Skip to content

Library Of Heaven’s Path 94

ตอนที่ 94 จงวิเคราะห์ภายในเวลาที่กำหนด

อีกมุมหนึ่ง ในที่สุดจางเซวียนก็เรียบเรียงความรู้ทั้งหมดจนเสร็จ เขาสูดลมหายใจเข้าแล้วปล่อยออกอย่างช้าๆ พร้อมกับค่อยๆ ลืมตา

ช่วงเวลาครึ่งวันที่ผ่านมา จางเซวียนมีความรู้ด้านสมุนไพรเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ความรู้ที่เขาลอกจากหอสมุดเทียบฟ้าขณะสอบนั้น ในตอนนี้ได้กลายมาเป็นของเขาเองเรียบร้อยแล้ว

หอสมุดเทียบฟ้าไม่เพียงแต่จะสามารถบันทึกความรู้ต่างๆ ได้ แต่ยังสามารถนำวิชาความรู้นั้นมาผสมผสานกับเคล็ดวิชาเทียบฟ้าได้อีกด้วย ซึ่งเคล็ดวิชานี้จะทำให้ผู้ฝึกสามารถเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ตึกๆๆ

เสียงก้าวเท้าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“นั่นมัน ‘จูหวาหัว’ นี่นา เขาสอบผ่านแล้วได้เป็นศิษย์ของนักปรุงยาตั้งแต่ครึ่งปีก่อน”

“เขาเป็นศิษย์ของนักปรุงยาตู้หม่านไม่ใช่หรือ”

“ก็ใช่น่ะสิ นี่คงจะมาประกาศผลการสอบในส่วนแรกสินะ”

“ขอให้ฉันสอบผ่านด้วยเถิด…”

ผู้เข้าสอบที่นั่งรออยู่ตรงหน้าประตู พอเห็นผู้ที่กำลังเดินตรงมาก็รีบยืนขึ้นทันที

“เมื่อผลการสอบออกมา ฉันก็จะสามารถเล่นงานนายได้สักที ดูซิว่านายยังจะตีสีหน้าต่อไปอย่างไร” เหวินเซวี่ยมองไปที่จางเซวียนแล้วแอบหัวเราะเยาะในใจ

อันที่จริง ถ้าเธอไม่รู้ว่าจางเซวียนเป็นพวกที่เล่นละครตีบทแตก เธอคงจะเชื่อว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ เพราะ… เขา ‘เล่นละคร’ ได้สมจริงมาก

เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงหลังจากการสอบในส่วนที่หนึ่งจบลง แต่จางเซวียนกลับนั่งนิ่งอยู่กับที่โดยไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลยตั้งแต่ออกมาจากห้องสอบ เพียงเพราะแค่ต้องการจะเรียกร้องความสนใจจากเธอ คนคนนี้ยอมลงทุนจริงๆ

แต่ก็… ไร้ประโยชน์

เมื่อครู่เขาพึ่งจะทำให้เธอโกรธจนแทบคลั่ง แล้วตอนนี้จะมาทำเป็นวางท่านิ่งเพื่อให้เธอเปลี่ยนทัศนคติต่อตัวเขา เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

“การสอบในส่วนแรก มีผู้สอบผ่านทั้งหมดสามคน” จูหวาหัวเดินมาถึงตรงหน้าเหล่าผู้เข้าสอบแล้วก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับอ่าน “คนที่หนึ่ง ซุนเทาแห่งเมืองลู่เหยี่ยน อัตราการตอบถูกอยู่ที่เก้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์”

“ฉันหรือ ฉันสอบผ่านจริงๆ ด้วย…” หลังสิ้นสุดเสียงของจูหวาหัวก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งดีใจจนกระโดดไปมา

คนรอบๆ ที่เห็นปฏิกิริยาของเขาต่างก็รู้สึกอิจฉาไปตามๆ กัน แม้ว่าจะสอบผ่านได้เพียงหนึ่งในสามหัวข้อของการสอบทั้งหมด แต่นี่ก็หมายความว่าเขาเข้าใกล้ความฝันที่จะเป็นศิษย์ของนักปรุงยาไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว ขนาดเหวินเซวี่ยเองก็รู้สึกนับถือชายหนุ่มที่สอบผ่านเป็นอย่างมาก

“คนที่สอง เฉียนเหวินหมานแห่งเมืองจื่อหวิน อัตราการตอบถูกอยู่ที่เก้าสิบเปอร์เซ็นต์”

“ผมครับ…” เมื่อจูหวาหัวพูดจบก็มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าแดงก่ำ

“คนสุดท้าย จางเซวียนแห่งเมืองเทียนเซวียน อัตราการตอบถูกอยู่ที่…”

จูหวาหัวไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เขาอ่านแผ่นกระดาษในมืออย่างละเอียดอีกครั้งแล้วขยี้ตา เพื่อยืนยันว่าดวงตาของเขาไม่มีปัญหา แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “อัตราการตอบถูกอยู่ที่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์”

“อะไรนะ”

“หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เลยหรือ”

“ก็หมายความว่าตอบถูกทุกข้อเลยงั้นสิ”

“เป็นไปได้อย่างไร”

“ข้อสอบที่ยากขนาดนี้กลับตอบถูกทุกข้อ คนไหนคือจางเซวียนหรือ”

“ถูกต้อง จางเซวียนเป็นใครกัน”

เมื่อผู้คนรอบด้านได้ยินว่า ผู้สอบผ่านคนที่สามตอบถูกได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ช็อกไปตามๆ กัน ทุกคนต่างมองหา ต่างอยากรู้ว่าจางเซวียนเป็นใครมาจากไหน

“เอาล่ะ ผู้สอบผ่านทั้งสามคนสามารถเข้าห้องสอบเพื่อสอบในส่วนที่สองได้”

จูหวาหัวพูดแทรกบทสนทนาของคนรอบๆ ข้างแล้วเดินนำหน้าเข้าไปในห้องสอบทันที

คนที่สอบผ่านทั้งสองคนต่างรีบรุดตามจูหวาหัวไปอย่างไม่รอช้า

จางเซวียนเองก็ยืนขึ้นบ้าง

“ชื่อของผู้ที่สอบผ่านทั้งสามคนก็ถูกประกาศออกมาแล้ว ทำไม… ยังจะกล้าอวดอีกหรือว่าตัวเองเป็นคนที่มีความรู้น่ะ…” เหวินเซวี่ยหัวเราะเสียงดังทันทีเมื่อเห็นจางเซวียนลุกขึ้นยืน ขณะที่เธอกำลังจะพูดต่อก็เหมือนกับว่าเพิ่งคิดอะไรบางอย่างออกมาได้ เธอมองไปที่จางเซวียนแล้วพูด “คุณ… คุณ…ชื่ออะไรนะ”

“จางเซวียน”

จางเซวียนขี้เกียจจะสนใจหญิงบ้าช่างเพ้อเจ้ออย่างเหวินเซวี่ย เขาลุกขึ้นพร้อมกับเดินเข้าไปในห้องสอบทันที

“จางเซวียนหรือ เขาชื่อ…จางเซวียนหรือ”

“อัตราการตอบถูกอยู่ที่หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเนี่ยนะ”

เหวินเซวี่ยเกิดอาการตัวสั่นงันงก สีหน้าของเธอซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนตัวตลก น่าอับอายขายหน้าเสียเหลือเกิน

ตั้งแต่แรกเธอก็บอกว่าอีกฝ่ายเล่นละครเป็นคนที่ไม่มีความรู้อะไรเลย แต่สุดท้าย… เขากลับสามารถทำข้อสอบได้ถูกทุกข้อ นี่มันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝันใช่ไหม

นายไม่รู้แม้แต่เรื่องที่ว่า… ข้อสอบจะออกเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง…ไม่ใช่หรือ

นายไม่ได้อ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเลยไม่ใช่หรือ

คนโกหก…

ไอ้คนลวงโลก

ทำเป็นไม่รู้อะไรเลย แต่พอสอบกลับสอบได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม… นี่นายกำลังแกล้งทดสอบใจฉันอยู่สินะ

เหวินเซวี่ยรู้สึกหน้าแหกสุดๆ เธอรู้สึกเหมือนกับกำลังจะสติแตก

“คนที่ทำแค่เพียงพลิกหน้าหนังสือ… กลับสอบได้คะแนนเต็ม” ลุงหลี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็มีอาการตาค้างเช่นกัน เมื่อครู่เขาเองก็นึกไปว่าจางเซวียนมาสอบเล่นๆ นึกไม่ถึงว่าจะเก่งขนาดนี้

ตัวเขาเองสอบมาตั้งแต่ยังหนุ่ม จนถึงตอนนี้ยังสอบไม่ผ่าน แต่จางเซวียนสอบครั้งแรกก็ได้คะแนนเต็มแล้ว… มันเป็นอะไรที่น่าโมโหเหลือเกิน

“เป็นเจ้าคนที่ใช้เวลาสอบเพียงชั่วโมงเดียวอย่างไรล่ะ”

“ฉันนึกว่ามันถอดใจยอมแพ้เสียอีก ที่ไหนได้กลับสอบได้คะแนนเต็ม…”

“จะเก่งเกินไปแล้ว ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงก็สามารถทำข้อสอบจนเสร็จ เขาทำได้อย่างไรกัน”

ผู้คนรอบๆ ที่จำจางเซวียนได้ ทุกคนต่างรู้สึกงวยงงไปหมด

จางเซวียนนั่งในห้องสอบอีกครั้ง เขาไม่รู้เลยว่าคนข้างนอกทุกคนกำลังคลุ้มคลั่ง คิดไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับตัวเขา

บนโต๊ะของเขามีสมุนไพรหลากหลายชนิดวางเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะเป็นสมุนไพรที่หาซื้อไม่ได้ในท้องตลาด ทั้งหมดล้วนเป็นสมุนไพรหายากทั้งสิ้น

“บนโต๊ะของทุกคนมีสมุนไพรวางอยู่สิบชนิด พวกคุณมีเวลาหนึ่งก้านธูปในการเขียนชื่อ สรรพคุณ และวิธีใช้ของสมุนไพรเหล่านี้ออกมาให้หมด การสอบในส่วนนี้ ทุกคนจำเป็นจะต้องตอบถูกทั้งหมดถึงจะถือว่าสอบผ่าน”

โอวหยางเฉิงยืนตรงหน้าห้องแล้วโบกมือส่งสัญญาณ “เริ่มนับเวลาได้”

การสอบส่วนที่สองคือการวิเคราะห์สมุนไพร เกณฑ์การสอบคือต้องทำให้ถูกทุกข้อ ซึ่งก็หมายความว่า ในสมุนไพรทั้งสิบต้นนี้ ถ้าจำอะไรผิดนิดหน่อยก็จะถือว่าสอบตกทันที

จางเซวียนมองไปที่สมุนไพรต้นแรก มันเป็นพืชที่มีใบสีเขียว ดอกสีเขียว รากก็สีเขียว

‘หญ้าหนวดแก้วมรกต’

จางเซวียนนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา ชื่อสมุนไพรต้นนี้พลันปรากฏขึ้นมาในหัว

ต่อมาข้อมูลและรายละเอียดเกี่ยวกับสมุนไพรชนิดนี้ก็ปรากฏขึ้นในหอสมุดเทียบฟ้าของเขา จางเซวียนไม่รอช้า เขาหยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเริ่มคัดลอก

พอเขียนรายละเอียดของสมุนไพรชนิดที่หนึ่งเสร็จก็เริ่มเขียนของชนิดที่สองต่อ

แม้ว่าสมุนไพรพวกนี้จะหายากมาก แต่ความรู้ของจางเซวียนในตอนนี้มีมากพอที่จะเขียนรายละเอียดของสมุนไพรทั้งสิบชนิดนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น ผ่านไปไม่นาน เขาก็เขียนรายละเอียดของสมุนไพรเสร็จไปเก้าชนิดแล้ว ตอนนี้เหลืออีกเพียงชนิดเดียวเท่านั้น

สมุนไพรชนิดที่สิบเป็นพืชที่มีลักษณะประหลาดอย่างมาก มันมีดอกสีเหลือง ใบสีขาว และรากสีเขียวผสมเทา

ขณะที่จางเซวียนกำลังคิดว่าพืชชนิดนี้เป็นพืชอะไรอยู่นั้น เขาก็รู้สึกสมองหนักอึ้ง แล้วพลันหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับลูบหัวตัวเอง

โง่จริงๆ

มีหอสมุดเทียบฟ้าเป็นอาวุธ แล้วยังจะมาเสียเวลานั่งนึกอยู่ทำไมจางเซวียนเอื้อมมือไปหยิบสมุนไพรต้นนั้นขึ้นมาอย่างเบามือ

ทันทีที่เขาหยิบมันขึ้นมา ก็มีหนังสือเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในสมอง บนหนังสือเล่มนั้นได้ระบุชื่อ สรรพคุณ รวมทั้งข้อดีและข้อเสียของสมุนไพรชนิดนี้อย่างละเอียด

ต่อมา จางเซวียนก็หยิบสมุนไพรทั้งเก้าชนิดที่เขาวิเคราะห์แล้วขึ้นมาทีละต้น…อีกครั้ง

คำตอบที่เขาเขียนถูกต้องเกือบหมด มีเพียงสมุนไพรชนิดเดียวที่คำตอบของเขาไม่ตรงกับของหอสมุดเทียบฟ้า

จางเซวียนรู้ดีว่าข้อมูลของหอสมุดเทียบฟ้ามีความถูกต้องและแม่นยำเสมอ เขาจึงไม่รอช้ารีบหยิบพู่กันขึ้นมาแก้คำตอบทันที

เขาใช้เวลาเพียงครึ่งก้านธูปก็ทำข้อสอบในส่วนนี้เสร็จจนหมด แล้วจึงส่งกระดาษคำตอบให้กับโอวหยางเฉิงเช่นเดิม

เมื่อครู่โอวหยางเฉิงคิดว่าจางเซวียนมาเพื่อก่อความวุ่นวายเลยไม่ค่อยสนใจอะไรมากนัก แต่เมื่อรู้ว่าจางเซวียนสามารถทำข้อสอบในการสอบส่วนที่หนึ่งได้ถูกทุกข้อจึงเริ่มให้ความสนใจกับจางเซวียนมากขึ้น เขารับกระดาษคำตอบของจางเซวียนมาก็รีบตรวจคำตอบทันที

ตู้หม่านที่ยืนอยู่ข้างๆ ห้องก็เดินมาดูคำตอบที่จางเซวียนเขียนด้วย

พวกเขาตรวจคำตอบของจางเซวียนอย่างละเอียด ตรวจไปก็พยักหน้าไปด้วยความพึงพอใจ

คำตอบทั้งหมดที่จางเซวียนเขียนนั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อ สรรพคุณ หรือคุณสมบัติ ล้วนถูกต้องทั้งหมด ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ เลย

ขณะที่กำลังจะกล่าวคำชื่นชมเพราะคิดว่าจางเซวียนจะต้องสอบผ่านได้อย่างแน่นอนอยู่นั่นเอง ทั้งสองก็หยุดชะงักแล้วเกิดอาการตกตะลึง

“เอาล่ะ ผมจะประกาศรายชื่อของผู้ที่สอบผ่านในการสอบส่วนที่สอง ผู้ที่สอบผ่านมีเพียงคนเดียว…”

ในไม่ช้า อีกสองคนก็ส่งกระดาษคำตอบเช่นกัน

โอวหยางเฉิงตรวจกระดาษคำตอบของทั้งสองอย่างรวดเร็ว แล้วก็ได้ข้อสรุปของผลการสอบทันที

“ผู้ที่สอบผ่านคือซุนเทาแห่งเมืองลู่เหยี่ยน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!