ตอนที่ 110 : ยืนยัน
หลังจากครุ่นคิด ไคลน์ตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเพื่อยืนยันบางสิ่ง
มันเชื่อว่า หากไม่มีอำนาจลึกลับคอยปกปิดสัญลักษณ์บนกระดาษเพื่อหวังให้ตนเห็นเพียงคนเดียว หัวหน้าและหน่วยเหยี่ยวราตรีต้องสืบสวนจนพบเบาะแสเข้าสักวันแน่นอน ไม่เกี่ยงว่าตนจะแจ้งให้ทราบหรือไม่
แต่กลับกัน หากมีพลังลึกลับคอยปิดบังสัญลักษณ์บนกระดาษอยู่จริง ตนก็ไม่ควรบุ่มบ่ามกลับไปแจ้งกับหัวหน้า ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้เลยว่าจะปลอดภัย
ไคลน์รีบกลับบ้านเพื่อยืนยันเรื่องนี้
มันโดยสารรถม้าไร้รางกลับมายังถนนดารารัตน์และเปิดประตูเข้าบ้าน ตอนนี้เป็นยามเช้าของวันอาทิตย์ เบ็นสันและเมลิสซ่าจึงยังไม่ถึงเวลาตื่นนอน
บรรยากาศในบ้านโมเร็ตติค่อนข้างมืดสลัว
ไคลน์ต้มกาน้ำร้อน ใส่ใบชาลงไปตามสมควร รอจนกระทั่งเดือดและซดกินพร้อมกับขนมปังข้าวโอ๊ต
จากนั้นก็สวมโค้ต เดินขึ้นชั้นสองด้วยฝีก้าวระมัดระวังเพื่อไม่ให้สองพี่น้องตื่น
ขณะฝ่าเท้าไคลน์เหยียบบันไดขั้นสุดท้าย ประตูห้องน้ำอีกฝั่งถูกผลักเปิดจากด้านใน
เมลิสซ่าเดินออกมาในสภาพงัวเงีย
“กลับมาแล้วหรือ…”
เด็กสาวขยี้ตาหาว
ด้านไคลน์ก็หาวบ้าง
“ใช่แล้ว ฉันง่วงมาก ไม่ต้องปลุกจนกว่าจะเที่ยงนะ”
เมลิสซ่าผงกศีรษะเล็กๆ เชิงรับรู้ ก่อนจะนึกบางสิ่งขึ้นได้
“ฉันกับเบ็นสันจะไปวิหารพระแม่เซเลน่าตอนเช้าเพื่อเข้าร่วมพิธีมิสซา อาหารเที่ยงคงเริ่มสายกว่าปรกติเล็กน้อย”
ทั้งเมลิสซ่าและเบ็นสันไม่เคร่งศาสนามากนัก พวกมันจะประกอบพิธีมิสซาที่วิหารเพียงเดือนละสองครั้ง
ส่วนทางด้านไคลน์ นับตั้งแต่กลายเป็นเหยี่ยวราตรีก็ไม่ได้ไปเหยียบวิหารอีกเลย โดยครั้งล่าสุดคือเหตุการณ์ถูกสมาชิกลัทธิเร้นลับสะกดรอยตาม
ไม่สิ ตรงกันข้ามเลยต่างหาก ความจริงแล้วตนเข้าวิหารทุกวัน เพียงแต่เป็นในลักษณะห้องใต้ดิน!
ไคลน์แอบอ้างความชอบธรรมภายในใจ
แม้บนโลกเก่าจะไม่แยแส แต่หากเป็นโลกปัจจุบัน มันมิบังอาจละเลยบารมีของเหล่าองค์เทพ โดยเฉพาะเทพธิดารัตติกาล
หล่อนเคยช่วยให้ตนรอดพ้นจากวิกฤติในงานวันเกิดเซเลน่ามาแล้ว
ไคลน์แอบกังวลลึกๆ ว่าเทพธิดาจะมองมันเป็นสาวกจอมปลอม และไม่ยอมมอบพลังในพิธีกรรมสำคัญ ขณะเหตุการณ์คาบเกี่ยวความเป็นความตาย
แบบนั้นคงแย่แน่
แต่หากประเมินจากความระยำของลุงนีลล์แล้ว บางทีพระองค์อาจปรานีกับเหยี่ยวราตรีมากเป็นพิเศษ
หืม…ต้องใช่แน่
ไคลน์ปลอบใจเข้าข้างตัวเอง
ขณะความคิดฟุ้งซ่านถาโถม มันได้สติกลับมาและพยักหน้าให้เมลิสซ่า
“ไม่มีปัญหา ฉันแค่นอนให้นานขึ้น”
หลังจากเดินผ่านน้องสาว มันล็อกประตูห้องนอนตัวเองแน่นหนา
โดยไม่รีรอ ไคลน์หยิบมีดเงินออกมาและรีบสร้างกำแพงวิญญาณ
เท้าขยับเป็นทรงจัตุรัสสี่จุด ปากพึมพำคาถาสำหรับส่งตัวเองเข้าสู่มิติสายหมอก
ณ โลกมายาไร้ก้นบึ้ง มันคือวิญญาณเพียงดวงเดียวบนสถานที่ลึกลับแห่งนี้ ไคลน์เพ่งจิตส่งตัวเองไปนั่งบนเก้าอี้ตำแหน่งประธานชุมนุมไพ่ทาโรต์
มันครุ่นคิดเงียบงันราวหนึ่งนาทีเต็ม ก่อนจะสร้างแผ่นกระดาษหนังขึ้นมาและเขียนประโยคทำนายลงไป
“ภาพที่ตัวตลกอัปมงคลเผยให้เห็น”
ถึงไคลน์จะเคยจ้องมองเต็มสองตาขณะเกิดเหตุ แต่ด้วยความสติแตก จึงทำได้เพียงจดจำรายละเอียดอย่างคร่าวๆ ภาพในความทรงจำเลือนรางไม่คมชัด
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับนักทำนาย ไคลน์สามารถเรียกภาพในอดีตย้อนกลับมาสักกี่ครั้งก็ได้
ตามทฤษฎีศาสตร์เร้นลับ ถ้าดวงวิญญาณของมนุษย์เคยเห็นภาพใดมาแล้วหนหนึ่ง ภาพดังกล่าวจะถูกสลักลงในจิตตลอดกาล
มาดามดาลี่ย์เคยพูดประโยคที่คล้ายคลึงกันสมัยสืบสวนตนด้วยพิธีกรรมหลับใหล
หลังจากไคลน์ตั้งใจศึกษาจนเริ่มมองเห็นเค้าลางของศาสตร์เร้นลับ มันพลันตระหนักถึงความยอดเยี่ยมของมาดามดาลี่ย์ทันที
ความทรงจำมนุษย์เหมือนกับห้วงทะเลจิต
ความทรงจำปัจจุบันจะเปรียบดังเกาะ รวมถึงผิวน้ำทะเลทั้งหมด เนื่องจากมีขนาดไม่ใหญ่มาก มนุษย์จึงสามารถจดจำภาพของเกาะและผิวทะเลได้ละเอียด
แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ความทรงจำยังหลงเหลือในส่วนลึกของใต้ท้องทะเลด้านล่าง แทบจะไร้ก้นบึ้งก็ว่าได้
หลังจากท่องคาถาครบเจ็ดครั้ง ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้และเข้าฌานเพื่อนสะกดจิตตัวเองให้หลับ
บนโลกมายาความฝัน มันได้เห็นภาพประตูยานิสเปิดแง้มอีกครั้ง รวมถึงเสียงบางสิ่งขูดกับโลหะจนหวีดแหลม
หุ่นกระบอกอัปมงคลพยายามแทรกตัวผ่านช่องว่างประตูและคลี่แผ่นกระดาษออก
ไคลน์มองเห็นสัญลักษณ์ประหลาดจำนวนมากถูกวาดรวมกันเป็นรูปดวงตาแนวตั้ง
สัญลักษณ์มีทั้งอ่านออกและไม่ออก
มันเพ่งมองเช่นนั้นจนเก็บรายละเอียดครบถ้วนไม่ตกหล่น ก่อนจะออกจากฝันและก้มหน้าวาดภาพลงกระดาษหนังโดยอาศัยความทรงจำสดใหม่
คล้ายกับเนตรแนวตั้งกำลังจ้องมองตนกลับมาจากแผ่นกระดาษ เปี่ยมด้วยปริศนาและความน่าสะพรึงในเวลาเดียวกัน
ไคลน์นั่งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเขียนข้อความลงบนกระดาษแผ่นเดิมที่ใช้วาดภาพ
ภายใต้เนตรแนวตั้ง
“สิ่งนี้คือเบาะแสสำคัญที่จะสาวไปถึงสมบัติลับตระกูลอันทีโกนัส”
มันวางปากกาลง ปลดโซ่เงินข้อมือซ้ายออกมาถือ ปล่อยปลายจี้ให้ลอยเหนือแผ่นกระดาษหนังเพียงเล็กน้อย
ไคลน์หลับตาท่องประโยคเจ็ดครั้งด้วยจิตใจสงบนิ่ง
หลังจากครบ มันลืมตาขึ้น และพบลูกตุ้มวิญญาณกำลังหมุนในทิศทางตามเข็มนาฬิกาด้วยความเร็วปานกลาง
เป็นผลลัพธ์ยืนยัน
ภาพดวงตาแนวตั้งคือกุญแจนำพาไปสู่สมบัติลับตระกูลอันทีโกนัส
ไคลน์พยักหน้าเบาๆ พลางนั่งวิเคราะห์
นิ้วมือขวากำลังเคาะโต๊ะตามความเคยชิน ปากส่งเสียงพึมพำเบาๆ
“เป็นเพราะรีเอล·บีเบอร์เสียชีวิต ตระกูลอันทีโกนัสจึงไม่หลงเหลือทายาทอยู่อีก ด้วยเหตุนี้ สมุดบันทึกจึงมองเรา นักทำนายผู้เคยสัมผัสสมุดโดยตรงและยังมีชีวิตรอด เป็นทายาทคนถัดไป จากนั้นก็ทำการทิ้งเบาะแสสำคัญ ภาพวาดเนตรแนวตั้ง ไว้กับ 3-0625 และรอคอยให้ถึงเวลาที่เราเข้าเวรเฝ้าประตูยานิสตามลำพัง…อย่างนั้นหรือ? ไม่มีข้อบกพร่องในสมมติฐาน แต่เรามองว่าเป็นการตีความข้างเดียวมากเกินไป สมุดบันทึกทราบได้อย่างไรว่าโลกนี้ไม่เหลือทายาทอันทีโกนัสอีกแล้ว? และตัวเราไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเลยสักนิด ไม่อย่างนั้น ไคลน์คนก่อนคงไม่ถูกฆ่าโดยพลังอำนาจของสมุด หืม…เรื่องแบบนี้ จะบอกหรือไม่บอกหัวหน้า ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกันสักเท่าไร ถ้าอย่างนั้น…”
ถัดไป ไคลน์ตัดสินใจทำนายหาแหล่งซ่อนสมบัติลับตระกูลอันทีโกนัส
แต่ผลลัพธ์คือล้มเหลว ซึ่งไม่น่าประหลาดใจสักเท่าไร ข้อมูลมีน้อยเกินกว่าจะทำนายให้เกิดผลสำเร็จ
มันเพียงทราบจากจดหมายของซีริสว่า สมบัติตระกูลอันทีโกนัสซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งบนยอดสูงสุดของเทือกเขาโฮนาซิส อดีตดินแดนอารยธรรมแคว้นรัตติกาล
ขณะไคลน์ตั้งข้อสรุปภายในใจ ดาวแดงดวงเดิมเริ่มยุบพองตัวเองอย่างรุนแรงอีกครั้ง
มันใช้เทคนิคแอบมองอีกฝ่ายด้วยการนำมือสัมผัสกับดาวโดยตรง ไคลน์ได้เห็นเด็กหนุ่มผมน้ำตาลในเครื่องแบบสีดำรัดรูปคนเดิม
อีกฝ่ายอยู่ในสภาพคุกเข่า หน้าผากแนบติดพื้น ปากพึมพำภาวนาต่อหน้าบอลคริสตัลอย่างตั้งใจ
หลังจากคราวก่อนเคยฟังไม่ออก ไคลน์จึงตั้งใจค้นคว้าภาษาคนยักษ์มาเพิ่มเติม
“ได้โปรด…ช่วยท่านพ่อ…ท่านแม่ด้วย”
คิดไว้ไม่ผิด เป็นภาษาคนยักษ์จริงด้วย
แล้วภาษาคนยักษ์ถูกใช้ในอาณาจักรไหน?
ยังมีสถานที่ใดบนโลกสื่อสารด้วยภาษาคนยักษ์อีกหรือ?
จากบันทึกประวัติศาสตร์ มนุษย์ใช้ภาษาคนยักษ์ครั้งสุดท้ายเมื่อราวหลายพันปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ไหน แต่ตนไม่มีพลังมากพอจะช่วยเหลือพ่อและแม่ของเด็กคนนี้ได้แน่
มิติสายหมอกอาจทรงพลัง แต่ไม่ใช่กับตัวมันในสภาพปัจจุบัน ไคลน์ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา มันตัดสินใจเฝ้ามองเด็กหนุ่มคนนี้ไปอีกสักพัก
ไว้ชำนาญภาษาคนยักษ์มากกว่านี้ เผื่อว่าอาจจับใจความได้ทั้งประโยค และทราบว่าอีกฝ่ายต้องการให้ช่วยพ่อและแม่จากอันตรายประเภทใด
ไคลน์อ่อนเพลียมากแล้ว มันตัดการเชื่อมต่อและทิ้งตัวลงกลับสู่โลกความจริง
เมื่อภาพรอบตัวกลายเป็นห้องนอนดังเดิม ไคลน์ทำลายกำแพงวิญญาณทิ้ง เปลี่ยนไปสวมชุดใส่สบาย และโน้มตัวลงบนเตียงอย่างปราศจากเรี่ยวแรง
…
รู้สึกตัวอีกทีก็เที่ยงครึ่ง เมลิสซ่าเดินขึ้นมาเคาะประตูห้องหลังจากเตรียมอาหารเสร็จ
มื้ออาหารค่อนข้างหรูหรา เมื่อจัดการเขมือบไม่เหลือซาก ไคลน์เหลือบเห็นเมลิสซ่าเปลี่ยนชุดเป็นเดรสตัวใหม่ ถุงมือและหมวกตาข่ายสำหรับสุภาพสตรี ราวกับมีนัดออกไปนอกบ้าน
“ช่วงบ่ายยังต้องทำอะไรอีกหรือ?”
ไคลน์ถามด้วยสีหน้าฉงน
เบ็นสันนั่งอ่านหนังสือบนโซฟา คิ้วของมันกำลังขมวดชนกัน พี่ชายคนโตส่งเสียงตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“เพื่อนบ้านของพวกเรา มาดามชาเดอร์บอกกับเมลิสซ่าว่า บ่ายวันนี้จะมีคาบเรียนวิชา ‘บริหารครอบครัว’ ที่ห้องประชุมใหญ่ของเทศบาล เมลิสซ่าได้ยินเข้าจึงสนใจ”
น้องสาวคนเดียวของบ้านพยักหน้า
“เซเลน่ากับอลิซาเบธก็จะไปด้วย”
“เยี่ยมเลย! หวังว่าวิทยากรจะแนะนำให้จ้างสาวใช้ช่วยทำงานบ้านสักคนสองคน”
ไคลน์พูดติดตลก
ขณะหางตาเหลือบเห็นว่าน้องสาวกำลังจะเทศนา มันชิงกล่าวต่อ
“พวกเรามีเวลาจำกัด ในเมื่อครอบครัวมีเงินเหลือ ก็ควรใช้เงินซื้อเวลาสำหรับทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่า”
เมลิสซ่าเถียงไม่ออก เงียบงันนานเช่นนั้นหลายวินาที จนกระทั่งเด็กสาวทำแก้มป่องและรีบสวมหมวกตาข่ายเดินออกจากบ้าน
…
บ่ายสองโมงตรงวันเดียวกัน ไคลน์เดินทางไปยังบริษัทรักษาความปลอดภัยหนามทมิฬอีกครั้ง
ดันน์และโรแซนในห้องรับแขกส่งเสียงถามพร้อมกัน
“คุณไม่นอนพักหรือ?”
ไคลน์ยกมุมปากขึ้น
“ผมมีแผนจะไปสโมสรพยากรณ์ แต่ตัดสินใจแวะมาที่นี่ก่อน เผื่อว่าจะมีความคืบหน้าของเหตุการณ์เมื่อคืน ผมค่อนข้างหวาดผวา ทางวิหารศักดิ์สิทธิ์ได้แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมหรือยังครับหัวหน้า?”
ดันน์ชำเลืองโรแซนด้วยหางตา มันไม่กล่าวสิ่งใด เพียงลุกขึ้นและเดินผ่านฉากกั้นเข้าไปในห้องทำงานตัวเองอย่างเงียบงัน
โรแซนจ้องมองแผ่นหลังดันน์เขม็ง ปากพึมพำด้วยน้ำเสียงปนโมโห
“ให้ตายสิ…หัวหน้าเนี่ย!”
เจ๋งมากหัวหน้า! ไคลน์พยายามกลั้นขำขณะรีบเดินตามดันน์เข้าไปในห้อง
เมื่อไคลน์ปิดประตู ดันน์ยกไปป์ที่ไม่ถูกจุดขึ้นมาสูดดมกลิ่นยาสูบแห้ง
“หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด วิหารศักดิ์สิทธิ์ยืนยันแล้วว่า 3-0625 ได้รับอิทธิพลจากสมุดบันทึกอันทีโกนัสจริง พวกเขาจึงเปลี่ยนระดับความอันตรายของสมุดเสียใหม่ กลายเป็นอันตรายระดับ 1 อันตรายมาก ผมขอแสดงความเสียใจด้วย คุณคงหมดสิทธิ์เข้าถึงสมุดเล่มนั้นไปอีกนาน”
ตามหลักปฏิบัติของโบสถ์ ของวิเศษต้องห้ามระดับ 1 แม้แต่บิชอปและหัวหน้าหน่วยเหยี่ยวราตรีประจำมุขมณฑลก็ไม่มีสิทธิ์เข้าถึง ต้องบรรดาศักดิ์สูงกว่านั้นสถานเดียว
หมายความว่าหัวหน้าก็ไม่ทราบเช่นกัน
ดันน์จ้องมองไคลน์และอธิบายต่อ
“วิหารศักดิ์สิทธิ์กำชับทางเราให้ตรวจสอบของวิเศษต้องห้ามชนิดอื่น ว่ายังเหลือสิ่งใดถูกอิทธิพลจากสมุดบันทึกตะกูลอันทีโกนัสครอบงำอีกบ้าง หลังจากยืนยันว่า 3-0625 ผิดปรกติ ผมจึงเปลี่ยนผนึกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว”
“แล้วหัวหน้าพบสิ่งผิดปรกติไหมครับ?”
ไคลน์ถามหยั่งเชิง
ดันน์ส่ายหัว
“ไม่เลย”
ชายหนุ่มผงกศีรษะโดยไม่กล่าวสิ่งใดต่อ มันโบกมือลาดันน์และมุ่งหน้าตรงไปยังสโมสรพยากรณ์ เตรียมใช้เทคนิคสวมบทบาทเพื่อเร่งความเร็วการย่อยโอสถนักทำนาย
…
ภายในห้องประชุมเทศบาล
เพื่อนสนิทสามสาว เซเลน่า เมลิสซ่า และอลิซาเบธกำลังนั่งใกล้กับประตูทางออก รอให้วิทยากรเริ่มการบรรยาย
“ถ้าหล่อนสอนห่วยแตก พวกเราควรหนีออกไปทำเรื่องสนุกๆ”
เซเลน่าโน้มน้าวเพื่อนฝูงด้วยท่าทีตื่นเต้น
อลิซาเบธพยักหน้าเห็นด้วย
“ไปชอปปิงที่แฮร็อดส์กันเถอะ!”
……………………