Skip to content

King of Gods 84

King Of Gods

บทที่ 84 : ร่างกายจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้

ความสนใจของทุกคนนั้นได้อยู่ที่คริสตัลบนมือของจ้าวเฟิง วงแสงนั้นพลันรวมตัวกันก่อนจะหยุดอีกครั้ง ก่อนจะกระโดดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หัวใจของผู้ที่เฝ้ามองอยู่บีบเค้น เจ้าเมืองกว่านจวินพลันกลืนคำที่เขากำลังจะเอ่ยกลับลงไปในทันใด ความเปลี่ยนแปลงนั้นเกือบทำให้เขาตัดสินผิดพลาด อย่างไรก็ตาม นี่นับเป็นครั้งแรกของเขาที่เห็นบางสิ่งเช่นนี้

มีเพียงจ้าวเฟิงที่รู้อยู่ในใจว่าความสามารถแฝงของเขานั้นไม่ได้เหนือไปกว่าสองวงแสง

สองและครึ่งหนึ่ง… สามวง… สามและครึ่งหนึ่ง…

ภายใต้ความร้อนจากดวงตาซ้ายของเขา จำนวนของวงแสงได้เข้าสู่สามวงและอีกครึ่งหนึ่งและยังคงรวมตัวกันอยู่

สามและอีกครึ่ง… สี่วง… สี่และอีกครึ่ง

หลายคนกลั้นลมหายใจ สี่และอีกครึ่งนั้นนับเป็นระดับที่ดีที่สุดหากไม่นับเฟิงฮันเยว่และจ้าวหยูเฟ่ย จ้าวเฟิงตระหนักว่าห้าวงแสงนั้นเป็นระดับที่เหนือขึ้นไปอีกขั้น ทว่าหลังจากที่เข้าสู่สี่และอีกครึ่งวงแสง มันก็ค่อยๆ ช้าลง ทันใดนั้น คลื่นความร้อนอีกระลอกก็ปรากฏออกจากดวงตาซ้ายของเขา

สี่และอีกครึ่ง… ห้าวงแสง!

แสงสีเขียวซีดปรากฏขึ้นบนวงแสงสีห้า มันเป็นขีดจำกัดที่เด็กหนุ่มสามารถไปถึงได้โดยที่ไม่ใช่ดวงตาซ้ายของเขาช่วยเพราะเขารู้ว่าเจ้าเมืองกว่านจวินจะรู้สึกถึงมันได้

“วงแสงที่ห้าปรากฏขึ้น ทว่าด้อยกว่าเฟิงฮันเยว่เล็กน้อย อาจนับได้ว่าเป็นกายกึ่งจิตวิญญาณ” สีหน้าของเจ้าเมืองกว่านจวินกลับไปเป็นปกติอีกครั้ง

ชัดเจนว่าความสามารถแฝงของจ้าวเฟิงนั้นด้อยกว่าเฟิงฮันเยว่และมันไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้เขา

“กายกึ่งจิตวิญญาณ? ไม่ดีพอ” เป่ยโม่ยนำคริสตัลกลับไป ปรากฏแววผิดหวังในแววตา

ชัดเจนว่าเขาตีค่าอีกฝ่ายสูงเกินไป

“อาจารย์ ผู้ใดที่ท่านจะรับเป็นศิษย์?” องครักษ์สามเอ่ยถาม

“ไม่มีพวกเขาคนใดดีพอที่จะเป็นศิษย์หลักของข้า” เจ้าเมืองกว่านจวินส่ายศีรษะ

กระทั่งบัดนี้ มีเพียงเป่ยโม่ยที่เขาโปรดปราน เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเด็กหนุ่มสาวทั้งสิบพลันแปรเปลี่ยนเป็นขมขื่น

“ทว่ากองพันองครักษ์ฟ้ารุ่นนี้นับว่าแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้าโดยแท้ บางคนสามารถเป็นศิษย์สายนอกของข้าได้” คำของเจ้าเมืองกว่านจวินแปรเปลี่ยนไป

ศิษย์สายนอก?

ดวงตาของเฟิงฮันเยว่และคนอื่นๆ เปล่งประกายวูบ

แม้ว่ามันอาจไม่สูงส่งเช่นศิษย์หลัก มันก็ยังเป็นความใฝ่ฝันที่จะได้เป็นศิษย์สายนอกของคนผู้นั้น เจ้าเมืองกว่านจวินนับเป็นตำนานของจักรวรรดิเมฆา แม้กระทั่งจอมยุทธ์ยังต้องขอร้องให้อีกฝ่ายชี้แนะให้ หากพวกเขาสามารถกลายเป็นศิษย์สายนอกของคนผู้นี้ พวกเขาย่อมมีโอกาสได้รับการสั่งสอนจากอีกฝ่าย

นอกจากนั้น องครักษ์สามและเย่หลินเหลียนต่างเป็นเพียงศิษย์สายนอกเท่านั้น

“ศิษย์สายนอก? คนใดล่ะขอรับ?” เย่หลินเหลียนเอ่ยถาม

“สองคนนี้ต่างมีกายจิตวิญญาณ ดังนั้นแล้วจึงไม่มีปัญหากับการที่จะมาเป็นศิษย์สายนอกของข้า” เจ้าเมืองกว่านจวินมองไปยังเฟิงฮันเยว่และจ้าวหยูเฟ่ย

“แล้วจ้าวเฟิงเล่า? เขาเป็นผู้ที่เด็กที่สุดและมีพลังฝึกตนสูง ความทรงจำก็ดีเสียยิ่งกว่าเป่ยโม่ย เขายังเป็นอันดับหนึ่งในภารกิจอีกด้วย…” เย่หลินเหลียนรีบเอ่ย

จ้าวเฟิงนั้นเป็นอัจฉริยะที่เขานำมาจากเมืองประกายอรุณและคาดหวังในตัวอีกฝ่ายไว้สูง

“มันย่อมยากสำหรับกายครึ่งจิตวิญญาณของเขา…” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยหลังจากคิดอยู่ชั่วครู่

ทว่าเมื่อเห็นว่าทั้งองครักษ์สามและเย่หลินเหลียนดูเหมือนจะชื่นชมอีกฝ่าย เขาก็หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“โอ้ เอาเถอะ ให้เขาเป็นแล้วกัน การรับศิษย์พร้อมกันสามคนนับว่าทำลายสถิติของข้าเลย”

หลังจากที่เจ้าเมืองกว่านจวินตัดสินใจ เย่หลินเหลียนและองครักษ์สามต่างส่งยิ้มไปให้จ้าวเฟิง เด็กหนุ่มเองก็มองกลับไปด้วยสายตาซาบซึ้ง

“อาจารย์ ท่านจะไม่ผิดหวังที่รับเขาเป็นศิษย์” เย่หลินเหลียนเอ่ยอย่างมั่นใจ

“โฮ่?” เจ้าเมืองกว่านจวินไม่รู้ว่าความมั่นใจของอีกฝ่ายมาจากที่ใด

เย่หลินเหลียนไม่ได้อธิบาย เขาจดจำกลิ่นอายที่อีกฝ่ายได้ปลดปล่อยออกยามที่แสดงวิชาของเขาตอนที่อยู่ตระกูลจ้าวได้ มันเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนขั้นเก้าส่วนมากไม่อาจกระทำได้ในยามนั้น และจ้าวเฟิงนั้นอยู่เพียงขั้นห้า

“เฟิงฮันเยว่ จ้าวหยูเฟ่ย จ้าวเฟิง นับตั้งแต่วันนี้ พวกเจ้าได้มาเป็นศิษย์สายนอกของท่านเจ้าเมืองกว่านจวิน” องครักษ์สามประกาศ

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นทางการนักเมื่อพวกเจ้าเป็นเพียงศิษย์สายนอก” เจ้าเมืองกว่านจวินแย้มยิ้มบาง

ดวงตาของเขากวาดผ่านร่างของจ้าวเฟิงและอีกสองคนก่อนจะหยุดลงที่เป่ยโม่ย เมื่อนั้นเขาจึงจะเผยรอยยิ้มที่แท้จริงออกมา จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ ล้วนเข้าใจว่าพวกเขาจะได้รับการชี้แนะไม่บ่อยนักในฐานะของศิษย์สายนอก บางครั้งศิษย์สายนอกจะไม่ได้รับอันใดเลยแม้แต่น้อย

เจ้าเมืองกว่านจวินมีเพียงเป่ยโม่ยที่เป็นศิษย์หลัก และเป็นเด็กหนุ่มที่เขาเลี้ยงดูขึ้นอย่างเต็มที่ หลังจากพิธีรับศิษย์เสร็จสิ้น องครักษ์ฟ้าอีกเจ็ดคนที่เหลือจึงจากไป

ไม่ช้าก็เหลือเพียงเจ้าเมืองกว่านจวินและศิษย์ของเขา องครักษ์สามและเย่หลินเหลียนมีภาระของตนและจากไป

ดังนั้นแล้วงจึงเหลือเพียงเป่ยโม่ย หนานกงฟั่น เฟิงฮั่นเยว่ จ้าวหยูเฟ่ย และจ้าวเฟิงที่ยังรั้งอยู่

“พวกเจ้าสามารถถามคำถามใดก็ได้หนึ่งคำถามเพราะพวกเจ้าได้มาเป็นศิษย์ของข้าในวันนี้” เจ้าเมืองกว่านจวินเปิดปากเอ่ย

คำถาม?

เฟิงฮันเยว่ จ้าวหยูเฟ่ย และจ้าวเฟิงต่างตื่นเต้น พวกเขาย่อมมีคำถามจำนวนมากที่อยากถามตัวตนอันเป็นตำนานนี้

“อาจารย์ กายจิตวิญญาณคืออันใด?” ผู้แรกที่เอ่ยถามคือเฟิงฮันเยว่

กายจิตวิญญาณ กายมนุษย์

มันเป็นสิ่งที่จ้าวเฟิงได้ยินจากเจ้าเมืองกว่านจวินก่อนหน้า

“มีคนนับหมื่นล้านในทวีปแห่งนี้ และความสามารถแฝงของพวกเขานั้นถูกตัดสินตั้งแต่เกิด มากกว่า 99 ใน 100 ส่วนของมนุษย์นั้นเป็นเพียงคนธรรมดาและมีกายมนุษย์” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยอธิบายเกี่ยวกับลักษณะของกายมนุษย์

จ้าวเฟิงเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ คนส่วนมากในโลกใบนี้มีกายมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ก่อนหน้าที่จ้าวเฟิงจะหลอมรวมเข้ากับดวงตาของเขา เขามีกายมนุษย์หนึ่งร้อยส่วน ทว่าหลังจากที่หลอมรวมเข้ากับดวงตาลึกลับ โลหิตและความสามารถแฝงของเขาต่างได้รับผลกระทบและกลายเป็นกายครึ่งจิตวิญญาณ

“กายมนุษย์นั้นแบ่งออกเป็นหลายระดับ ระดับต่ำ ระดับกลาง ระดับสูง และระดับขีดจำกัด นั่นหมายความว่ามันยังมีความแตกต่างระหว่างกายมนุษย์ ในการทดสอบก่อนหน้านั้น หนึ่งวงแสงหมายถึงกายมนุษย์ระดับต่ำ สองวงแสงหมายถึงกายมนุษย์ระดับกลาง.. สี่วงแสงหมายถึงกายมนุษย์ระดับขีดจำกัด…” เจ้าเมืองกว่านจวินเอ่ยต่อ

จ้าวเฟิงไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน

“วงแสงที่ห้านั้นหมายถึงกายจิตวิญญาณ ผู้ที่มีกายจิตวิญญาณนั้นมีข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับผู้ที่มีกายมนุษย์ อัจฉริยะเหล่านั้นจะสามารถเข้าสู่หนทางแห่งเซียนได้นั้นล้วนเป็นเพียงเรื่องของเวลาที่ขึ้นอยู่กับว่าอาจารย์ของพวกเขาดีเพียงใด” เจ้าเมืองกว่านจวินอธิบายถึงความหมายของกายมนุษย์และกายจิตวิญญาณในที่สุด

นี่ได้เพิ่มความรู้ให้จ้าวเฟิง เขาประมาณว่าจ้าวหลินหลงนั้นคงอยู่ที่ราวๆ สามวงและอีกครึ่งวงแสง ระหว่างกายมนุษย์ระดับสูงและระดับขีดจำกัด

จากนั้นจ้าวหยูเฟ่ยจึงเอ่ยถามคำถามเจ้าเมืองกว่านจวิน

เด็กสาวถามว่า

“อาจารย์ ยังมีขอบเขตที่เหนือขึ้นไปกว่าหนทางแห่งเซียนหรือไม่?”

เมื่อได้ยินคำถามนี้ จ้าวเฟิงก็แสดงความสนใจออกมาเช่นกัน ก่อนหน้าเมื่อยามที่เขาอยู่ในเมืองประกายอรุณ พวกเขารู้จักเพียงแค่หนทางแห่งผู้ฝึกตน หนทางแห่งเซียนนั้นเป็นเพียงข่าวลือ เมื่อพบกับเจ้าเมืองกว่านจวิน เด็กหนุ่มจึงคิดว่าอีกฝ่ายนั้นเข้าสู่หนทางแห่งเซียนแล้ว

จากนั้น มันยังมีขอบเขตที่เหนือไปกว่าหนทางแห่งเซียนหรือไม่?

“มี”

ประกายแสงส่องวาบในดวงตาของเจ้าเมืองกว่านจวินขณะที่เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

“ทว่ามันเป็นระดับที่พวกเขายังไม่สามารถสัมผัสได้…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงและอีกสองคนรู้สึกได้ว่าหัวใจของพวกเขากระตุก มันยังมีขอบเขตที่เหนือขึ้นไปกว่าหนทางแห่งเซียน!

ไม่ช้า จ้าวเฟิงก็เอ่ยคำถามออก

“สิ่งใดที่สำคัญที่สุดในเก้าขั้นแห่งหนทางผู้ฝึกตน?”

“ร่างกายนั้นสำคัญที่สุด จุดสำคัญของหนทางแห่งผู้ฝึกตนนั้นคือการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของโลหิต กระดูก และอวัยวะ ประโยชน์ของพลังภายในที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เพื่อฆ่าผู้อื่น แต่เป็นการใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย ในจุดนี้ ผู้ฝึกตนหลายคนได้เดินผิดทาง” เจ้าเมืองกว่านจวินแย้มยิ้ม

ไม่แปลกใจเลย บัดนี้จ้าวเฟิงมั่นใจในความคิดก่อนหน้าของเขาแล้ว

“อาจารย์ ท่านได้ประโยชน์อันใดจากการเลี้ยงดูอัจฉริยะมากมายเพียงนี้?” จ้าวเฟิงเอ่ยคำถามที่เขาใคร่รู้มากที่สุด

ตั้งแต่เขาเข้ามายังตำหนักกว่านจวิน เขาได้ยินผู้อื่นเอ่ยว่าเจ้าเมืองกว่านจวินนั้นรักอัจฉริยะ และเขามักจะส่งคนออกไปทั่วจักรวรรดิเพื่อนำพวกเขามา

เขาและจ้าวหยูเฟ่ยได้ถูกพบโดยกองกำลังกว่านจวิน และเป็นเย่หลินเหลียนที่มารับพวกเขาด้วยตนเอง คำถามของเด็กหนุ่มทำร่างของเจ้าเมืองกว่านจวินแข็งนิ่งพร้อมกับประกายเย็นเยียบที่สว่างวาบในแววตา ในเสี้ยววินาทีนั้นจ้าวเฟิงและคนอื่นๆ ต่างรู้สึกได้ถึงความกดดันที่พุ่งตรงมายังร่างของพวกเขา

เจ้าเมืองกว่านจวินนั้นไม่ได้ทำอันใดอย่างชัดเจน เขาไม่แม้แต่จะปลดปล่อยกลิ่นอายของเขาออกมา ทว่าพลังกดดันจากพลังสมาธิของเขาได้ทำให้ร่างของผู้อื่นสั่นสะท้าน โชคดีที่ความรู้สึกนี้คงอยู่เพียงเสี้ยววินาที แต่แม้กระนั้นเหงื่อเย็นเยียบก็ยังปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเฟิงฮันเยว่

“จ้าวเฟิง! คำถามนี้ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับเจ้า! อาจารย์นำอัจฉริยะมามากมายเพราะท่านรักพวกเขา เจ้าคิดหรือว่าอาจารย์มีความต้องการอื่นใด?” หนานกงฟั่นตวาดลั่นอย่างกราดเกรี้ยว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!