ตอนที่ 128 ไม่มีใครมา
หลังจากชี้แนะเรื่องการฝึกวรยุทธกับลูกศิษย์แต่ละคนเป็นการส่วนตัว และแจ้งเด็กๆเหล่านั้นว่าเขาจะไม่อยู่สักสองสามวัน จางเซวียนก็ออกจากโรงเรียน
เขาพบตรอกแคบๆแถวนั้น และเมื่อปรากฎกายบนถนนอีกครั้ง ก็กลายร่างเป็น ‘ปรมาจารย์หยางชวน’ ไปแล้วเรียบร้อย
เหลืออีกสิบสี่วันก่อนการประลองนักเรียนใหม่จะเริ่ม เขาต้องใช้ทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า
ไม่นานก็มาถึงคฤหาสน์ เขาเห็นองครักษ์สองนายยืนจังก้าตรงหน้าประตู พวกเขาเป็นนักรบขั้น 4-ผีกู่
“ไม่เลวเลย ดูน่าประทับใจดี!”
องครักษ์สองนายนั้นอยู่ในเครื่องแบบ ไม่หรูหราโออ่าเท่าไรนักแต่ก็ดูมีเอกลักษณ์ มีลุคขององครักษ์ผู้พิทักษ์ตระกูลอันทรงอำนาจ
ทั้งองครักษ์และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆถูกตระเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วในระยะเวลาอันสั้น ดูๆไปเจ้าเสี่ยวฉางนี่ก็ทำงานได้ไม่เลว
“ท่านผู้อาวุโส!” เห็นเขาเดินเข้ามา องครักษ์ทั้งสองนายลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
“อือ!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ
ดูเหมือนพ่อบ้านเสี่ยวฉางได้อธิบายรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายของเขาไว้แล้ว มิฉะนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งคู่จะรู้จักเขาตั้งแต่แรกเห็น และเขาก็ไม่ต้องกระอักกระอ่วนกับการเข้าบ้านตัวเองไม่ได้
เมื่อเข้าไปข้างในก็พบว่าทุกสิ่งสะอาดเอี่ยมอ่อง มีแจกันดอกไม้อยู่รายรอบ ส่งกลิ่นหอมอบอวล
“ท่านผู้อาวุโส!”
“ท่านผู้อาวุโส!”
ทั้งองครักษ์และแม่บ้านต่างเข้ามาคารวะจางเซวียน เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ และเดินวางท่าสง่างามตรงไปยังห้องนั่งเล่น
“ผู้อาวุโส ตามความประสงค์ของท่าน ผมได้จัดหาแม่บ้านสามสิบคน และองครักษ์ห้านาย…”
ซุนฉางวิ่งมาต้อนรับจางเซวียนก่อนที่เขาจะถึงห้องนั่งเล่นเสียด้วยซ้ำ ความลิงโลดของคนที่ปฏิบัติภารกิจสำเร็จตามที่ได้รับมอบหมายแจ่มชัดบนใบหน้า เขาอาจจะเป็นคนเดียวที่สามารถรวบรวมคนจำนวนมากได้ทันในเวลาอันสั้นขนาดนี้
“ไม่เลวนี่” จางเซวียนชมเชย “เธอแพร่กระจายข่าวตามที่ฉันบอกเมื่อวานแล้วหรือยัง?”
“เรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโส ข่าวแพร่สะพัดไปเรียบร้อย ไม่นานหรอกทุกคนในอาณาจักรเทียนเซวียนก็จะรู้กันทั่วว่าผมรับใช้ปรมาจารย์ท่านหนึ่งอยู่” ซุนฉางมองเขาอย่างเลื่อมใส
เขาไม่รู้หรอกว่าเหตุใดผู้อาวุโสท่านนี้จึงต้องการบอกใครต่อใครว่าตนเองเป็นปรมาจารย์ แต่เขาก็คงมีเหตุผลในการทำเช่นนั้น
“เธอกระจายข่าวด้วยวิธีใด?”
“ผมทำเป็นชุลมุนวุ่นวายกับการขายสำนักงาน แล้วก็บอกใครต่อใครในห้างสรรพสินค้าว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป ผมจะไปเป็นพ่อบ้านในคฤหาสน์ของปรมาจารย์ท่านหนึ่ง ในห้างสรรพสินค้าน่ะมีพวกจุ้นจ้านอยากรู้อยากเห็นอยู่มากมาย ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็รู้กันทั่ว” ซุนฮางตอบอย่างคล่องแคล่ว
“อือ!” จางเซวียนพยักหน้า
ก็จริงอยู่ที่นั่นคือวิธีดีที่สุดในการกระจายข่าว มันดูไม่จงใจจนเกินไป และข่าวก็คงจะแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็แน่นอนว่าตอนนี้ยังหวังผลอะไรไม่ได้
“ผู้อาวุโส ท่านมีสิ่งใดให้ผมรับใช้อีกหรือไม่?” เห็นแล้วว่าผู้อาวุโสพอใจในตัวเขา นัยน์ตาของซุนฉางเป็นประกายขณะตั้งคำถาม
“ไม่มีแล้ว…” จางเซวียนหยุดคิดชั่วครู่ “เธอคงใช้เงินไปจำนวนหนึ่งแล้วในการว่าจ้างแม่บ้านและองครักษ์ นี่ยังมีเงินพอรึเปล่า?”
เขามอบเงินให้พ่อบ้านไปแล้วหนึ่งแสนเหรียญ ห้าหมื่นเหรียญเป็นค่าเช่า และฝ่ายนั้นก็ได้ว่าจ้างองครักษ์มาห้านายกับแม่บ้านอีกสามสิบคน เงินส่วนเกินห้าหมื่นนั้นไม่น่าจะพอ
“ยิ่งกว่าพออีกท่าน พอคนพวกนี้รู้ว่าจะได้มารับใช้ปรมาจารย์ก็รีบรับปากเลย พวกเขายินดีจะรับค่าจ้างต่ำ บางคนถึงกับยอมทำงานฟรีด้วยซ้ำ ห้าหมื่นนั่นเกินพอเสียอีก” ซุนฉางตอบ
มาถึงจุดนี้ ซุนฉางก็ยังรู้สึกว่าบารมีของปรมาจารย์ตรงหน้าช่างเหลือเชื่อ มีแค่สองสามคนที่ไม่เชื่อว่าเขามีตำแหน่งเป็นพ่อบ้านของปรมาจารย์ แม้แต่องครักษ์และผู้หญิงจำนวนหนึ่งก็รีบรุดมาหาเพื่อแจ้งความจำนงอยากรับใช้ปรมาจารย์ของเขา
ไม่มีอาชีพใดอีกแล้วที่จะมีอำนาจเยี่ยงนี้
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่ได้รับคำชี้แนะสองสามข้อจากปรมาจารย์ก็อาจเทียบเท่ากับการฝึกวรยุทธหลายปีแล้ว เพียงเท่านี้ก็มากพอจะทำให้ใครต่อใครตื่นเต้น
“นำชามาให้ฉันหนึ่งถ้วย”
เมื่อรู้ว่าข่าวแพร่สะพัดไปแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือนั่งรอให้ผู้คนมาเคาะประตู จางเซวียนจึงเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น นั่งลงบนเก้าอี้และรอคอยอย่างอดทน
ไม่นาน แม่บ้านก็นำชามาให้
เธอเป็นหญิงสาวอายุราว 16-17 ชื่อหว่านเอ๋อร์ เป็นคนสวยและมีนัยน์ตาเป็นประกาย เมื่อเธอเห็นจางเซวียนก็ออกจะเกร็งเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นแล้วว่าเขาไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน หว่านเอ๋อร์ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกและมีอากัปกิริยาเป็นปกติ รู้ดีว่ากระวนกระวายไปก็ไร้ประโยชน์
จางเซวียนจิบชารออย่างอดทนให้มีใครสักคนมาเคาะประตู
เขารอตั้งแต่เช้าจนถึงบ่าย พระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครมา ไม่มีแม้แต่คนมาด้อมๆมองๆ
“ผู้อาวุโส ท่านต้องการให้ผมขึ้นป้ายว่า ‘ปรมาจารย์อยู่ที่นี่’ หรือไม่?” ซุนฉางเดินไปเดินมา สีหน้าวิตกกังวล
“…” จางเซวียนจนด้วยคำพูด
เขาจะดูเป็นผู้ทรงภูมิอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อใครสักคนมาค้นพบความจริงโดยบังเอิญเท่านั้น ถ้าแขวนป้ายก็จะดูเหมือนกำลังทำธุรกิจ แล้วเขาจะวางท่าเป็นผู้ทรงภูมิได้อย่างไร?
อีกอย่าง การแขวนป้าย ‘ปรมาจารย์อยู่ที่นี่’ มันก็ช่างเหมือนกับ ‘ระวังสุนัขดุ’ เสียเหลือเกิน
“ดูเหมือนจะไม่มีใครมาแล้วล่ะ ไปเดินเล่นกันดีกว่า” จางเซวียนไม่ใส่ใจคำพูดของอีกฝ่าย เขาลุกขึ้นยืน
แม้ซุนฉางจะกระจายข่าวไปแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เชื่อ แต่จะว่าไปการที่อาณาจักรเทียนเซวียนจะมีปรมาจารย์มาเยี่ยมเยือนสักคนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ยิ่งจะมาอาศัยบ้านเช่าอยู่นั้นไม่ต้องพูดถึง
อีกอย่าง ถ้ามีปรมาจารย์อาศัยอยู่ที่นี่จริงๆ ก็ควรจะอยู่ในสถานที่โอ่อ่าหรูหราอย่างวัง ไม่ใช่เช่าคฤหาสน์แล้วว่าจ้างเจ้านี่มาเป็นพ่อบ้าน…
“ไปเดินเล่นหรือท่าน?” ซุนฉางทำตาปริบๆอย่างประหลาดใจ “แล้ว…ถ้าเกิดระหว่างนี้มีใครมาล่ะ?”
เขารู้ว่าผู้อาวุโสท่านนี้พยายามจะสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในระยะเวลาอันสั้น แต่หลังจากอุตส่าห์รอมาทั้งวัน ถ้าเกิดมีใครมาเคาะประตูตอนที่เขาไม่อยู่ล่ะ ความพยายามตลอดทั้งวันมานี่มิสูญเปล่าหรือ?
“แจ้งองครักษ์ให้ตรวจสอบทุกคนที่จะเข้ามา ไม่ว่าใครก็ตาม หากไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน ก็เข้ามาไม่ได้!” จางเซวียนเอ่ย
ปรมาจารย์จะต้องเป็นผู้เปี่ยมอำนาจ ไม่ว่าเป็นจะใครหน้าไหน แม้องค์ฮ่องเต้เซินจุยก็เข้ามาไม่ได้ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเขา
“ครับท่าน…” ซุนฉางพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
“ไปกันเถอะ!”
รอคอยไปก็ไร้ประโยชน์ สู้ออกไปมองหาโอกาสดีกว่า เมื่อวันนี้สิ้นสุดลงก็จะเหลือเวลาอีกสิบสามวันก่อนถึงวันประลองนักเรียนใหม่ และอีกเพียงเก้าวันก่อนที่ยาจะมาถึง เวลาไม่เคยคอยใครเลย
ทั้งคู่เดินไปตามถนนที่ผู้คนพลุกพล่าน พระอาทิตย์คล้อยต่ำลงทางทิศตะวันตก ท้องฟ้าฉาบด้วยสีส้มเรืองรอง ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้ว ลมโชยมาให้ความรู้สึกเย็นยะเยือก
“ในบรรดาคนที่เธอรู้จัก ผู้ใดร่ำรวยที่สุด?” หลังจากเดินไปได้สองสามก้าว
จางเซวียนหันมาถาม
“เรียนท่านผู้อาวุโส ผู้นั้นคือนายใหญ่ของห้างสรรพสินค้าเทียนหวี่ หลิงเทียนหยู่ เขามีทรัพย์สมบัติมหาศาล เป็นมหาเศรษฐีพันล้านตัวจริง!” นัยน์ตาของซุนฉางเต็มไปด้วยความชื่นชมยกย่อง
“ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนเทียนหวี่เป็นมหาเศรษฐีรึ?” จางเซวียนตาเบิกโพลง “ได้การละ!”
เขาปลอมตัวเป็นปรมาจารย์เพื่อหาเงินให้ได้มากๆ ดังนั้นจึงต้องจับเหยื่อรวยๆให้ได้
“เขาอยู่ที่ไหน?” เมื่อตัดสินใจได้ จางเซวียนเอ่ยถาม
“เรียนผู้อาวุโส ตอนนี้ท่านหลิงน่าจะอยู่ที่ห้างหุ้นส่วนของเขา ท่านอยากพบเขาหรือไม่?”
“ไป ไปดูกัน”
จางเซวียนพยักหน้าและผายมืออย่างวางท่า ทั้งคู่มุ่งหน้าไปยังห้างหุ้นส่วนเทียนหวี่