้ายในการกวาดตาอ่านรายละเอียดของวิชากำแพงเหล็กเช่นกัน เขามีวิชานับร้อยอยู่ในศีรษะ นั่นย่อมหมายความว่าความรู้ในด้านวิชาต่อสู้ของเขาย่อมไม่เลว
เขาเพียงแค่กวาดตามองครั้งเดียวก็สามารถจดจำได้ทั้งหมด ชัดเจนว่าวิชาในมือของเขาตอนนี้นั้นเหนือกว่าวิชาที่เขามีในศีรษะตอนนี้นัก
“ไม่เลว วิชานี่เหมาะกับจ้าวหยูเฟ่ย” ชายชราแขนเดียวเอ่ยอย่างมีความสุขเมื่อเขาอ่านจบ
“ฮี่ฮี่ ข้ายินดีให้ความร่วมมือ” จ้าวเฟิงวางตำราวิชากำแพงเหล็กลงด้วยความสุขเช่นกัน
ทว่าก่อนที่จ้าวเฟิงจะจากไปนั้น เขาไม่อาจห้ามตนเองไม่ให้ถามออกไปได้
“ผู้อาวุโส เหตุใดท่านจึงไม่ให้พี่หยูเฟ่ยเรียนรู้วิชากำแพงเหล็ก?”
ชายชราหัวเราเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“เจ้าเป็นอัจฉริยะของพรรคแต่กลับไม่รู้เช่นนั้นรึ? เพียงแค่ชื่อ ‘กำแพงเหล็ก’ ก็สามารถบอกได้แล้วว่าผิวย่อมกลับกลายเป็นแข็งราวเหล็ก นั่นหมายความว่ามันย่อมไม่เหมาะสมกับสตรี ความคล่องแคล่วและการใช้เคล็ดอ่อนเหนือแข็งของหยูเฟ่ยนั้นเหมาะกับวิชาลมหายใจตัดอากาศของเจ้า หรือมิเช่นนั้นข้าคงไม่ยอมแลกวิชากำแพงเหล็กกับมัน”
ไม่แปลกใจเลย จ้าวเฟิงผงกศีรษะ วิชากำแพงเหล็กนั้นไม่เหมาะกับสตรีจริงๆ ภาพของหยูเฟ่ยที่กลายเป็นสตรีที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามนั้นทำให้เด็กหนุ่มตัวสั่น
หลังจากที่กลับไปยังบ้านของเขา จ้าวเฟิงก็เริ่มฝึกฝนวิชากำแพงเหล็กในทันที วิชาฝึกฝนร่างกายโดยทั่วไปนั้นเข้าใจง่าย แต่วิชาฝึกฝนร่างกายนี้กลับไม่ใช่วิชาทั่วไป เพียงแค่การทำความเข้าใจก็ยากเสียยิ่งกว่าวิชาระดับสูงโดยทั่วไปแล้ว
ทว่ามันก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้เด็กหนุ่มเมื่อเขาใช้ดวงตาซ้ายในการหลอมรวมเนื้อหาทั้งหมดเข้าสู่สมองของเขาและแสดงมันกลับไปมา
ค่ำคืนนั้น จ้าวเฟิงก็สามารถก้าวเข้าสู่วิชากำแพงเหล็กได้ วิชานี้มีด้วยกันทั้งหมด 7 ขั้น
ขั้นแรกนั้นจะทำให้ผิวหนังของผู้ฝึกแข็งขึ้น หลังจากที่เข้าสู่ระดับสามผิวหนังก็จะแข็งราวกับโลหะ ทำได้กระทั่งป้องกันคมดาบ ดูเหมือนว่าวิชานี้ซับซ้อนกว่าวิชากายาเหล็กของจ้าวเยว่ยิ่งนัก
วิชากายาเหล็กของจ้าวเยว่นั้นคือการที่ผู้ใช้รวบรวมพลังมาไว้ที่จุดเดียวกันเพื่อป้องกันคมดาบ
“ระดับสี่ ใช้พลังภายในในการทำให้กระดูกแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งทำให้แรงของผู้ฝึกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ร่างกายเปล่าๆ ก็สามารถตอบโต้กับอาวุธและพลังภายในได้ เมื่อถึงระดับนี้ทั้งร่างกายจะแข็งแกร่งราวกับกำแพงโลหะ”
นัยน์ตาของจ้าวเฟิงเริ่มส่องประกายเมื่ออ่านถึงตอนนี้
วิชาฝึกฝนร่างกายนี้สามารถเพิ่มแรงให้กับผู้ฝึกได้
หากข้าฝึกฝนวิชากำแพงเหล็กจนกระทั่งเข้าระดับสี่ ข้าจะมีโอกาสติดหนึ่งในสามถึง 70% จ้าวเฟิงคิด
ระดับ 5: เมื่อถึงขั้นนี้ ร่างกายของผู้ฝึกสามารถทำลายอาวุธได้
ระดับ 6: ผู้ฝึกสามารถรับการโจมตีจากผู้ฝึกตนขั้นเจ็ดได้โดยไร้ซึ่งอาการบาดเจ็บ
ระดับ 7: ร่างสมบูรณ์ที่จะไม่ละลายแม้จอยู่ในความร้อนถึงขีดสุด
หลังจากอ่านส่วนที่เหลือ เด็กหนุ่มก็รู้สึกตะลึง โดยเฉพาะระดับเจ็ด นับได้ว่าร่างกายนั้นไม่ใช่ร่างกายของมนุษย์แล้ว!
ถูกส่งเข้าเตาเผาแต่กลับไม่เป็นอันใด เรื่องบ้าบออันใดกัน? หากร่างกายของคนผู้นั้นยังถูกสร้างจากเลือดเนื้อ พวกเขาย่อมไม่อาจทนทานความร้อนของเตาเผาได้
หากสามารถฝึกฝนได้จนเข้าระดับเจ็ด ผู้ที่มีระดับฝึกตนต่ำกว่าขั้นเก้าย่อมไม่อาจทำอันตรายได้
“ข้าคิดว่าการแลกเปลี่ยนครั้งนี้คุ้มค่าแล้ว” จ้าวเฟิงรู้สึกตื่นเต้นในขณะที่พยายามหนักขึ้นกว่าเดิมเท่าตัวในการฝึกฝนวิชานี้ เมื่อเขาเข้าใจในพลังภายในแลทะลวงเข้าสู่ขั้นสี่แล้ว ความเร็วการฝึกฝนของเด็กหนุ่มจึงรวดเร็วยิ่งนัก
เขาใช้เวลาเพียงวันเดียวในการเข้าสู่ระดับแรก
เด็กหนุ่มพบว่าผิวหนังของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่เข้าระดับแรก
นี่มันชัดเจนยิ่ง!
ทว่าหลังจากที่เขาเข้าสู่ระดับแรกแล้ว เขาก็พบว่าความเร็วในการฝึกนั้นลดต่ำลงอย่างมาก
จ้าวเฟิงคาดว่าเขาคงต้องใช้เวลาราวๆ 10 วันในการเข้าสู่ระดับสอง
เหลือเวลาอีก 10 วันก่อนจะถึงงานประลองหลัก จ้าวเฟิงคิด เด็กหนุ่มตัดสินใจที่จะกลับไปยังตำหนักยาและซื้อ ‘ผงเสริมกาย’ ซึ่งราคาถุงล่ะ 2,000 เงิน และสามารถใช้ได้เพียง 3 ครั้งเพื่อเพิ่มความเร็วในการฝึกของเขา
เด็กหนุ่มกัดฟันแน่นขณะจ่ายเงินซื้อมาสามถุง รวม 6,000 เงิน
ทุกคนล้วนรู้ว่าความสามารถของ ‘ยาวายุ’ นั้นคือการเพิ่มความสามารถในการกักเก็บพลังภายในของผู้กิน
เห็นได้เลยว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ลืมเลือนที่จะฝึกฝนพลังภายในของเขา
ผงเสริมกายสามถุงและยาวายุกินเงินเก็บของเขาจนหมด
หลังจากที่กลับไปยังบ้านของเขา เด็กหนุ่มก็เปิดถุงผงเสริมกายในทันทีและเริ่มฝึกฝนวิชากำแพงเหล็ก ในขณะที่เขาอาบผงยานั้นความรู้สึกอุ่นร้อนเริ่มปะทุขึ้นในร่างของเขา
หลังจากเวลาผ่านไป ความรู้สึกพลุ่งพล่านนั้นก็เริ่มจมลงในร่างของเขา ทันใดนั้นเสียงแปลกประหลาดทว่าคุ้นเคยก็ดังขึ้น
เปรี้ยะ! เปรี้ยะ!
ในส่วนลึกของดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มเริ่มส่งเสียงราวกับเนื้อที่นาบลงบนเตาออกมาเมื่อมันหลอมรวมกับตัวยา
ฮู่ววว
ความรู้สึกร้อนประหลาดหมุนวนอยู่ในร่างกายพร้อมเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนของเขา
“นี่…” จ้าวเฟิงตะลึงแต่ไม่ยอมเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เขายังคงดูดซึมพลังงานที่อยู่ในตัวยา