Skip to content

Library Of Heaven’s Path 51

ตอนที่ 51 ร่างนวโลหะ

ในมุมๆ นั้น มีหนังสือจำนวนไม่มากนักวางอยู่ มีตำราประเภทเคล็ดวิชาต่างๆ ของขั้นหนึ่ง สอง สามและสี่ ซึ่งเป็นหนังสือที่เหมือนกับหนังสือที่อยู่ในหอสมุดของโรงเรียนหงเทียน หนังสือเหล่านี้ขั้นยิ่งสูงจำนวนก็ยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ ซึ่งตำราเคล็ดวิชาขั้นหกตรงหน้ามีเพียงไม่กี่สิบเล่ม

“แม้ว่าจะมีอยู่น้อย แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย”

เดิมทีจางเซวียนคิดว่าจะเหมือนกับที่หอสมุดของโรงเรียน มีตำราเคล็ดวิชาหลายร้อยหลายพันเล่มที่พร้อมจะให้เขาได้เลือกอ่าน ดูท่าเขาคงคิดมากไปเอง

แต่พอมาคิดดูอีกทีก็ควรจะเป็นแบบนี้แหละ ที่โรงเรียนมีศิษย์หลากหลายประเภท ความสามารถของแต่ละคนไม่เท่ากัน เคล็ดวิชาที่เหมาะกับคนแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ถ้าตำราเคล็ดวิชาทุกระดับขั้นมีจำนวนเท่ากันและแบบเดียวกัน แล้วจะสอนวิชาต่างๆ ให้กับศิษย์ทุกคนได้อย่างไร ถ้าใครต้องการจะพัฒนาฝีมือของตัวเอง จำต้องไปศึกษาค้นคว้าต่อด้านนอก นั่นก็ถูกต้องแล้ว

การเก็บสะสมหนังสือในรูปแบบ ‘ส่วนบุคคล’ ที่บ้านนั้นจะมีแต่หนังสือประเภทที่เจ้าบ้านถนัดและชื่นชอบ และเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับตัวจางเซวียนเองก็มีเพียงไม่กี่ชนิด การที่ในห้องหนังสือแห่งนี้มีหนังสือเคล็ดวิชานับสิบเล่ม มันก็เป็นเรื่องที่วิเศษมากแล้ว

จางเซวียนหยิบหนังสือทั้งหมดขึ้นแล้วพลิกหน้าหนังสือไปมาเบาๆ เนื้อหาทั้งหมดของหนังสือแต่ละเล่มก็ได้ถูกจัดเก็บลงในหอสมุดเทียบฟ้าของเขาอย่างง่ายดาย

“เป็นอะไรไป หรือว่าเคล็ดวิชาในหนังสือพวกนี้อ่อนไป ไม่คู่ควรกับน้องชาย”

ลู่เฉินเห็นจางเซวียนพลิกหน้าหนังสือด้วยความเร็ว มันเร็วมากจนไม่น่าจะเห็นแม้กระทั่งตัวอักษรบนหน้าหนังสือด้วยซ้ำ เขาจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย

“เปล่าครับ ผมแค่อยากจะกวาดตาดูครั้งหนึ่งก่อน” จางเซวียนส่ายหน้าแล้วมองไปรอบๆ ตำราเคล็ดวิชาก็มีเพียงไม่กี่เล่มนี่แหละ เขาจึงตัดสินใจจะเดินออกจากห้องหนังสือไป ขณะที่เขากำลังจะเดินก็เผอิญเหลือบไปเห็นกองหนังสืออีกกองที่อยู่ไม่ไกลออกไป “นั่นคือ…”

“อ้อ เป็นหนังสือที่ลูกไม่เอาไหนของผมทิ้งไว้ เขาเป็นคนรักการต่อยตี จึงมักจะหาตำราเคล็ดวิชาประเภทเสริมสร้างและพัฒนากล้ามเนื้อมาอ่าน เขาชอบขอติดตามไปหอสมุดหลวงเพื่อเอาหนังสือประเภทนี้ออกมาอ่านอยู่เสมอ” ลู่เฉินยิ้มแบบแห้งๆ “สำหรับนักรบ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพลังปราณ ร่างกายและกล้ามเนื้อเป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น…”

ขั้นของนักรบ แม้จะมีขั้นที่เรียกว่าผีกู่ ซึ่งเป็นขั้นที่เน้นความสามารถของร่างกายมนุษย์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นพลังปราณอยู่ดี เพียงแค่ทำให้พลังปราณเกิดความบริสุทธิ์สะอาดได้ ความสามารถของนักรบคนนั้นก็จะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

สำหรับนักรบที่ฝึกวิชาต่างๆ ร่างกายและกล้ามเนื้อเป็นเพียงตัวช่วยเท่านั้น ไม่มีความหมายมากนัก

“ผมขอดูหน่อยได้ไหมครับ” จางเซวียนเห็นหนังสือที่สามารถเพิ่มศักยภาพของกล้ามเนื้อได้ เขาจึงเกิดความสนใจและได้เอ่ยปากขออนุญาตลู่เฉินทันที จางเซวียนมีหอสมุดเทียบฟ้าอยู่ในครอบครอง เขาไม่จำเป็นต้องมีวรยุทธสูงส่ง ขอเพียงมีจำนวนหนังสือมากพอ เขาก็สามารถประยุกต์ใช้จุดแข็งในหนังสือแต่ละเล่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ว่าการฝึกฝนกล้ามเนื้อในร่างจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย และร่างกายก็ไม่ได้ช่วยให้ผู้ฝึกเคล็ดวิชาสามารถพัฒนาตนเองไปได้อย่างรวดเร็วเท่าพลังปราณ แต่ถ้าสามารถประยุกต์ใช้จุดดีของหนังสือทุกเล่มได้ บางทีหนังสือพวกนี้ก็อาจจะมีประโยชน์

ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีตำราเคล็ดวิชาขั้นหก งั้นก็ลองดูหนังสือพวกนี้ก่อนดีกว่า ไม่แน่อาจจะมีประโยชน์

“ถ้าน้องชายอยากดู งั้นก็เชิญเลย” ลู่เฉินยิ้มนิดๆ ก็ในเมื่อพาเขาเข้ามาแล้วก็ควรจะใจกว้าง เขาอยากดูอะไรอ่านอะไรก็ตามใจเขาเถอะ

“งั้นผมขอเสียมารยาทนะครับ” จางเซวียนพยักหน้าแล้วเดินไปที่กองหนังสือที่ว่าทันที

เหมือนกับที่ผ่านมา จางเซวียนพลิกหน้าหนังสือไปมาด้วยความเร็ว

“นี่เขากำลัง…”

ลู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ พอเห็นการกระทำของจางเซวียนก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก

เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเรียนรู้เคล็ดวิชาต่างๆ รึ แล้วทำไมถึงพลิกหน้าหนังสือเล่นแบบนี้

หรือว่าหนังสือพวกนี้… ไม่ถูกใจเขา

ก็จริง ชายหนุ่มคนนี้สามารถฝึกเคล็ดวิชาขั้นหกได้ แน่นอนว่าเขาจะต้องเป็นนักรบขั้นห้าไปแล้ว ความสามารถของเขาเกินจากขั้นผีกู่ไปนานแล้ว จะฝึกกล้ามเนื้อหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร สาเหตุที่อยากดูคงเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น

พอคิดได้แบบนี้ ลู่เฉินพลันคิดว่าตนเข้าใจในสถานการณ์แล้วจึงเลิกสงสัยในการกระทำของจางเซวียน เขาเองก็หยิบหนังสือที่ปรมาจารย์ท่านหนึ่งเขียนเอาไว้ขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาระหว่างรอ เริ่มอ่านอยู่สิบกว่านาทีก็อ่านหมดเล่ม

“เป็นวิธีฝึกที่ใช้ได้” จางเซวียนเห็นหนังสือในหอสมุดเทียบฟ้ามีหนังสือเพิ่มขึ้นกว่าพันเล่ม เขาจ้องไปในห้วงแห่งจิตแล้วสั่งให้รวบรวมจุดแข็งต่างๆ ของหนังสือทั้งหมดในหอสมุดเทียบฟ้า ไม่นานหนังสือเล่มใหม่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา

เช่นเดียวกับหนังสือทุกเล่มที่ผ่านมา บนหนังสือเล่มนั้นได้อธิบายรายละเอียดของขั้นตอนการฝึกวิชาต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน

“ลองอ่านก่อนก็แล้วกัน…” จางเซวียนเริ่มพลิกหน้าหนังสือและทันใดนั้นก็มีตัวอักษรมากมายลอยขึ้นมา “พลังปราณคือน้ำ ร่างกายคือถังไม้เก็บน้ำ ถังไม้ยิ่งแข็งแรงย่อมสามารถกักเก็บน้ำในปริมาณที่มากขึ้นและคุณภาพก็จะดียิ่งขึ้น…”

เพียงประโยคนี้ก็ทำให้จางเซวียนรู้สึกเข้าใจในเคล็ดวิชาการฝึกพลังปราณมากขึ้นแล้ว

“ใช่…”

เมื่อก่อนความคิดของเขาก็เหมือนคนอื่นๆ คิดว่าร่างกายไม่ได้มีความสำคัญอะไรมากต่อการฝึกเคล็ดวิชา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพลังปราณ แต่พอมาอ่านเจอประโยคนี้เข้าจึงรู้ทันทีว่าความคิดเดิมของตนนั้นผิด เช่นเดียวกัน… ผิวหนังเป็นพื้นฐานของการเกิดขน หากไร้ซึ่งผิวหนัง ขนก็ย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้ ความสัมพันธ์ระหว่างพลังปราณกับร่างกายมนุษย์ก็เป็นแบบนั้น ผู้ฝึกจะต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งกำยำถึงจะสามารถฝึกฝนพลังปราณที่รุนแรงได้

เสมือนประตูแห่งความลับได้ถูกเปิดออก จางเซวียนพลิกดูหนังสือหน้าต่อไปทันที เขายิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกดีใจ ระหว่างที่เพลิดเพลินกับการอ่าน พลังปราณในร่างกายของเขาก็เริ่มปรับสภาพไปตามคำสอนของหนังสือ

จากการปรับสภาพพลังปราณในร่างของจางเซวียน ร่างกายที่เดิมอ่อนแอก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เหมือนกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน กล้ามเนื้อที่ลีบเล็กกลายสภาพเป็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ผิวหนังก็หนาขึ้นมาก ทุกอณูในร่างของเขาได้พัฒนาไปในทางที่ถูกต้อง

จางเซวียนจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือ เขาไม่รู้สึกตัวเลยว่าร่างกายของเขามีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ตอนนี้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งเสมือนร่างนวโลหะ ทำให้ตัวเขาเองกลายเป็นนักรบที่มีความน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก

สองชั่วโมงผ่านไป

จางเซวียนได้อ่านเนื้อหาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้จนหมด พลังปราณในร่างของเขาก็ปรับสภาพตามเนื้อหาที่ระบุอยู่บนหนังสือ มันไหลเวียนไปมาทั่วทั้งร่างกายของจางเซวียนอย่างไม่ติดขัด

พออ่านจบจางเซวียนจึงตั้งชื่อให้หนังสือ จากนั้นหนังสือเล่มนั้นก็ลอยขึ้นแล้วเปล่งแสงออกมาทั่วทุกสารทิศ บนหน้าปกหนังสือปรากฏคำว่า…ร่างนวโลหะ

“วันหลังต้องตั้งใจฝึกเคล็ดวิชามากกว่านี้แล้ว เอ๋… อะไรกัน นี่เราฝึกเคล็ดวิชาสำเร็จแล้วรึ” จางเซวียนอ่านหนังสือจบก็คิดจะกลับไปฝึก แต่อยู่ๆ ก็เพิ่งรู้สึกว่าร่างของตนเกิดการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ว่าตัวเองได้ฝึกเคล็ดวิชานี้สำเร็จแล้วระหว่างที่อ่าน

หรือพูดได้ว่าบรรลุเคล็ดวิชานี้แล้ว

“เคล็ดวิชาแขนงเทียนเต้าเป็นเคล็ดวิชาที่วิเศษจริงๆ สามารถฝึกจนสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น เรื่องนี้เราเองก็รู้มานานแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเคล็ดวิชาร่างนวโลหะจะสามารถฝึกจนสำเร็จได้ในช่วงที่เราเองยังไม่รู้สึกตัวเลย…”

เมื่อก่อนเขาเคยมีประสบการณ์ในการฝึกวิชาแขนงเทียนเต้ามาก่อน เขารู้ว่าถ้าเป็นเคล็ดวิชาที่ไม่มีข้อบกพร่องอะไร จะสามารถย่นระยะเวลาในการฝึกได้มากกว่าครึ่ง เขาจึงรู้ดีว่าการฝึกเคล็ดวิชาร่างนวโลหะจะไม่กินเวลามากนัก แต่คิดไม่ถึงว่าเพียงช่วงที่เขาอ่านหนังสือกลับสามารถฝึกจนสำเร็จได้

ทำให้จางเซวียนรู้สึกทำอะไรไม่ถูก

“อย่าไปสนใจดีกว่า แม้จะหาตำราเคล็ดวิชาขั้นหกได้ไม่มากนัก แต่ในเมื่อมีร่างนวโลหะนี้แล้ว วรยุทธของเราก็น่าจะก้าวหน้าไปมากแล้วแหละ”

การมาถึงบ้านของปรมาจารย์ลู่เฉินในครั้งนี้ แม้จะไม่บรรลุจุดประสงค์ที่เขาคิดไว้ ไม่สามารถรวบรวมตำราเคล็ดวิชาขั้นหกได้เท่าที่ควร แต่ก็ทำให้เขาได้สำเร็จการฝึกเคล็ดวิชานวโลหะ แบบนี้ก็นับว่ามีกำไรแล้ว

ร่างกายกับพลังปราณนั้นไม่เหมือนกัน สำหรับพลังปราณ ผู้ฝึกสามารถรับรู้ได้ทันทีหลังการฝึก ความก้าวหน้าของพลังปราณสามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่ความก้าวหน้าของกล้ามเนื้อในร่างกายนั้นมองเห็นได้ยากกว่าเพราะมันถูกผิวหนังปกคลุมอยู่

นั่นหมายความว่า แม้จางเซวียนจะฝึกเคล็ดวิชาร่างนวโลหะสำเร็จ แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าความสามารถของตัวเองจะเพิ่มขึ้นมาสักเท่าไร และไม่รู้ด้วยว่าร่างกายของเขาได้รับการพัฒนาไปกี่มากน้อย

แต่ไม่เป็นไร ก็ในเมื่อเขาฝึกเคล็ดวิชานี้สำเร็จแล้ว เดี๋ยวกลับไปที่โรงเรียนแล้วค่อยวัดพลังกับเสาหินวัดพลังก็ได้

“น้องชายจางเซวียน คุณกำลังทำอะไรรึ”

ปรมาจารย์ลู่เฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ มีแต่ความสงสัย แม้ว่าลู่เฉินจะดูหนังสือไปด้วยพลางๆ แต่ก็คอยมองจางเซวียนอยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มคนนี้พลิกหน้าหนังสือไปมา แล้วยืนอยู่กับที่ไม่ขยับตัวไปไหนถึงสองชั่วโมง เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่

หรือว่าอ่านหนังสือมากเกินไปเลยธาตุไฟเข้าแทรก?

เหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อก่อนในอาณาจักรเทียนเซวียนเคยมีอัจฉริยะระดับสูงคนหนึ่ง หนังสือที่ผู้อื่นต้องใช้เวลาสองถึงสามปีในการฝึก แต่คนคนนั้นใช้เวลาเพียงแค่สองถึงสามชั่วโมงก็ฝึกสำเร็จแล้ว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีความกระตือรือร้นในการฝึกทั้งเคล็ดวิชาและวรยุทธต่างๆ อยู่เสมอ อยากจะคิดค้นเคล็ดวิชาของตัวเอง แต่สุดท้าย… เคล็ดวิชาของตัวเองยังไม่ทันจะได้คิดค้นออกมา ตนเองกลับถูกธาตุไฟเข้าแทรก

ชายหนุ่มคนที่ยืนตรงหน้าคนนี้ แม้จะอายุยังน้อยแต่ก็เป็นถึงนักรบขั้นห้าระดับสูงสุด ทั้งยังมีความสามารถระดับปรมาจารย์ในแขนงศิลปะ ไม่แน่ว่า… อาจจะเหมือนกับอัจฉริยะคนนั้น โลภมากจนเกิดเหตุร้ายขึ้นกับตัวเอง

“น้องชาย…” ลู่เฉินเดินมายืนตรงหน้าจางเซวียน กำลังจะยื่นมือไปแตะตัว

จางเซวียนเพื่อเรียกสติเขากลับมา

จางเซวียนกำลังรู้สึกทึ่งกับเคล็ดวิชาแขนงเทียนเต้า จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียก และมีฝ่ามือกำลังจะเข้ามาใกล้ตัวเขา

“ท่านปรมาจารย์ลู่เฉิน…” จางเซวียนเรียกสติกลับมาแล้วรีบหันกลับ ไหล่ของเขาไปถูกร่างของลู่เฉินอย่างไม่ได้ตั้งใจ

จากนั้นก็เกิดเสียงดัง จางเซวียนเห็นร่างของลู่เฉินลอยออกไปกระแทกกับชั้นวางหนังสือ หนังสือจำนวนมากหล่นลงมากองกับพื้นทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!