ตอนที่ 12 สายเลือดมังกรบรรพกาล
หลังจากนั้น จางเซวียนก็เดินออกจากแผนกทรัพยากรด้วยดวงตาเปล่งประกาย
ถ้าเป็นเขาคนก่อน เหตุการณ์คงไม่จบลงแบบนี้แน่ แต่เพราะตอนนี้เขามีหอสมุดเทียบฟ้าเป็นตัวช่วย ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น
“บางที การที่ข้ามมิติมาที่นี่ ก็เป็นทางเลือกที่ดี ที่ฉันต้องการก็คือชีวิตที่รื่นเริงแบบนี้แหละ” จางเซวียนกำหมัดแน่นและหายใจลึกๆ
เขาในโลกใบเดิมเป็นเพียงพนักงานในหอสมุด ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างแสนจะธรรมดา หากทำงานเดิมต่อ เงินเดือนก็จะย่ำอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน แต่เมื่อหลุดมาที่นี่มันชีวิตเขาก็เปลี่ยน ได้หอสมุดเทียบฟ้ามาช่วยชี้แนะทุกฝีท้าว ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ อนาคตของเขาก็คงจะเรืองรอง ได้มีโอกาสก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งไปยิ่งไกล ยิ่งไปยิ่งแกร่ง และได้พบกับชีวิตที่เต็มไปด้วยเรื่องราวสนุกสนาน
ณ เวลานี้ ในที่สุดจางเซวียนก็ได้หล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับโลกใบใหม่ เขาไม่มีอะไรติดค้างในใจอีกต่อไป ไม่มีการเปรียบเทียบใดๆระหว่างโลกในอดีตหรือโลกปัจจุบันแม้แต่น้อย
“อย่า อย่าดึงผม ปล่อยให้ผมตาย ให้ผมตายไปดีกว่า….” ขณะที่เขากำลังคิดอะไรในใจเงียบๆ พลันได้ยินเสียงคร่ำครวญราวกับวัวคลั่งจากที่ที่หนึ่งซึ่งไม่ไกลมากนัก และสาเหตุน่าจะมาจากการถูกทำร้ายทางจิตใจ
หันไปมองรอบๆ ในที่สุดเขาก็พบหนุ่มอ้วนคนหนึ่งกำลังคร่ำครวญ พยายามพุ่งตัวดิ่งลงไปในทะเลสาบของโรงเรียนเพื่อปลิดชีวิตตัวเอง
มองไปที่ด้านหลังหนุ่มอ้วน ไม่มีใครพยายามที่จะดึงเขาไว้แม้แต่คนเดียว มิหนำซ้ำเขาเองก็ยังไม่กล้าพุ่งตัวไปจริงๆ เอาแต่ร้องคร่ำครวญไม่หยุด จู่ๆเขาก็หันไปมองรอบตัวและเอื้อมไปดึงมือของคนคนที่ยืนข้างๆตน
พยายามทำทีเป็นว่า มีคำกำลังและดึงเขาเอาไว้ไม่ให้กระโดดลงไป “อย่าดึงผมสิ ปล่อยผมให้ตายเถอะ ผมไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว”
ทุกคนพูดไม่ออก
“นี่… รู้จักอายบ้างรึเปล่าเนี่ย?” จางเซวียนส่ายหัว เอาเข้าจริงๆ หนุ่มอ้วนคนนี้คงไม่ต้องการฆ่าตัวตายหรอก เขาแค่พยายามสร้างเรื่องเพื่อเรียกร้องความสนใจก็เท่านั้น ดูไปแล้วช่างไร้ยางอายจริงๆ
เมื่อรู้ว่าอย่างไรเจ้าเด็กนี่ก็ไม่ตายอยู่แล้ว จึงเลิกที่จะสังเกตต่อ จางเซวียนเริ่มก้าวไปทางห้องเรียน เพิ่งเดินไปได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียงคำรามที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พื้นดินโคลงเคลงเหมือนแผ่นดินไหว ต่อจากนั้นก็เห็นท่อนแขนหนาอวบหนาถลามากอดต้นขาของเขาเอาไว้ “อาจารย์ครับ ได้โปรดรับผมเป็นศิษย์ด้วยเถอะครับ อาจารย์ท่านอื่นบอกว่าผมอ้วนเกินไป ไม่มีใครเอาผมเลย….” หนุ่มอ้วนร้องไห้ออกมา
“ปล่อย!” จางเซวียนรู้สึกหน้ามืดทันที เจ้าเด็กนี่จะฮาไปไหน แค่เห็นว่าเขาเป็นอาจารย์ก็กระโจนเข้ามาหา แล้วบังคับให้รับมันเป็นศิษย์ คนแบบนี้จางเซวียนเองก็ยังไม่เคยเจอ
“ผมจะปล่อยก็ต่อเมื่ออาจารย์ยอมรับผมเป็นศิษย์” หนุ่มอ้วนน้ำตาท่วมน้ำมูกไหล แค่ฟังน้ำเสียงก็บอกได้ว่าน่าสงสารเป็นที่สุด เขากล่าวออกมาอย่างเศร้าโศก “วันนี้ผมอ้อนวอนอาจารย์ถึงสิบท่าน แต่กลับไม่มีใครรับผมเลย อาจารย์โปรดรับผมเป็นศิษย์ด้วยเถอะครับ”
ผลการแข่งขันระหว่างศิษย์ด้วยกันเอง ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลการวัดระดับความสามารถของอาจารย์ หนุ่มอ้วนคนนี้ ทั้งการต่อสู้และเคลื่อนไหวมีจุดบกพร่องอย่างมาก อาจารย์ที่มีชื่อเสียงสักหน่อยก็คงไม่อยากจะรับเขาไปเป็นภาระหรอก “ถ้าอยากให้ฉันรับ อย่างน้อยก็ควรแสดงฝีมือของตัวเองให้ฉันเห็นสักหน่อยไหม กอดต้นขากันแบบนี้จะยอมให้รับยังไงไหว?” จางเซวียนกล่าวอย่างไม่พอใจ
เขาในตอนนี้มี ‘หอสมุดเทียบฟ้า’ อยู่ในมือ จึงไม่มีปัญหาในการรับศิษย์อีกแล้ว หากว่าศิษย์ที่มาหาเขาอ่อนแอจนเกินไป เขาเองก็มีสิทธิ์เลือกบ้างเหมือนกันนี่
“อาจารย์ คุณต้องรับผมเป็นศิษย์นะครับ ผมก็ถือว่าเป็นคนมีวิชาอยู่เหมือนกัน….” หนุ่มอ้วนเงยหน้าขึ้นมองอย่างลังเล แล้วค่อยๆปล่อยท่อนแขนของตนออก
“เก่งหรือไม่ เขาไม่ได้วัดกันที่ปาก จะมีวิชาความรู้จริงหรือไม่พูดอย่างเดียวไม่ได้หรอก” เมื่อเห็นหนุ่มอ้วนลังเล จางเซวียนก็ดันเขาออกไปอย่างนึกรังเกียจ… เฮอะ นี่ถ้าเป็นศิษย์สาวสักคนวิ่งมาเกาะต้นขาก็ว่าไปอย่าง นี่เป็นผู้ชาย แถมยังอ้วนด้วย… แค่คิดก็หวาดเสียวแล้ว
“เอาละ คุณดูนี่นะครับ” หนุ่มอ้วนไม่ได้มีความรู้สึกละอายใจใดๆ ทั้งสิ้น เขายืนขึ้นแล้วมองไปรอบตัวสักพัก ก็ยกหินก้อนหนึ่งมาจากที่ๆไม่ไกลนัก แล้วก็… ทุบใส่หัวตัวเอง!
บึม!!!
หินก้อนนั้นกลายเป็นผุยผงทันที
ต่อจากนั้นยังหยิบทั้งอิฐทั้งหินมาทุบใส่ส่วนต่างๆของร่างกาย ทั้งแขนและขา ผลที่ได้ก็ไม่ต่างไปจากเมื่อครู่
ล้วนกลายเป็นผุยผง!!!
ถึงเจ้าหนุ่มนี่จะอ้วน แต่กลับมีร่างกายที่แข็งแกร่ง จางเซวียนไม่อาจละเลยคนประหลาดผู้นี้ได้ จึงรีบอ่านหนังสือที่ปรากฎขึ้นมาในหอสมุดของตน
ร่างกายแข็งแกร่งดั่งหินก็ถือเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาแขนงหนึ่ง พอเจ้าอ้วนแสดงออกมา ภายในหอสมุดก็มีหนังสือของเขาปรากฎขึ้น
‘หยวนเทา นักสู้เร่ร่อนจากเมืองตี้หวง เป็นนักสู้ขั้นหนึ่ง– ระดับล่าง’
‘จุดอ่อนมีทั้งหมด 18 ข้อ ข้อที่หนึ่ง สายเลือดมังกรบรรพกาลยังไม่ถูกปลุก, ข้อที่สอง พื้นฐานแย่ วิทยายุทธที่ฝึกซ้อม…..’
“สายเลือดมังกรบรรพกาล?” เมื่อเห็นเนื้อหาที่บันทึกอยู่บนนั้น จางเซวียนก็อึ้งไปทันที
หลังจากที่ผสานความทรงจำกับเจ้าของร่างคนก่อน เขาก็พอรู้เรื่องราวในโลกใบนี้บ้าง นักรบของโลกใบนี้ ยังมีบางคนที่พิเศษจริงๆ เพราะพวกเขาจะมี (1) สายเลือด (2) ร่างแฝง อยู่ในตัว ทั้งสองสิ่งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากและจำต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนักรบคนนั้น เขาถึงจะฝึกวิชาได้ก้าวหน้ากว่าคนอื่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเลือกฝึกวิชาที่เหมาะสมกับทั้งสายเลือดและร่างแฝง พัฒนาการของนักรบคนนั้นก็จะพุ่งทะยานฟ้า ทำให้แข็งแกร่งเป็นทวีคูณ
ร่างแฝงแบ่งยิบย่อยออกเป็นอีกหลายประเภท เช่น ร่างมืด ร่างสว่าง ร่างสมบูรณ์ และร่างทองคำ
สายเลือดก็เช่นเดียวกัน ยังมีประเภทของสายเลือดอีกหลากหลายประเภทเช่น สายเลือดบรรพกาล สายเลือดวิวัฒนาการ สายเลือดจากการถ่ายทอด และสายเลือดกลายพันธุ์….
เมื่อถูกค้นพบ นักรบเหล่านั้นจะกลายเป็นเป้าหมายของการแย่งชิงของปรมาจารย์ขั้นเซียนนับไม่ถ้วน สายเลือดมังกรบรรพกาลอย่างที่หนุ่มอ้วนมีอยู่ในตัวนี้เป็นหนึ่งในสายเลือดโบราณ ผู้ที่มีสายเลือดนี้ เมื่อฝึกฝนร่างกายจนถึงขีดสุดไปแล้ว ร่างของเขาจะอยู่ยงคงกระพัน ไม่มีสิ่งใดบนโลกที่จะสามารถทำลายได้ มันเป็นหนึ่งในสายเลือดประเภท ‘ป้องกัน’ และทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง
ให้ตายสิ เจ้าอ้วนที่ไร้ยางอายผู้นี้ครอบครองสายเลือดมังกรบรรพกาลงั้นหรือ?
“สายเลือดมังกรบรรพกาลของเขายังไม่ได้ถูกกระตุ้น ด้วยตาเปล่าเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องไม่มีใครมองออก” จางเซวียนกะพริบตาถี่ๆด้วยความตื่นเต้น
ในบรรดาสายเลือดทั้งหมด สายเลือดบรรพกาลถือว่าแข็งแกร่งมาก แต่ที่ไม่มีอาจารย์คนไหนรับเจ้าอ้วนนี่ ไม่ใช่อาจารย์พวกนั้นไม่รู้จักคัดเลือกศิษย์ แต่เป็นเพราะว่ามันยังไม่ถูกปลุกขึ้นมา เขาจึงดูไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่เจ้าตัวเองยังคงไม่รู้ว่าตัวเองมีสายเลือดสุดพิเศษนี้
แต่ไม่ว่าอย่างไร เมื่อได้ครอบครองสายเลือดพิเศษ ถึงตนจะไม่รู้ตัวแต่สายเลือดก็จะมอบส่วนที่โดดเด่นให้ สำหรับเจ้านี่ก็คือความแข็งแกร่งของร่าง และมันก็คือเหตุผลที่ทำให้เจ้าอ้วนคนนี้ทนมือทนเท้าเป็นอย่างดี
“เราจะต้องรับเขาเป็นศิษย์” จางเซวียนตาสว่างขึ้นทันที ศิษย์ที่มีสายเลือดของมังกรบรรพกาล แม้จะเป็นสถาบันอันทรงเกียรติอย่างโรงเรียนหงเทียน ก็อาจจะไม่มีย่างกรายเข้ามาสมัครเรียนนานมากแล้ว เขามีศิษย์ที่ยอดเยี่ยมอย่างนี้อยู่ตรงหน้าจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ง่ายๆได้อย่างไร “ใช้ได้นี่ ตอนนี้ผมรับคุณเป็นศิษย์ก็แล้วกัน คารวะผมเป็นอาจารย์เลยสิ” เมื่อคิดถึงจุดนี้ จางเซวียนก็รีบข่มความตื่นเต้นในใจเอาไว้ โยนแผ่นหยกประจำตัวออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อาจารย์ คุณจะรับผมจริงหรือ? ขอบพระคุณมาก ขอบคุณมากครับ….” น้องอ้วนคนนี้คงถูกเหยียดหยามมามากจนเกินไป พอได้ยินว่ามีอาจารย์ยอมรับเขา ก็รีบกรีดนิ้วหยดโลหิตลงไปบนแผ่นหยกอย่างไม่ลังเล
“อาจารย์อะไรกัน รับศิษย์แบบนั้นก็ได้ด้วย คนเขาพูดถูกเสียจริงๆ อาจารย์สวะ ก็มักจะดึงดูดลูกศิษย์สวะ” ในตอนนั้น เสียงสบประมาทก็ลอยมากระทบโสตประสาทของจางเซวียน
จางเซวียนหันไปมองรอบๆอย่างใจเย็น เขาหันไปเห็นใบหน้าเยือกเย็นและเย่อหยิ่งของชายหนุ่มที่กำลังเดินตรงมาหา ชายคนนั้นเดินเคียงคู่มากับสุภาพสตรีสาวแสนสวย เธอมีเรือนผมยาวสลวยดกดำปกคลุมไปถึงช่วงไหล่ ผิวสีนวลของเธอละมุนเหมือนเนื้อครีม ดวงตาเป็นประกายของเธอเชื้อเชิญให้คนที่มองมาหลงใหลได้อย่างง่ายดาย
“ซั่งปิง เสิ่นปี้หรู?” เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองคน ทั้งสองชื่อก็ลอยเข้ามาในหัว
ในโรงเรียนแห่งนี้ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเสิ่นปี้หรู เธอไม่ได้ทรงอิทธิพลอย่างอาจารย์ท่านอื่นๆก็จริง แต่เธอคืออาจารย์แสนสวยประจำโรงเรียน แม้แต่ดาวเด่นดวงใด เมื่อเทียบกับเธอแล้วยังอ่อนหัดชนิดที่ไม่ติดฝุ่น
แต่ทว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเธอหาได้โดดเด่นไปกว่าความเชี่ยวชาญในการสอน เสิ่นปี้หรูนับเป็นหนึ่งในอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่สุด สูงส่ง สง่างาม และฉลาดหลักแหลม ดังนั้นเธอจึงเป็นที่หมายปองของอาจารย์ชายในโรงเรียนเป็นจำนวนมาก
จางเซวียนก่อนหน้านี้ ก็เป็นหนึ่งคนในกลุ่มคนที่แอบหลงใหลในตัวเธอเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จางเซวียนคนก่อนนั้นอ่อนต่อโลก ไม่รวมถึงศักยภาพการสอนที่ไร้ประสิทธิภาพของเขาและการเป็นอาจารย์ปลายแถวในสถาบัน สาเหตุทั้งหมดทั้งมวลเหล่านั้นเป็นเหตุให้เขาไม่มีความมั่นใจในตัวเอง และแม้เขาจะสนใจในตัวเธอ แต่เขาก็ไม่เคยกล้าที่จะอาจเอื้อมพูดคุยกับนางฟ้าของตน เรื่องจีบสาวเพื่อเลื่อนขั้นความสัมพันธ์น่ะหรือ ตัดออกไปได้เลย
ส่วนชายหนุ่มคนที่เดินมากับเธอชื่อซั่งปิง เขาเป็นหลานชายของผู้อาวุโสซั่งผู้โด่งดังของโรงเรียน เป็นหนึ่งในคนที่หลงใหลในตัวเธอเช่นกัน เขาชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ของตนข่มผู้อื่นอยู่เสมอ เขาเคยได้ยินว่าจางเซวียนเองก็หลงใหลในตัวเสิ่นปี้หรู ดังนั้น ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากัน เขาจึงมักจะพูดจาดูถูกจางเซวียนสารพัดซึ่งบางครั้งก็ท้าตีท้าต่อย
อย่างไรก็ตาม เสิ่นปี้หรูก็เหมือนจะไม่ได้สนใจในตัวเขา เธอเย็นชากับทุกคน เหมือนว่าเธอไม่ได้ใส่ใจใครทั้งสิ้น ทิ้งให้ซังปิงเศร้าโศก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“ใครหรือที่พวกคุณว่าเป็น ‘อาจารย์สวะ’ น่ะ?” ได้ยินคำพูดปากเสียของซั่งปิงเอ่ยประชดออกมาแต่จางเซวียนก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ และยังไม่หันไปมองให้เสียสายตาอีกด้วย “รึว่าเป็นคุณ?” ซั่งปิงยิ้มเยาะ
“อ้อ… งั้นรึ ผมเป็นสวะเหรอ เออจริงสิเหม็นจริงๆ เหม็นมากๆ” จางเซวียนมองไปทางซั่งปิงแล้วยกมือปิดจมูกของตัวเอง แสดงสีหน้ารังเกียจ
“แก….” ซั่งปิงรู้ตัวว่าจางเซวียนพยายามล้อเลียนให้เขากลายเป็นตัวตลก ใบหน้าเขาจึงแดงกล่ำ