บทที่ 3 : ทะลวงขั้นสองของผู้ฝึกตน
“หนึ่งกระบวนท่า เจ้าแพ้แล้ว…”
จ้าวเฟิงพยายามควบคุมสีหน้าตะลึงและตื่นเต้นไม่ให้เผยออกอย่างเต็มความสามารถ
ข้าชนะ? และชนะด้วยหนึ่งกระบวนท่า?
ก่อนเริ่มประลองนั้น ด้วยความเปลี่ยนแปลงของนัยน์ตาซ้าย จ้าวเฟิงมั่นใจว่าด้วยปฏิกิริยาตอบโต้และสายตาของเขา เด็กหนุ่มย่อมสามารถป้องกันหนึ่งกระบวนท่าของอีกฝ่ายได้ และหากเขาทำได้ดีก็อาจรับมือได้มากกว่า10กระบวนท่า
ทว่าผลลัพธ์นั้นกลับเกินความคาดหมายทั้งหมดของเขา
การโจมตีของจ้าวคังนั้นนับได้ว่ารวดเร็วยิ่งในสายตาของผู้ที่ยืนดูอยู่ข้างๆ บางคน ทว่าด้วยตาซ้ายของเขานั้น การเคลื่อนไหวทั้งหมดนั้นชัดเจนยิ่งนัก
และเมื่อตาซ้ายของเขาถูกใช้งานจนเต็มประสิทธิภาพ การโจมตีของอีกฝ่ายก็ดูราวกับเชื่องช้าและเงอะงะ
เขาตะลึงเมื่อเห็นจุดผิดพลาดในการโจมตีของจ้าวคัง
จุดผิดพลาด!
จุดผิดพลาดในวิชาระดับสูง!
จ้าวเฟิงไม่อาจเข้าใจได้เช่นกันว่าเหตุใดเขาจึงสามารถมองเห็นจุดผิดพลาดในวิชาของอีกฝ่ายได้ง่ายดายเช่นนี้ อาจเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้เชี่ยวชาญในวิชานี้ก็เป็นได้
สุดท้ายเด็กหนุ่มจึงตอบโต้ออกไปตามสัญชาตญาณ เช่นเดียวกับที่เขากระทำกับแมลงวันนั้น จู่โจมไปที่จุดบกพร่องโดยไร้ปราณี และชนะด้วยหนึ่งกระบวนท่า
เฮือก!
ศิษย์ทุกคนบนลานฝึกฝนล้วนตกตะลึง
“ข้ามองผิดไปหรือไม่! ผู้ที่แพ้คือจ้าวคังงั้นรึ!”
“เจ้าพูดถูก! คนแพ้คือจ้าวคัง!”
ศิษย์ทุกคนล้วนถลึงตาโตและมีใบหน้าบิดเบี้ยวแปลกประหลาด
“เป็นไปได้อย่างไร… ข้าแพ้เจ้านั่นได้อย่างไร?”
ใบหน้าของจ้าวคังเต็มไปด้วยคำถาม
ใช่!
เขาแพ้อย่างรวดเร็วจนไม่อาจเข้าใจ
บัดนั้น สีหน้าของทั้งจ้าวเฟิงและจ้าวคังก็เหมือนกัน
“มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ!”
เมื่อเหล่าศิษย์ตระกูลจ้าวเห็นสีหน้าของจ้าวคัง พวกเขาจึงเข้าใจ
หลังจากเอ่ยเช่นนั้น ทุกคนจึงเริ่มส่งเสียงสนับสนุน
“เจ้ากล่าวถูกต้อง! ดวงของเจ้าเด็กนั่นไม่ธรรมดา เขาชนะโดยบังเอิญ”
“ดวงของเจ้านั่นย่อมดีมากแน่…”
ทุกคนล้วนยอมรับเรื่องนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้จ้าวเฟิงชนะ
“ดวงดี? อาจเป็นเช่นนั้น” จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้มบางและหมุนตัวกลับ
“ไอ้หนู! หยุด!” จ้าวคังกุมท้องแน่นในขณะที่ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า และเอ่ยด้วยท่าทางถมึงทึง
“จ้าวเฟิง! เจ้าก็แค่โชคดี จึงทำให้เจ้าชนะ มาประลองกันอีกครั้ง!”
“ประลองอีกครั้ง?” จ้างเฟิงขมวดคิ้วและมองไปยังอีกฝ่าย
“อย่างแรก เจ้าบาดเจ็บ อย่างที่สอง ข้าไม่มีเวลา”
หลังจากเอ่ยจบ เด็กหนุ่มก็หันหลังกลับไปยังมุมหนึ่งของลานฝึกฝนและทิ้งกลุ่มศิษย์ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงไว้เบื้องหลัง
“เจ้าสวะ! หลังจากข้าหายบาดเจ็บ ข้าจะฝึกฝนวิชาอสรพิษสิบสามลักษณ์จนสมบูรณ์แล้วไปประลองกับเจ้า”
ใบหน้าของจ้าวคังเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวก่อนจะจากไปหลังจากกล่าวจบ
เมื่อมองกลับไป จ้าวคังรู้ถึงสาเหตุที่เขาแพ้ มันมีด้วยกัน 3 อย่าง
อย่างแรก เขาดูถูกคู่ต่อสู้
อย่างที่สอง เขาได้เพิ่งได้เรียนเพียง 3 กระบวนท่าแรกของวิชาอสรพิษสิบสามลักษณ์ และมันยังคงมีจุดผิดพลาดอยู่มาก
อย่างสุดท้าย จ้าวเฟิงโชคดีนัก
อีกด้านของลานฝึกฝน จ้าวเฟิงเริ่มการฝึกฝนของเขา
“สาเหตุที่ข้าชนะนั้นสาเหตุหลักเป็นเพราะจ้าวคังดูถูกข้ายิ่ง รวมกับเขายังไม่สามารถฝึกฝนกระบวนท่าระดับสูงได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ข้าสามารถหาจุดผิดพลาดได้…”
จ้าวเฟิงตระหนักถึงคำตอบอยู่ในหัวใจ
จ้างคังย่อมไม่ประมาทเขาอีกครั้งในการประลองรอบหน้าเป็นแน่ และหากเขาฝึกอสรพิษสิบสามกระบวนท่า 3กระบวนท่าแรกได้สมบูรณ์ เช่นนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่มีความมั่นใจว่าเขาจะชนะอีกครั้ง
นั่นเป็นเพราะว่าระหว่างผู้ฝึกตนขั้นแรกและขั้นสองนั้นมีความแตกต่างกันมากเกินไป
ผู้ฝึกตนนั้นมีด้วยกันทั้งหมด 9 ขั้น 3 ขั้นแรกเป็นที่รู้จักกันในนาม “ขั้นพลัง”
“ขั้นพลัง” นั่นเป็นขั้นที่ทำการเพิ่มความแข็งแกร่งและเสริมสร้างร่างกาย
ดังนั้นแล้วระหว่างขั้นหนึ่งและขั้นสองของผู้ฝึกตนนั้นมีความแตกต่างอยู่ที่น้ำหนักหมัด 100 กิโลกรัม
นั่นเป็นสาเหตุให้ในภาวะปกติแล้ว การที่ขั้นหนึ่งจะเอาชนะขั้นสองได้นั้นนับว่าน่าอัศจรรย์ยิ่ง ยิ่งเป็นการเอาชนะด้วยหนึ่งกระบวนท่าด้วยแล้ว
“จุดสำคัญยังคงเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่ง!”
จ้าวเฟิงสูดหายใจลึกและเริ่มฝึกฝน ‘หมัดเหล็กเพลิง’ อีกครั้ง
กระบวนท่าแรก… กระบวนท่าที่สอง… กระบวนท่าที่สาม…
‘หมัดเหล็กเพลิง’นั้นดูลื่นไหลราวกับสายน้ำ ต่อเนื่องยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา
ฮ่าห์!
ในขณะที่จ้าวเฟิงสิ้นสุดกระบวนท่านั้น ใบหน้าของเขาก็ปรากฏความตื่นเต้นขึ้น ‘หมัดเหล็กเพลิง’นั้นมีทั้งหมด32กระบวนท่า และบัดนี้เขาสามารถสำเร็จมันได้เพียงในหนึ่งลมหายใจ เป็นความเร็วที่มากกว่าก่อน และพลังโจมตีก็มากขึ้นเช่นกัน
หลังจากที่เสร็จสิ้นกระบวนท่า เด็กหนุ่มก็รู้สึกราวกับโลหิตทั่วกายไหลเวียนได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น ราวกับมันกำลังเผาไหม้
ตึก! ตึก!
ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกของการเต้นที่ดวงตาซ้ายก็ชัดเจนขึ้นกว่าทุกครา
จ้าวเฟิงปิดดวงตาของเขาและเข้าไปยังมิติสีดำสนิทในนัยน์ตาซ้าย ใจกลางของมิตินั้นส่องประกายสีเขียวซีด
คราแรกนั้นแสงสีเขียวซีดมีรัศมีราวๆ 60 เซนติเมตรและเรือนลางยิ่ง ทว่าบัดนี้แสงสีเขียวซีดนั้นกว้างขึ้นและสว่างขึ้น ราวกับมันเพิ่มขึ้น
“หรือว่า? ความสามารถของนัยน์ตาซ้ายนี่สัมพันธ์กับความแข็งแกร่งของข้า?” เด็กหนุ่มคาดเดาอยู่ในใจ
ความเปลี่ยนแปลงของนัยน์ตาซ้ายของเขาเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขา อย่างแรกเขาได้เอาชนะจ้าวคัง อย่างที่สอง เมื่อเขาฝึกฝนกระบวนท่า มันก็เป็นไปอย่างลื่นไหลยิ่งนัก
“อีกครั้ง!”
ดวงตาของเด็กหนุ่มแหลมคมขึ้นเมื่อเขาเริ่มฝึกฝน ‘หมักเหล็กเพลิง’ อีกครั้ง
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ความรวดเร็วของกระบวนท่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ และแต่ละกระบวนท่าเริ่มหลอมรวมเข้าหากัน
หลังจากฝึกฝนเป็นรอบที่สาม ความเร็วของมันก็มากเป็นสองเท่าจากเดิม และความรุนแรงก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
“ด้วยความเร็วระดับนี้ ข้าคงใช้เพิ่ง2-3วันในการทะลวงเข้าสู่ขั้นสองของผู้ฝึกตน”
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความรวดเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เขาฝึกฝนจนกระทั่งตะวันลับขอบฟ้าจึงปาดเหงื่อและมุ่งหน้ากลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็ยังคงครุ่นคิดถึงความเปลี่ยนแปลงของนัยน์ตาซ้ายของเขา
“เพื่อสืบทอดสายเลือดของดวงตาแห่งข้า เจ้าจะควบคุมทุกคน กำหนดทุกสิ่ง เจ้าเด็กน้อยผู้โชคดีเอ๋ย อย่าได้ทำให้ข้าผิดหวัง…”
เขายังคงจำเสียงที่ดังก้องจากมิติอันมืดมิดก่อนที่เขาจะสลบไปนั่นได้
“ดวงตานี่อาจมาจากตัวตนที่อาจเรียกได้ว่าเทพบรรพกาลนั่น และด้วยเหตุบังเอิญบางอย่างมันได้หลอมรวมเข้ากับดวงตาของข้า” จ้าวเฟิงคาดเดา
แม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนแล้ว เมื่อเขาเปิดดวงตาของเขาขึ้น เขาก็ยังคงสามารถมองเห็นทุกสิ่งด้านนอกหน้าต่างนั่นได้ ความมืดยามราตรีนั้นแทบไม่ลงผลอันใดต่อเด็กหนุ่ม ดวงตาของเขายังคงมองเห็นนกที่บินอยู่ไม่กี่ไมล์ข้างหน้า
จ้างเฟิงเอนตัวลงนอนในยามกลางคืนและรู้สึกว่านัยน์ตาซ้ายของเขาส่งเสียงความร้อนซึ่งหลอมรวมกับโลหิตของเขาออกมา
จ้าวเฟิงหลับไปเช่นนั้น
เช้าวันที่สอง
จ้าวเฟิงตื่นและยืดร่างกายก่อนมุ่งไปฝึกฝนในสวนเล็กๆ
“สวนนี่เก่าแก่เกินไป ทั้งสภาพแวดล้อมก็แย่ยิ่ง เมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะให้ท่านพ่อท่านแม่ไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้” จ้าวเฟิงคิดในใจ
เขาเริ่มฝึกฝน 32 กระบวนท่าของ ‘หมัดเหล็กเพลิง’ อย่างรวดเร็ว
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
บัดนี้หมัดที่พุ่งฝ่าสายลมไปนั้นเต็มไปด้วยพลังงานมากมาย ทันที่ทีเด็กหนุ่มส่งหมัดออกไป เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดไป
ระหว่างลมหายใจของเขา โลหิตของเขาเดือดพล่านและให้ความรู้สึกถึงพลัง ทุกหมัดที่ใช้ออกมีความหนักอย่างน้อย 200-250 กิโลกรัม
“อันใดกัน!” จ้าวเฟิงตกตะลึง หมัดทั้งสองของเขาปรากฏแสงสีแดงครอบคลุม
แคร่ก แคร่ก แคร่ก
หนึ่งในหมัดของเขาตรงไปยังต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้า จากนั้นต้นไม้ที่หนาพอๆ กับกำปั้นก็กระจายเป็นเศษ
“ไม่! นี่ไม่ใช่พลังของขั้น1 เป็นไปได้ว่า…”
หัวใจของเด็กหนุ่มกระตุก
เพื่อที่จะยืนยันความคิดของเขา จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกและกระทืบเท้าด้วยแรงทั้งหมด
ตูม!
พื้นดินสั่นสะเทือน พื้นแตกระแหง ทิ้งรอยเท้าของเด็กหนุ่มลึกลงไปครึ่งนิ้วบนพื้นดิน
ใบหน้าของเด็กหนุ่มแปรเปลี่ยนไปมีความสุข จากนั้นฝ่ามือของเขาก็กระแทกไปยังก้อนหินที่หนักอย่างน้อย 30 กิโลกรัม ทำให้มันแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
พลังเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนขั้นหนึ่งจะทำได้
“ขั้นสองของผู้ฝึกตน… ข้าทะลวงเข้าสู่ขั้นสองของผู้ฝึกตนแล้ว!”
จ้าวเฟิงหลับตาลงและเริ่มรับรู้ถึงพลังที่พลุ่งพล่านในร่างกาย คราแรกเขาคาดว่าจะทะลวงเข้าสู่ขั้นสองได้ภายใน2-3วัน มิคาดว่าจะสามารถทะลวงได้เพียงแค่นอนหลับไปหนึ่งคืน
เด็กหนุ่มเข้าสู่ภายในดวงตาซ้าย ที่นั่น จ้าวเฟิงพบว่าแสงสีเขียวซีดได้ขยายจาก60เซนติเมตรไปเป็น67เซนติเมตร เขารู้สึกว่าพลังของเขานั้นดีกว่าแต่ก่อน และมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เขาไม่อาจอธิบายได้…