บทที่ 340 : เหล่าดวงดาราที่รวมตัวกัน (3)
เด็กสาวจากสำนักหมื่นดาบที่อยู่ในชุดสีขาวคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งในอดีตของสิบสามสำนักพันธมิตร—- ชางหยูเยว่
สำนักหมื่นดาบเป็นสำนักดาบอันดับหนึ่งของทวีปเหนือ มีมรดกเก่าแก่โบราณ พลังอำนาจมากมาย ความแข็งแกร่งโดยรวมของสำนักนับได้ว่าเทียบเท่ากับระดับสิบยอดสำนัก
การมาถึงของสำนักระดับนี้ แคว้นใหญ่และสำนักใหญ่อื่นๆ ย่อมต้องหลีกทาง
“หัวหน้าศิษย์สำนักหมื่นดาบ เซี่ยเซียนชาง งานชุมนุมเซียนมังกรครั้งที่แล้วติดหนึ่งในสามสิบ แทบจะมีฝีมือเทียบเท่าโม่เทียนอี้ นอกจากโม่เทียนอี้แล้ว ในบรรดาดาราในทวีปเหนือนับว่าไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้”
สีหน้าของเหล่าอัจฉริยะย่ำแย่ลง กระทั่งมีความหวาดกลัวปะปน มองไปยังชายหนุ่มผมขาว
เซี่ยเซียนชางมีพลังฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ อัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักหมื่นดาบ แม้ว่าจะกวาดมองไปทั่วทั้งทวีปแล้วยังนับว่ามีชื่อเสียงอยู่ในระดับหนึ่ง
“เด็กสาวชุดขาวนั่นคือผู้ใดกัน มีพลังฝึกตนเพียงขั้นมนุษย์แท้ระดับสูง ทว่ากลับสามารถเป็นหนึ่งในสองผู้มีเกียรติแห่งสำนักหมื่นดาบได้”
“เจ้าไม่รู้หรือว่านางคืออัจฉริยะในศาสตร์แห่งดาบ ชางหยูเยว่ ที่ปรากฏตัวขึ้นมาในไม่กี่ปีนี้ พรสวรรค์ไม่ด้อยไปกว่าเซี่ยเซียนชาง มีคำเล่าลือว่ายามที่นางก่อกำเนิดจิตแห่งดาบนั้นยังเยาว์วัยกว่าเซี่ยเซียนชางเสียอีก”
สายตาของอัจฉริยะทั้งหลายต่างมองไปpy’ร่างของสองยอดอัจฉริยะของสำนักหมื่นดาบ
สามผู้นำแห่งสามอาณาจักร เช่นจินไท่จื่อและหลิงเยว่กงจูแย้มรอยยิ้มและไปทักทายเซี่ยเซียนชาง
เซี่ยเซียนชางยิ้มพร้อมผงกศีรษะให้กับหลิงเยว่กงจู่เล็กน้อย ส่วนจินไท่จื่อคนอื่นๆ มีเพียงการทักทายตามมารยาท พร้อมด้วยท่าทีที่ค่อนข้างนิ่งเฉย
จินไท่จื่อรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง ทว่าไม่กล้าที่จะแสดงออกไป
ราชวงศ์ของสามอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรใดก็ล้วนแล้วแต่ต้องการชนะใจสำนักหมื่นดาบ ทว่าไม่กล้าที่จะล่วงเกิน
“ชางหยูเยว่ผู้นี้มิคาดได้ครอบครองหนึ่งในสองตำแหน่งของสำนักหมื่นดาบ”
ในใจของหลิงเยว่กงจู่ปรากฏความตื่นตะลึงขึ้น
เท่าที่นางจำได้นั้น สำนักหมื่นดาบยังมีอัจฉริยะที่มีพลังฝึกตนสู่กว่าขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดมากกว่า 2-3 คนที่ความแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับจินไท่จื่อ
ชางหยูเยว่สามารถเอาชนะการแข่งขันเช่นนั้นได้ ยากที่จะคาดคิดถึงพลังต่อสู้ของนางยิ่งนัก
น่าเสียดายที่ยามนี้ จ้าวเฟิงกำลังปิดตาทำความเข้าใจ ไม่รับรู้ถึงการมาของชางหยูเยว่
เรือนผมสีฟ้าและสีหน้าเรียบเฉยของเขาล้วนแตกต่างจากในอดีตโดนสิ้นเชิง ทำให้ชางหยูเยว่ไม่ได้ให้ความสนใจ
ทว่าเป่ยม่อที่อยู่อีกมุมกลับจดจำถึงชางหยูเยว่ได้ ในใจปรากฏความตื่นเต้นขึ้นบ้าง
คนทั้งสองมาจากสถานที่ห่างไกล แต่ในยามนี้กลับมีโอกาสมายืนอยู่ในเวทีใหญ่นี้พร้อมกัน ประลองกัน ชีวิตช่างเป็นเรื่องไม่แน่นอนยิ่งนัก
อัจฉริยะทั้งสองของสำนักหมื่นดาบ กลุ่มอำนาจอื่นๆ ไม่กล้าที่จะท้าประลองง่ายๆ
โดยเฉพาะ ‘เซี่ยเซียนชาง’ ที่เป็นอัจฉริยะระดับสูงของทวีปเหนือ แม้กวาดตามองไปทั่วทั้งทวีปเหนือก็แทบจะนับได้ว่าไม่มีผู้ใดสามารถรับหนึ่งดาบของเขาได้
ส่วนชางหยูเยว่นั้น มีอัจฉริยะจำนวนหนึ่งวางแผนที่จะท้าประลอง หากต้องการที่จะล้วงข้อมูลสักสองส่วน ตัวอย่างเช่นหลิงเยว่กงจูและเด็กสาวผู้อื่น
ในยามนี้ บนท้องนภาได้ปรากฏเสียงขึ้นจากความว่างเปล่า
สำนักและอัจฉริยะจำนวนมากมาถึงคนแล้วคนเล่า
“ดูเร็วเข้า คนของสำนักเทียนหยวนมาแล้ว”
“โม่เทียนอี้มาแล้ว”
ช่วงเวลาหนึ่ง ณ แท่นดาวเหนือได้เกิดความวุ่นวายขึ้น
ผู้คนต่างเงยศีรษะขึ้นมอง
อากาศด้านบนปรากฏนกยักษ์หลายตัว ปีกแผ่กว้างราว 30 หลา
กลิ่นอายของขั้นนายเหนือแท้มีมากกว่า 3-4 คน มีกระทั่งผู้ที่มีพลังในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
เมื่อคนเหล่านี้มาถึง ท่าทีสูงส่งเหนือกว่าได้สร้างแรงกดดันต่อผู้อื่น
ในฐานะของหนึ่งในสิบยอดสำนัก ผู้อาวุโสทั่วไปสำนักเทียนหยวนมีพลังขั้นนายเหนือแท้
ตัวแทนศิษย์ของสำนักเทียนหยวนมีทั้งหมด 10 คน
หัวหน้าคือชายหนุ่มในชุดหรูหรา มองไปราวกับกลุ่มแสงกลุ่มหนึ่งที่ส่องสว่าง มีแรงกดดันที่ทำให้ผู้คนไม่กล้าจ้องมองไป ราวกับเป็นผู้นำของยุคสมัย
“เขาคือโม่เทียนอี้? ผู้ที่เป็นตำนานอันดับหนึ่งของทวีปเหนือ?”
อัจฉริยะหลายคนลมหายใจติดขัด สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น กระทั่งมีความชื่นชมนับถือปะปนอยู่
อัจฉริยะสตรีบางคนจ้องมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาคมคายราวใบดาบของอีกฝ่าย มองข้ามระยะห่างที่ราวกับอยู่บนดาวคนล่ะดวง หัวใจกระตุกวูบ ใบหน้างดงามแดงซ่าน
หลังจากที่โม่เทียนอี้มาถึง บรรยากาศบนแท่นดาวเหนือได้ปรากฏความเปลี่ยนแปลงไปอย่างแปลกประหลาด
ชายหนุ่มยืนอย่างสูงสง่า ท่าทีรูปลักษณ์ไม่ธรรมดา เหนือคนทั่วไป กลิ่นอายแพร่ออกกดดันอัจฉริยะผู้อื่น
เมื่อมองไปแล้ว ดูราวกับว่าเขาเป็นผู้นำของอัจฉริยะแห่งทวีปเหนือทั้งหมด
ไม่มีผู้ใดปฏิเสธที่จะยอมรับ ไม่มีผู้ใดกล้าท้าประลอง
มีเพียงแค่ดวงตาแหลมคมราวใบดาบของ ‘เซี่ยเซียนชาง’ แห่งสำนักหมื่นดาบที่ปะทะเข้ากับ ‘โม่เทียนอี้’ อยู่หนึ่งหรือสองลมหายใจอย่างมองไม่เห็น ทำให้อัจฉริยะรอบๆ ในใจปรากฏความกระวนกระวายไม่สงบ
เวลาผ่านไปยาวนาน ทั่วทั้งพื้นที่จึงเงียบสงบลง
ทว่าสายตาจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมได้สังเกตอัจฉริยะทั้งสิบของสำนักเทียนหยวนในครานี้
อัจฉริยะของสำนักเทียนหยวน ความแข็งแกร่งโดยรวมเพิ่มขึ้นมาก ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ระดับสุดยอดมี 5-6 คน แต่ละคนเมื่อเทียบกับจินไท่จื่อแล้วพลังต่อสู้มีเพียงสูงกว่าไม่ด้อยกว่า
นอกจากโม่เทียนอี้ สำนักเทียนหยวนยังมีเด็กสาวร่างอ้อนแอ้นงดงามที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน
ดวงตาของเด็กสาวผู้นี้ปรากฏประกายความฉลาดหลักแหลม ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มบาง รูปลักษณ์งดงามล่มเมือง อาภรณ์สีม่วงอ่อน ผิวพรรณส่องประกายใสกระจ่าง ราวกับสาวงามที่ถูกแกะสลักขึ้นจากหยก
“เป็นนาง… จ้าวหยูเฟ่ย”
สายตาของเป่ยม่อและชางหยูเยว่มองไปยังร่างของดรุณีอาภรณ์ม่วง
ในอดีต การปกครองของสิบสามแคว้นได้มีการเปลี่ยนแปลงที่สั่นคลอนปฐพี
อัจฉริยะจำนวนมากได้หลบหนีออกไปหาที่พักพิงอื่นที่ห่างไกล
เป่ยม่อติดตามผู้อาวุโสหยุนไห่ พร้อมใจกันทรยศ
ชางหยูเยว่เข้าร่วมสำนักดาบอันดับหนึ่งของทวีปเหนือสำเร็จ
จ้าวเฟิงกลายเป็นหัวหน้าสาขาลัทธิโลหะเลือด
ในบรรดาคนทั้งสามนี้ โอกาสของชางหยูเยว่ดีกว่าจ้าวเฟิงและเป่ยม่อ
ทว่าไม่มีผู้ใดจะคาดคิดว่าจ้าวหยูเฟ่ย สาวงามผู้นี้ จะสามารถมีโอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่าได้
หนึ่งในสิบยอดสำนักของทวีปที่ยืนอยู่บนจุดสุดยอดของทวีป
สำนักเทียนหยวนมาถึงแล้ว สำนักหมื่นดาบเองก็มาถึงแล้ว กลุ่มอำนาจใหญ่ๆ ของทวีปเหนือนับว่ามาถึงหมดแล้ว
สายตาของอัจฉริยะทั้งหลายกวาดมองสำรวจผู้คน
“ยังขาดอีกหนึ่ง”
นัยน์ตาหงส์ของหลิงเยว่กงจู่กวาดมองผู้คนอย่างผ่านๆ
“ขาดผู้ใดกัน?”
“ยังขาดสำนักวั่นหยวน เป็นสำนักที่ระดับใกล้เคียงกับสำนักเทียนหยวน”
หลิงเยว่กงจูเอ่ยอย่างเคร่งเครียด
เพียงสิ้นคำ เสียงก็ได้ดังขึ้นจากความว่างเปล่า
ท่ามกลางหมู่เมฆที่ห่างออกไป ได้ปรากฏ ‘เมฆสีชาด’ แปลกประหลาดกลุ่มหนึ่ง เส้นผ่านศูนย์กลางหลายฟุต ด้านบนปรากฏเงาร่างเลือนรางหลายร่าง
เมื่อสังเกตอย่างละเอียดก็จะพบว่าเมฆสีชาดนั้นคือผ้าไหมจำนวนมาก
“สำนักวั่นหยวนเองก็มาถึงแล้ว”
อัจฉริยะของสำนักเทียนหยวนและสำนักหมื่นดาบมองตรงไป
ในทวีปเหนือ ประวัติของสำนักวั่นหยวนนับว่าเก่าแก่ที่สุด ความแข็งแกร่งเองก็เทียบเท่าได้กับสำนักหมื่นดาบและสำนักเทียนหยวน
คนจากสำนักวั่นหยวนที่มามีไม่มาก มีเพียงสามคน
เป็นชายชราใบหน้าแห้งตอบและบุรุษสองคน
หนึ่งคือชายหนุ่มรูปลักษณ์ดุร้าย ผมเป็นลอน สองมือไพล่หลัง ดวงตาลึกล้ำ พลังฝึกตนสูงถึงขั้นผู้วิเศษแท้
อีกหนึ่งคือเด็กหนุ่มในชุดสีฟ้า รูปลักษณ์ธรรมดา ดวงตาทั้งสองปิดสนิท ท่าทีไม่โดดเด่น
สายตาของอัจฉริยะจำนวนมากได้ถูกดึงดูดไปโดยอัจฉริยะที่มีพลังฝึกตนในขั้นผู้วิเศษแท้
ทว่ามีเพียงยอดอัจฉริยะเช่นโม่เทียนอี้ เช่นเซี่ยเซียนชาง หลิงเยว่กงจู และคนอื่นๆ ที่สายตาไปจับจ้องเด็กหนุ่มในชุดสีฟ้า
รูปลักษณ์หน้าตาของเด็กหนุ่มผู้นั้นธรรมดายิ่งนัก ง่ายที่จะทำให้คนมองผ่านเลยไป
“ซินอู๋เหิน”
ในดวงตาของเทียนหยุนจือปรากฎจิตต่อสู้เข้มข้น กระบี่โบราณสีเขียวเองก็ส่งเสียงครืนครางสั่นระริก
“ซินอู๋เหิน? เขาคือพ่อมดที่สร้างความสั่นสะเทือนให้กับทวีปเหนือเมื่อไม่กี่ปีมานี้หรือ?”
“ซินอู๋เหินผู้นี้อายุน้อยกว่า 20 ปี ได้เป็นหัวหน้าศิษย์ของสำนักวั่นหยวน ในรุ่นนี้เขาพ่ายให้เพียงแค่ ‘โม่เทียนอี้’ เท่านั้น”
“อัจฉริยะที่มีคำเล่าลือว่าหลิงเยว่กงจู จินไท่จื่อ และยอดอัจฉริยะของทวีปเหนือคนอื่นๆ ล้วนพ่ายแพ้ให้กับคนนี้ครั้งหนึ่ง”
ดวงตาของอัจฉริยะทั้งหลายเบิกกว้างจับจ้องไปยังร่างของซินอู๋เหิน
เพียงแต่
สีหน้าของซินอู๋เหิงธรรมดายิ่งนัก ธรรมดาเกินไป อีกทั้งยังปิดตาอยู่
“ซินอู๋เหินผู้นี้คือผู้ใดกัน เหตุใดจึงรู้สึกว่าเขากับศิษย์น้องจ้าวเป็นคนประเภทเดียวกัน?”
เป่ยม่อ รวมทั้งชางหยูเยว่ไม่รู้จักซินอู๋เหิน
ในอดีต ในเมืองประกายอรุณ ซินอู๋เหินคืออัจฉริยะผู้ลึกลับ
ในงานชุมนุมอัจฉริยะ เขาและจ้าวเฟิงครองอันดับหนึ่งร่วมกัน เป็นที่รู้จักในนามของ ‘ซินอู๋เหินสิบกระบวนท่า’
ทว่าหลังจากงานชุมนุมอัจฉริยะนั้น ซินอู๋เหินก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ทิ้งไว้เพียงปริศนาที่ไม่อาจหาคำตอบเจอ
และยิ่งไม่มีผู้ใดรู้คือ
ในงานชุมนุมอัจฉริยะนั้น ซินอู๋เหินได้กดพลังฝึกตนลงขั้นหนึ่งตลอดการประลอง รวมทั้งยามที่ประลองกับจ้าวเฟิง
เรื่องนี้ มีเพียงดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงที่รับรู้
“ซินอู๋เหิน เราพบกันอีกจนได้”
ดวงตาของจ้าวหยูเฟ่ยส่องประกายเล็กๆ เอ่ยขึ้นกับตนเอง
นางเข้ามาในทวีปเหนือนี้ได้พักหนึ่งแล้ว กระทั่งเคยได้เห็นการประลองระหว่างซินอู๋เหินกับโม่เทียนอี้ด้วยตาของนางเอง
ในความรู้สึกส่วนลึกของจ้าวหยูเฟ่ย อีกฝ่ายได้มีความเหนือกว่าที่ไม่อาจมองเห็น เยือกเย็น สร้างชื่อเสียง สร้างปาฏิหาริย์
กระทั่ง ‘คนผู้นั้น’ ในอดีตเองก็ยังประลองกับซินอู๋เหินผู้นี้ได้เพียงเสมอ
“ศิษย์พี่จ้าวเฟิง…อย่าได้บอกข้านะว่างานชุมนุมเซียนมังกรครานี้ เจ้าจะไม่ปรากฏตัวขึ้น?”
ดวงตาใสกระจ่างของจ้าวหยูเฟ่ยเริ่มกวาดมองร่างของอัจฉริยะจำนวนมากบนแท่น
นางไม่เชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ความสามารถของจ้าวเฟิงจะไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกร เว้นเสียแต่เขาจะไม่มีความสนใจเท่านั้น
ดังนั้นแล้ว
จ้าวหยูเฟ่ยจึงเริ่มมองหา
แท่นดาวเหนือมีพื้นที่กว้างราวสิบลี้ มีอัจฉริยะนับร้อยรวมตัวกัน กระจายตัวไปตามที่ต่างๆ
การหาคนผู้หนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเมื่อที่พักจำนวนมากได้บดบังสายตาไป
ฟันขาวสะอาดของจ้าวหยูเฟ่ยขบเข้าหากัน ออกจากที่พักของสำนักเทียนหยวนตามหาไปทั่ว
“ศิษย์น้องหยูเฟ่ย เจ้าต้องการหาผู้ใดหรือ? ข้าจะไปด้วย”
โม่เทียนอี้เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม เดินไปพร้อมนาง
ในสำนักมีศิษย์ของผู้สูงศักดิ์เพียงไม่กี่คน สถานะของเขากับนางใกล้เคียงกัน
ช่วงเวลาหนึ่ง
จ้าวหยูเฟ่ยได้มาถึงยังที่พักของอาณาจักรนภา ฝีเท้าพลันหยุดชะงัก
“โม่เทียนอี้มาแล้ว”
“ดรุณีผู้นั้นคือผู้ใดกัน เมื่อยืนเคียงข้างกับโม่เทียนอี้แล้วดูเหมาะสมกันนัก”
จินไท่จื่อและอัจฉริยะคนอื่นๆ สายตามองเหม่อ เข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายเป็นเทพธิดาไป
“ศิษย์น้อง เจ้าหาคนเจอแล้วหรือ?”
โม่เทียนอี้รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
อัจฉริยะของอาณาจักรนภาเหล่านี้ เขารู้จักจินไท่จื่ออยู่เล็กๆ ทว่าน้อยกว่าผู้อื่นมาก
นัยน์ตาส่องประกายงดงามของจ้าวหยูเฟ่ยกวาดมองไปยังสิบดาราของอาณาจักรนภา หยุดลงที่ร่างของเด็กหนุ่มผมฟ้าอย่างไม่อาจรับรู้
รวมทั้ง นางยังมองไปยังหลิวฉินซินอย่างประหลาดใจเล็กๆ ความงดงามของอีกฝ่ายนั้นนับว่าหายากในโลกใบนี้
“ไปดูที่อื่นเถอะ”
จ้าวหยูเฟ่ยแย้มยิ้ม ทำให้บุปผานับร้อยสูญเสียสีสันของมัน ทำให้บุรุษที่อยู่ ณ ที่นั้นสมองว่างเปล่าเหม่อลอย
ในยามนี้ นางราวกับได้พบกับข่าวดี มีท่าทียินดีมีความสุขนัก
“ได้”
โม่เทียนอี้ผงกศีรษะเล็กๆ หมุนตัวไปมอง สายตาของเขาจ้องไปยังเด็กหนุ่มผมฟ้าอย่างเรียบเฉย
การเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของจ้าวหยูเฟ่ยไม่ได้เล็ดรอดไปจากสายตาอันแข็งแกร่งของโม่เทียนอี้
“เด็กผมฟ้านี่คือผู้ใดกัน ดูเหมือนว่าศิษย์น้องหยูเฟ่ยจะไม่ต้องการรบกวนเขา?”
แม้โม่เทียนอี้จะสงสัย ทว่าไม่ได้เอ่ยถาม นี่ควรเป็นความลับของศิษย์น้องหยูเฟ่ย
จินไท่จื่อและอัจฉริยะคนอื่นๆ มองตามร่างที่หายไปของทั้งสอง รู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ จะอย่างไรพวกเขาก็ได้รับความสนใจจากอัจฉริยะในตำนาน โม่เทียนอี้
“นางรู้จักจ้าวเฟิง?”
ในสิบดาราแห่งอาณาจักร มีเพียงหลิวฉินซินที่รับรู้การเคลื่อนไหวเล็กๆ ของจ้าวหยูเฟ่ย