บทที่ 31 : ตามฆ่าในป่าเมฆาคล้อย
เกิดอันใดขึ้น? จ้าวเฟิงรู้สึกว่านัยน์ตาซ้ายของเขานั้นเต้นตุบ โลหิตนั้นราวกับอยู่ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างซึ่งทำให้เขาสามารถซึมซับพลังงานได้อย่างรวดเร็ว
มันเป็นที่แน่นอนว่าความสามารถในการดูดซึมยาของเด็กหนุ่มนั้นเหนือกว่าคนทั่วไป โดยทั่วไปนั้น ถุงผงเสริมกายสามารถใช้ได้สามครั้ง ทว่าจ้าวเฟิงกลับใช้เพียงครั้งเดียวก็สามารถดูดซึมพลังงานมาได้จนหมด
เด็กหนุ่มโคลงศีรษะอย่างเนือยๆ เมื่อคิดว่าเงิน 2,000 เงินได้ถูกใช้ไปในเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่มันก็ยังนับว่าดีที่พลังงานทั้งหมดนั้นเขาสามารถดูดซึมได้
เขารู้สึกได้ว่าความเร็วในการฝึกฝนวิชากำแพงเหล็กนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
“เกิดความเปลี่ยนแปลงอันใดกับร่างกายของข้ากัน? ความเร็วในการซึมซับนั้นเพิ่มขึ้นยิ่งนัก” จ้าวเฟิงรู้สึกราวกับร่างกายของเขามีความลับบางอย่างที่เขาไม่อาจล่วงรู้ เขามั่นใจเพียงว่าความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั่นมีความเกี่ยวข้องกับนัยน์ตาซ้ายของเขาอย่างแน่นอน
วันถัดไป เด็กหนุ่มเริ่มต้นด้วยการโคจรเคล็ดลมหายใจตัดอากาศสองสามครั้งก่อนจะเริ่มใช้ผงเสริมกายต่อ
เพียงแค่สามวัน วิชากำแพงเหล็กก็ได้เขาสู่ระดับสอง ทว่าผงเสริมกายราคา 6,000 เงินของเขาก็หมดลงแล้วเช่นกัน
วิชากำแพงเหล็กสองระดับแรกนั้นไม่ได้เพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมของเด็กหนุ่มนัก แม้แต่ของเขาจะเพิ่มขึ้น แต่พลังป้องกันของร่างกายเขานั้นเพิ่มขึ้นเพียง 20-30% เท่านั้น
นั่นเป็นเพราะว่าพื้นฐานของจ้าวเฟิงนั้นแข็งแกร่งมาก หากเขาเข้าสู่ระดับสองของวิชาก่อนที่เขาจะทะลวงเข้าสู่ขั้นสี่ พลังที่เพิ่มขึ้นของเขาจะเห็นได้ชัดเจนอย่างมาก
“เมื่อเขาสู่ระดับสามจึงจะทำให้ร่างกายแข็งแกร่งราวโลหะ และสามารถป้องกันอาวุธได้ ทำให้พลังป้องกันของผู้ฝึกเพิ่มขึ้นอย่างมาก”
จ้าวเฟิงอยากจะเข้าสู่ระดับสาม ทว่าผงเสริมกายของเขานั้นได้ถูกใช้ไปจนหมดแล้ว และความเร็วในการฝึกของเขาก็กลับไปช้าเป็นเต่าคลานอีกครั้ง
เงิน เงิน เงิน จ้าวเฟิงถอนหายใจ เงินเก็บของเขาหมดไปแล้ว ตอนนี้เด็กหนุ่มนับว่าถังแตกอย่างแท้จริง
เมื่อคิดได้ถึงตอนนี้ เด็กหนุ่มก็หยิบเอายาวายุที่เขาซื้อมาเมื่อ 3 วันก่อนออกมา ยาวายุนั้นใช้เพื่อปรับพลังภายในให้บริสุทธิ์ซึ่งช่วยผู้ฝึกตนยิ่งนัก
เด็กหนุ่มกินยานั้นเขาไปและเริ่มโคจรเคล็ดลมหายใจตัดอากาศในทันที วิชาลมหายใจตัดอากาศนั้นยอดเยี่ยมกระทั่งปู่ของจ้าวหยูเฟ่ยยอมใช้วิชากำแพงเหล็กในการแลกกับมัน และด้วยพลังสมาธิที่เขาได้รับจากนัยน์ตาซ้าย เด็กหนุ่มจึงสามารถโคจรเคล็ดนี้ได้ยาวนานกว่าเดิมสองเท่า ดังนั้นแล้วพลังภายในของเขาจึงเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วอันน่าผวา
จ้าวเฟิงรู้สึกถึงความร้อนที่มาจากดวงตาซ้ายของเขาพร้อมกับความสามารถในการดูดซึมของเขาที่เพิ่มขึ้น
หนึ่งวันหนึ่งคืนถัดไป
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออกมาขณะที่ยกมือเขาขึ้น แสงสีเขียวซีดปรากฏขึ้นเป้นทรงกลมและหมุนวนช้าๆ ทั้งยังส่งความกดดันออกมาอย่างมาก
พลังภายในของเขาบัดนี้ได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นสี่โดยไม่รู้ตัว เป็นเพราะวิชากำแพงเหล็กและเคล็ดวิชาลมหายใจตัดอากาศได้ถูกพัฒนาในเวลาเดียวกัน ทำให้พื้นฐานของเด็กหนุ่มนั้นมั่นคงขึ้นไปอีก
เขาคิดถึงงานประลองที่จะมาถึงในเวลาอีก 6-7 วัน
“วิชากำแพงเหล็กอยู่ในขั้นสุดยอดของระดับสองแล้ว รวมทั้งพลังภายในของข้าก็สามารถเทียบเท่าได้กับขั้นสุดยอดของผู้ฝึกตนขั้นสี่ พลังฝึกตนของข้าเองก็จวนเจียนจะเข้าขั้นสุดยอดของขั้นสี่เช่นกัน” เด็กหนุ่มคำนวณพลังของตน
ด้วยพลังระดับนี้ เขามีโอกาส 40-50% ที่จะติดหนึ่งในสาม ทว่าเพื่อที่จะชนะนั้น เขามีโอกาสเพียง 30% เช่นเดียวกับ 70% ที่จะต้องหวังพึ่งความเร็วของวิชานภาลอยล่อง
ยังดีไม่พอ! จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ โอกาสที่จะชนะนั้นต่ำเกินไป
ไม่ว่าจะชนะจ้าวฮันและติดหนึ่งในสามหรือไม่ เขาก็ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของตน ทว่าการฝึกฝนอย่างธรรมดานั้นวิชากำแพงเหล็กของเขาย่อมพัฒนาอย่างเชื่องช้า
“ดูเหมือนว่าข้าต้องไปที่ป่าเมฆาคล้อยอีกครั้ง” จ้าวเฟิงเอ่ยหลังจากคิดอย่างลึกล้ำ เขานำกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าออกมาจากภายในห้องทันที
คันธนูสีเงินนอนเหยียดอยู่ในกล่องไม้ ธนูเงินนี้เป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มซื้อมาจากเมืองประกายอรุณ มีเพียงแค่ผู้ฝึกตนที่แท้จริงที่สามารถใช้พลังของมันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
จ้าวเฟิงเดินทางออกจากพรรคพร้อมด้วยคันธนูสีเงิน จากนั้นจึงซื้อของบางอย่างในเมืองก่อนจะมุ่งหน้าไปยังป่าเมฆาคล้อย
ทันทีที่เขาออกจากเมืองประกายอรุณ เงาร่างสามเงาก็พุ่งผ่านประตูเมืองจากไป สองร่างในนั้นสวมใส่เสื้อผ้าสีดำสนิทและมีผิวคล้ำ ทั้งยังมีน้าตาคล้ายคลึงกัน
“พี่ใหญ่! เด็กนั่นอาจจะไปยังป่าเมฆาคล้อย” หนึ่งในชายชุดดำเอ่ยอย่างเร่งรีบ
“ดีมาก นั่นนับเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการทำงานของเรา หากเป็นเช่นนี้เด็กนั่นย่อมตายตกอย่างแน่แท้!” ผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
จ้าวเฟิงสามารถฝึกฝนวิชานภาลอยล่องได้ตามแต่ใจต้องการยามที่ไม่มีผู้ใดรอบกาย
ร่างกายของเด็กหนุ่มนั้นเบาราวกับขนนกยามที่ล่องลอยหยอกล้อไปกับสายลม บางคราก็กระโดดอีกครั้งกลางอากาศ
ในที่สุด วันนี้วิชานภาลอยล่องก็เข้าสู่ขั้นต่ำ
ปึก! ปึก!
ในสถานที่เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกราวกับปักษาที่โผบิน
ข้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นสี่แต่กลับมีความรู้สึกเช่นนี้แล้ว หากข้าเข้าสู่ขั้นเก้า ข้าจะสามารถบินได้หรือไม่กัน? จ้าวเฟิงคิดอย่างตื่นเต้น
ครึ่งชั่วโมงถัดมา เด็กหนุ่มก็มาถึงยังป่าเมฆาคล้อยในที่สุด
ป่าที่ทอดยาวไปไร้ที่สิ้นสุดนั้นราวกับปากของสัตว์ปีศาจ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสิ่งใดหลับใหลอยู่ในส่วนลึกของป่าแห่งนี้ สิ่งที่จ้าวเฟิงรู้นั้นมีเพียงยิ่งเข้าไปลึกเท่าใด ก็ยิ่งสามารถพบสัตว์ปีศาจได้มากขึ้นเท่านั้น ความอันตรายก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
เด็กหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบด้วยนัยน์ตาซ้ายเพื่อตรวจตราถึงสัตว์อสูร เห็นสัตว์ปีศาจสองสามตัวอยู่บ้าง จากนั้นเขาจึงพุ่งออกไป 30 ไมล์
จ้าวเฟิงหยิบคันธนูสีเงินออกมาและใส่พลังภายในของเขาลงไป สายธนุเริ่มสั่นสะท้านด้วยพลัง
ฟุ่บ
ลูกธนูสีเงินดอกหนึ่งพุ่งทะยานผ่านป่าและปักเข้าที่หมูป่าขนาด 200 กิโลกรัม ในระยะห่าง 200 เมตร
ปึก!
ลูกธนุทะลวงดวงตาและทะลุเข้าไปภายในศีรษะ เลือดสีสดสาดกระจายไปทั่ว หมูป่าตัวนั้นดิ้นรนอยู่ชั่วครู่ก่อนจะล้มลง มันคงเป็นคู่ต่อสู้ที่ยากลำบากสำหรับผู้ฝึกตนขั้นสามหากปะทะโดยตรง
เด็กหนุ่มไม่ได้ไปเก็บซากนั้น เขาเพียงแค่ฝึกฝนทักษะด้วยธนูเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงของเขานั้นคือสัตว์อสูร มีเพียงแค่การล่าสัตว์อสูรที่จะสามารถทำเงินและซื้อทรัพยากรที่เขาต้องการได้
“พลังของธนูเงินนี่ไม่นับว่าเลว ทุกๆ ศรมีพลังเทียบเท่ากับการโจมตีของผู้ฝึกตนขั้นสี่ในระยะ 300 ก้าว ศรของข้ายังอาบด้วยยาพิษ หากข้ายิงโดนจุดตาย ความรุนแรงของมันนั้นเทียบเท่าได้กับการโจมตีของผู้ฝึกตนขั้นห้า” เด็กหนุ่มรู้สึกพึงพอใจในตนเองอย่างมาก ในฐานะของนักธนูนั้น จ้าวเฟิงมีโอกาสในการฆ่าและมีชีวิตรอดสูงมาก
“แปะ แปะ แปะ… ไม่เลว ไม่เลว ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเป้าหมายของข้าในครานี้จะเป็นนักธนู”
เสียงปรบมือดังขึ้นจากเบื้องหน้าเด็กหนุ่ม
“ผู้ใด!” จ้าวเฟิงผวาไป
ในสายตาของเขาปรากฏร่างของชายร่างผอมราวกระดูกเดินได้ในชุดสีเทายืนอยู่บนยอดไม้ห่างออกไป 200 เมตร คนผู้นี้ราวกับวิญญาณที่สิงสู่บนต้นไม้ หากคนผู้หนึ่งไม่สังเกตละเอียดพออาจนึกไปว่าเป็นเพียงเศษผ้าที่ติดอยู่บนยอดไม้
เด็กหนุ่มมองผ่านนัยน์ตาซ้าย เขาพบว่ากลิ่นอายของอีกฝ่ายนั้นบรรจบกันในสภาวะแปลกประหลาด กลายเป็นว่าไร้กลิ่นอายใดๆ ไป
จากการสังเกตของเขาพบว่าชายเบื้องหน้านั้นเป็นผู้ฝึกตนขั้นห้าและฝึกฝนวิชาที่คล้ายคลึงกับวิชาซ่อนลมหายใจ รวมทั้งวิชาแกะรอย
“ผู้ใด? ฮี่ฮี่… เจ้ากำลังจะตายในไม่ช้า ไม่รู้เลยหรือ?” ชายชุดเทาเอ่ยเยาะเย้ย เขาไม่มีทีท่าว่าจะโจมตีในเร็วๆ นี้ ทว่าดวงตากลับจับจ้องอยู่ที่ร่างของจ้าวเฟิงไม่เบนไป
มือของจ้าวเฟิงปรากฏลูกธนุอาบยาพิษ 3 ดอกในขณะที่เผชิญหน้ากับนักฆ่า
เหตุใดเขาจึงไม่ขยับ?
เด็กหนุ่มรู้สึกประหลาด ทว่าไม่นานเขาก็รู้เหตุผล
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้หนู ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว!”
ด้านหลังของเขาราวๆ สองสามร้อยเมตรปรากฏร่างของชายในชุดดำสองคนมุ่งตรงมา ทั้งสองเป็นผู้ฝึกตนขั้นสี่
การโจมตีสองทาง!
สีหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป ทว่าผู้ที่ให้ความรู้สึกอันตรายที่สุดกลับเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเขา
“ถึงเวลาจบมันแล้ว” ดาบโค้งปรากฏขึ้นในมือของชายชุดเทา
ข้าควรทำอย่างไรดี? จ้าวเฟิงคิดอย่างรีบเร่ง
ในตอนนั้นเองที่ลึกลงไปในดวงตาซ้ายปรากฏเสียงอันคุ้นเคยขึ้น ภายใต้อันตรายนี้ จ้าวเฟิงได้ใช้นัยน์ตาซ้ายเพิ่มความสามารถของสายตาและปฏิกิริยาตอบโต้ไปจนถึงขีดสุด
“ฆ่า!”
ชายสองคนเบื้องหลังเด็กหนุ่มได้เข้ามาใกล้ในระยะหนึ่งถึงสองร้อยเมตร ทุกการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเชื่องช้าลงในสายตาของเด็กหนุ่ม
ทว่าชายชุดเทาเบื้องหน้าเขากลับยืนนิ่งราวตอไม้ พวกเขาราวกับเห็นภาพของจ้าวเฟิงที่ถูกหั่นเป็นชิ้นไว้แล้ว ทว่าเด็กหนุ่มกลับยังคงเยือกเย็น
ทันใดนั้น นัยนตาซ้ายของจ้าวเฟิงก็รู้สึกได้ว่าโลหิตและพลังภายในของชายชุดเทานั้น…
ในตอนนั้นเอง!
ดวงตาของเด็กหนุ่มเปล่งประกายอันตรายวูบในขณะที่เขาวางลูกธนูอาบยาพิษทั้งสามลงบนสายธนู
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ลูกธนูทั้งสามถูกยิงออกไปในทิศทางที่แปลกประหลาด ราวกับสามเหลี่ยมที่ถูกยิงไปยังชายชุดเทา