Skip to content

King of Gods 4

King Of Gods

บทที่ 4 : จ้าวยี่จาง

“หลังจากที่ทะลวงผ่านขั้นที่สองของผู้ฝึกตนมาได้ ข้าก็จะไม่ได้อยู่ที่จุดล่างสุดอีกต่อไป และยังมีสิทธิที่จะเข้าร่วม ‘การประลองแลกเปลี่ยนวิชาประจำตระกูล’ อีกด้วย”

จ้าวเฟิงตื่นเต้นยิ่ง แต่เพียงไม่นานเด็กหนุ่มก็สงบลง

หนทางแห่งผู้ฝึกตนนั้นมีด้วยกัน9ขั้น และทุกๆ ขั้นจะยากขึ้นจากขั้นก่อนหน้า คล้ายกับปิรามิด ทุกคนรู้ว่าสามขั้นแรกเรียกได้ว่า ‘ขั้นพลัง’ หรือเรียกได้อีกอย่างว่า ผู้เรียนรู้การฝึกตน!

ผู้เรียนรู้การฝึกตนนั้นใช้หยาดเหงื่อในการเพิ่มความแข็งแกร่งของตนเพื่อรองรับพลังที่มากขึ้นในขั้นต่อๆ ไป

แม้ว่าพลังของผู้เรียนรู้การฝึกตนนั้นนับได้ว่าต่ำ ทว่าก็ยังกล่าวได้ว่าได้ก้าวเข้าสู่หนทางของผู้ฝึกตนแล้ว หากฝึกฝนจนกระทั่งขั้นสามก็ไม่อาจดูแคลนได้เมื่อหมัดของพวกเขานั้นหนักราวๆ 400 กิโลกรัม และผู้ที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์พวกนั้นจะหมัดหนักถึง 500กิโลกรัมเลยทีเดียว พวกเขาสามารถฉีกร่างของเสือและต่อสู้กับหมีได้ด้วยมือเปล่า

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะเพิ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นสอง หมัดของเขาก็หนักราวๆ 250-300 กิโลกรัม ซึ่งมากกว่าคนธรรมดาทั่วไปอย่างทาบไม่ติดแล้ว เมื่อรวมกับวิชาที่แข็งแกร่ง คนธรรมดาสิบคนก็ไม่อาจสร้างความกดดันอันใดให้เขาได้

“หากข้าสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นสามแห่งผู้ฝึกตนได้ และมีหมัดหนักราวๆ 350-400 กิโลกรัม ความแข็งแกร่งโดยรวมของข้าก็จะมากขึ้นเป็นเท่าตัว” จ้าวเฟิงคิดอยู่ในใจเงียบๆ

แน่นอนว่าเขายังคงต้องการก้าวข้ามไปยังขั้นสี่แห่งผู้ฝึกตน

ขั้นสี่ถึงขั้นหกแห่งผู้ฝึกตนนั้นเป็นที่รู้กันในนามของ ‘ขั้นรวบรวม’ และผู้ที่อยู่ในขั้นนั้นสามารถเรียกได้ว่าผู้ฝึกตน เป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง!

หลังจากเข้าสู่ขั้นนี้ ผู้ฝึกจะไม่เพียงมีร่างกายและโลหิตที่แข็งแกร่ง แต่พวกเขายังเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับอวัยวะภายใน รวมทั้งใช้ ‘พลังภายใน’ ซึ่งมากกว่าการใช้ร่างกายเปล่าๆ ในการโจมตี

เมื่อพวกเขากลายเป็นผู้ฝึกตน พวกเขาก็จะละเรื่องทางโลกและก้าวไปยังขั้นที่สูงกว่า

มองกลับไปยังตอนที่เด็กหนุ่มยังอยู่ที่หมู่บ้าน สิ่งที่เขาต้องการคือการเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง และการเข้ามายังพรรคจ้าวก็เป็นการเข้าใกล้ความฝันนั้นไปอีกก้าวหนึ่ง

หลังจากที่เข้าสู่ขั้นสองแห่งผู้ฝึกตน จ้าวเฟิงก็บอกกับมารดาและบิดาในทันที

ขั้นสองแห่งผู้ฝึกตน?

บิดาของเขา จ้าวเทียนหยาง และมารดาของเขา จ้าวชี่ ต่างก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

การที่เด็กหนุ่มสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นสองได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้โดยไร้ซึ่งการช่วยเหลือจากผู้อื่น อาจกล่าวได้ว่าพรสวรรค์ของเขานั้นดีกว่าผู้คนบางส่วน

“สิ่งที่เจ้าต้องทำต่อไปคือการเตรียมตัวเข้าสู่ ‘การประลองแลกเปลี่ยนความรู้ประจำตระกูล’ พวกข้าไม่ต้องการให้เจ้าทำได้ยอดเยี่ยม เพียงแค่อย่าได้ทำอันใดขายหน้าก็เพียงพอ”

จ้าวเทียนหยางเผยรอยยิ้มเปี่ยมสุขบนใบหน้า จ้าวชี่ก็มีรอยยิ้มสมใจอยู่บนริมฝีปากของนาง การที่บุตรชายของพวกเขาเข้าสู่ระดับนี้ พวกเขาต่างก็รู้สึกพึงพอใจและไม่ได้คาดหวังอันใดมากกว่านี้

ทว่าเป้าหมายของจ้าวเฟิงนั้นไม่ใช่เพียงเท่านี้ เขาต้องการที่จะกลายเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริง หรือกระทั่งกลายเป็นผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของเหล่าผู้ฝึกตน

“หลังจากที่ทะลวงเข้าสู่ขั้นสอง ตำแหน่งของข้าในพรรคก็สูงขึ้นและมีสิทธิที่เข้าไปยัง ‘หอตำรา’ ชั้นแรกแล้ว”

‘หอตำรา’ของพรรคนั้นเป็นที่เก็บรวบรวมวิชาที่หลากหลาย เมื่อคิดเช่นนั้น จ้าวเฟิงจึงตรงไปยังที่แห่งนั้นในทันที

“พี่เฟิง!” เดินทางไปได้เพียงครึ่งหนึ่ง เสียงตกใจของดรุณีนางหนึ่งก็ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มหยุดเดิน เสียงของนางนั้นสร้างความคุ้นเคยและให้ความรู้สึกสบายใจที่ได้ยินแก่เขา

ร่างกายของเด็กหนุ่มเกร็งขึ้น

ด้านข้างของเขาปรากฏร่างของเด็กหนุ่มสาวซึ่งดูอายุไม่มากนนักเดินเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มนั้นสวมใส่ชุดสีม่วง คิ้วดกหนา ร่างสูงแผ่นหลังเหยียดตรง และดวงตาเฉียบคม ระดับของเขานั้นเข้าสู่ขั้นปลายของขั้นสามแห่งผู้ฝึกตนแล้ว เหล่าศิษย์รอบๆ ต่างรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่เด็กหนุ่มปล่อยออกมา

“เขาคืออันดับสามของศิษย์สายนอก ‘จ้าวยี่จาง’!” ทุกคนล้วนอุทานออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและหวาดกลัว

ส่วนผู้ที่มาพร้อมกับเด็กหนุ่มนั้นคือเด็กสาวในชุดสีขาวสะอาด มีอายุช่วงเดียวกับจ้าวเฟิงคือ 13-14ปี ใบหน้าของนางนั้นใสสะอาดงดงาม

“น้องซุ่ย” จ้าวเฟิงมองไปยังเด็กสาวชุดขาว มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหยียด

ดรุณีเบื้องหน้าเขานั้นเป็นผู้ที่เข้ามายังพรรคพร้อมกับเขาเมื่อครึ่งปีที่แล้ว ‘จ้าวซุ่ย’

เมื่อครั้งยังอยู่ที่หมู่บ้านนั้น จ้าวซุ่ยเป็นหนึ่งในผู้ที่ชื่นชมเขาอย่างมาก ทว่าเมื่อพวกเขาเข้าไปยังพรรคจ้าว พวกเขาก็เริ่มห่างกัน ตอนนี้อาจเรียกได้ว่ากลายเป็นเพียงคนแปลกหน้าแล้ว

หลังจากที่จ้าวซุ่ยเข้ามายังพรรคจ้าว นางได้ใช้ความงดงามของนางและได้กลายเป็นสหายกับจ้าวยี่จางผู้ถือครองอันดับสามของศิษย์สายนอกด้วยความรวดเร็ว จากนั้นด้วยความช่วยเหลือของเขา นางก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นสองได้เมื่อครึ่งเดือนก่อน

ในตอนนั้นเองที่จ้าวซุ่ยได้กล่าวบางอย่างกับเด็กหนุ่มข้างนาง

“ได้ แต่อย่าได้นานนักล่ะ” จ้าวยี่จางผงกศีรษะและพิงกำแพงด้านข้าง ไม่แม้แต่จะชายตามองจ้าวเฟิง

จ้าวซุ่ยเดินไปยังเบื้องหน้าของจ้าวเฟิง ก่อนเอ่ยด้วยท่าทางซับซ้อนพร้อมถอนหายใจ

“พี่เฟิง ในที่สุดท่านก็ทะลวงเข้าสู่ขั้นสองได้ ทว่าซุ่ยเอ๋อร์อยากจะขอแนะนำท่าน อย่าได้ดื้อดึงนักเลย หลังจากเข้ามายังพรรค ข้าก็ตระหนักได้ว่าเรานั้นเริ่มต้นช้าเกินกว่าผู้อื่นใด”

“เจ้าต้องการจะพูดอันใด?”จ้าวเฟิงเอ่ยขัดขึ้นกลางคันด้วยสีหน้าเย็นชา ใบหน้าของเด็กสาวปรากฏร่องรอยความโกรธขึ้นเล็กๆ แต่นางก็ยังคงกัดฟันเอ่ย

“พี่เฟิง ซุ่ยเอ๋อร์จะกล่าวอีกครั้ง ไปหาพี่ยี่จางและขอติดตามเขา มีเพียงความช่วยเหลือของเขาเท่านั้นที่จะช่วยให้ท่านเข้าไปยังพรรคจ้าวที่แท้จริงได้ ด้วยวิธีนั้นท่านจะสามารถหลีกปัญหา…”

ติดตาม?

จ้าวเฟิงส่งเสียงหัวเราะเย็นชา เขาจะไม่ติดตามใครทั้งนั้นในชั่วชีวิตนี้

จ้าวยี่จางนั้นมีบุคลิกเย็นชาและหยิ่งยโสยิ่ง ทุกครั้งที่เขามองจ้าวเฟิง เขามักจะเชิดจมูกขึ้นราวกับว่าเขาสูงส่งกว่าจ้าวเฟิงนัก

เมื่อเห็นสีหน้าของจ้าวเฟิง จ้าวซุ่ยก็รู้ในทันที การที่พวกนางเติบโตขึ้นมาด้วยกันทำให้นางเข้าใจอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

เด็กสาวเดินกลับไปหาจ้าวยี่จางและพึมพำบางอย่าง

“ฮึ่ม! เขาช่างไม่รู้ว่าสิ่งใดดีต่อเขา เจ้าขยะไร้ประโยชน์นี่” จ้าวยี่จางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ขยะไร้ประโยชน์?” คิ้วของจ้าวเฟิงขมวดเข้าหากัน

อาจเป็นเพราะอาการไม่ยินยอมของเด็กหนุ่ม ทว่าจ้าวยี่จางก็หยุดไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างเย็นชา

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นอัจฉริยะแห้งหมู่บ้านใบไม้เขียว? ทว่าในพรรคจ้าวนี้ เจ้าก็เป็นเพียงแมลงตัวเล็กๆ! เราจะเจอกันใน ‘การประลองแลกเปลี่ยนวิชาประจำตระกูล’ และข้าจะล้มเจ้าในหนึ่งกระบวนท่า”

“อย่างที่ข้าจะกล่าว เราจะเจอกันในงานประลอง” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงแข็งก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังหอตำรา เขาไม่ต้องการที่จะพูดคุยกับอีกฝ่ายต่อเมื่อพวกเขาจะต้องเจอกันในอีกสองเดือนข้างหน้า และผู้ที่แกร่งกว่าย่อมชนะ

ตอนที่เด็กหนุ่มเดินผ่านจ้าวซุ่ย ดวงตาของเด็กสาวก็ส่องประกายวาบขึ้นเล็กๆ ในตอนนั้นนางได้รู้สึกประหลาดจากจ้าวเฟิง เป็นความรู้สึกที่นางไม่เข้าใจ

“เขาช่างมั่นใจว่าตนดีเหลือเกิน” จ้าวยี่จางเค้นเสียง เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะมองว่าอีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้ที่ต้องให้ความสนใจ!

ในบรรดาศิษย์สายนอก ผู้ที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นสามแห่งผู้ฝึกตนได้นั้นมีไม่มากไปกว่า60คน และอันดับสามจากคนเหล่านั้น… เขาย่อมมีดีซ่อนอยู่อย่างแน่นอน

จ้าวซุ่ยถอดถอนใจลึกในใจ จ้าวเฟิงได้หาเรื่องใส่ตัวแล้ว นางเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของจ้าวยี่จางเป็นอย่างดี ผู้ที่อยู่ในขั้นสามบางคนยังมิอาจรับมือเขาได้แม้แต่หนึ่งกระบวนท่า

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จ้าวเฟิงจึงได้เหยียบย่างเข้าสู่พื้นที่สำคัญของพรรคที่หนึ่ง หอตำรา

หอตำรานั้นเป็นสถานที่ที่สำคัญมากของพรรค และเพราะเหตุนั้นจึงทำให้มีผู้อาวุโสคอยป้องกันอยู่

“ศิษย์ตระกูลสาขา?” ชายชราในชุดสีขาวภายในหอตำรามองตราแสดงตนของเด็กหนุ่มและขมวดคิ้วของเขา

“ขอรับ ผู้อาวุโส”จ้าวเฟิงมีสีหน้าสุภาพ เขารู้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี ด้วยดวงตาของเขา เขารับรู้ได้ถึงพลังลึกลับบางอย่างจากชายชราเบื้องหน้า มันเป็นชั้นสีแดงซึ่งอยู่ระหว่างเลือดและผิวหนัง ทว่าเคลื่อนไหวไปตามหลอดเลือด และสามารถจู่โจมได้ตลอดเวลา มันสามารถโจมตีผ่านอากาศและบดโลหะให้กลายเป็นผงได้

จ้าวเฟิงรู้ว่าชายชราชุดขาวนั้นได้ฝึกฝน ‘พลังภายใน’ สู่ขั้นสูง มันสามารถทำลายเขาร้อยคนได้ด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาที

มีเพียงผู้ที่เข้าสู่ขั้นสี่และสูงกว่าแห่งผู้ฝึกตนเท่านั้นที่จะสามารถสร้างพลังภายในได้ จ้าวซุ่ย จ้าวคัง คนเหล่านี้ล้วนไม่มีพลังภายใน

เด็กหนุ่มคำนับอีกฝ่ายก่อนเอ่ย

“ผู้อาวุโส ข้าต้องการไปยังชั้นสองของหอตำรา”

“การทะลวงเข้าสู่ขั้นสองในวัย14ปีนับว่ามาตรฐาน ทว่าก่อนที่เจ้าจะเข้ามาเป็นศิษย์สายใน ข้าคงต้องบอกก่อนว่าศิษย์ตระกูลสาขาและศิษย์ตระกูลหลักนั้นมีสิทธิแตกต่างกันในหอตำราแห่งนี้” ชายชราชุดขาวเอ่ย

เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกถึงกฎใหม่ของพรรคและเข้าใจในบัดนั้น

“ผู้อาวุโสโปรดกล่าว” เด็กหนุ่มรู้ว่าก่อนที่จะมีพลัง เขานั้นไม่มีสิทธิอันใดที่จะโต้แย้งกฎนั้น

ชายชราชุดขาวเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ผู้ที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นสองแห่งผู้ฝึกตนได้จะสามารถเข้าได้เพียงชั้นแรกของหอตำรา หอตำราชั้นแรกนั้นมีวิชาระดับต่ำจำนวนมาก และระดับกลางจำนวนหนึ่ง ศิษย์ตระกูลหลักจะสามารถเลือกวิชาระดับกลางได้สองวิชา หรือวิชาระดับต่ำ4วิชา และสามารถยืมได้เพียง2เดือน ศิษย์ตระกูลสาขาสามารถเลือกได้เพียงวิชาระดับกลางหนึ่งวิชา หรือวิชาระดับต่ำสองวิชา เวลาจำกัด1เดือน” หลังจากได้ยินกฎจากปากของผู้อาวุโส จ้าวเฟิงก็สูดหายใจลึกก่อนเอ่ย

“ผู้เยาว์เข้าใจแล้ว”

ศิษย์ตระกูลสาขานั้นได้รับวิชาและเวลาในการยืมน้อยกว่ากึ่งหนึ่งของศิษย์ตระกูลหลัก

“ดี เช่นนั้นเจ้าก็ไปได้แล้ว ทว่ามีเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น”

ภายใต้คำกล่าวของชายชรา จ้าวเฟิงจึงค่อยๆ เดินเข้าไปยังหอตำราช้าๆ หอตำรา สถานที่ที่เขาใฝ่ฝันถึงมาตลอด…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!