ตอนที่ 136 : ไคลน์หนักใจ
มีบางสิ่งไม่ถูกต้อง…
มิสเตอร์อะซิก อาจารย์มหาวิทยาลัยที่เคยสอนตน จะเป็นต้นตระกูลลามุด บารอนลามุดลำดับที่หนึ่งได้อย่างไร
บารอนลามุดที่หนึ่งน่าจะดำรงชีวิตในยุคสมัยราว หนึ่งพันสามร้อย ถึง หนึ่งพันสี่ร้อยปีก่อน ซึ่งมนุษย์ไม่มีทางอายุยืนขนาดนั้นแน่
แต่เดี๋ยวก่อน ภาพวาดตรงหน้าอาจไม่ใช่บารอนลามุดที่หนึ่งตั้งแต่แรกแล้วก็ได้
ไคลน์จ้องมองภาพสีน้ำมันด้วยสายตาฉงน บุคคลรอบตัวตนมีแต่เหล่าหรือเทพหรืออย่างไร สมองชายหนุ่มกำลังวิงเวียนคล้ายกับดำดิ่งในห้วงความฝัน
ทันใดนั้น มันรีบเงยหน้ามองชาวบ้านผมทองวัยกลางคน พร้อมกับล้วงมือชักปืนจากซองรักแร้รวดเร็ว
ไคลน์เปล่งเสียงเย็นชา
“นี่ไม่ใช่สมบัติเก่าแก่ หากไม่มีคำอธิบายที่ฟังขึ้น ขอรับประกันว่าแกจะถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาหลอกลวงแน่นอน”
ชายหนุ่มไม่แยแสขั้นตอนทางกฎหมายหรือผลลัพธ์ที่จะตามมา มันเพียงต้องการข่มขู่ให้อีกฝ่ายเปิดเผยข้อมูล
ขณะเดียวกันก็กระทบกรามซ้ายสองหนเพื่อเปิดเนตรวิญญาณตรวจจับอารมณ์
ชายผมทองแสดงสีหน้าหวาดผวา มันรีบตอบกระอักกระอ่วน
“ผ…ผมเองก็ไม่ทราบว่ามันเป็นสมบัติเก่าแก่หรือไม่ แต่ได้ยินมาแบบนั้นไม่ผิดแน่ ผมมีข้อมูลเกี่ยวกับภาพวาดไม่มากนัก ไม่รู้เรื่องอะไรเลย อ…อันที่จริง ผมยังอ่านเขียนแทบไม่ออกด้วยซ้ำ”
นัยน์ตาอีกฝ่ายกำลังกรอกซ้ายขวาคล้ายกับมองหาคนช่วยเหลือ หมอนี่คงใกล้ฉี่รดกางเกงเต็มทีแล้ว
ไคลน์ตัดสินใจง้างนกปืนมาด้านหลังพลางเล็งปากกระบอกใส่ศีรษะอีกฝ่าย ท่าทางของชายหนุ่มเหมือนกับตำรวจที่พร้อมวิสามัญฯ ผู้ต้องสงสัยคดีร้ายแรงโดยไม่ลังเล
ชายผมทองจ้องมองด้วยดวงตาเบิกโพลงหวาดผวา ไม่แน่ใจว่าหยุดหายใจไปหรือยัง
“ได้ภาพนี้มาจากไหน”
เสียงไคลน์ยังคงเย็นชา
ริมฝีปากชายผมทองกำลังสั่นระริก มันรีบตอบตะกุกตะกัก
“ข…เข้าใจแล้วคุณตำรวจ! ปู่ของผมขโมยภาพวาดออกมาจากปราสาทหลังเก่าเมื่อราวสี่สิบปีก่อน คืนวันหนึ่ง ปราสาทบนภูเขาเกิดหินถล่มจนกำแพงพังลงมา ทำให้มีช่องว่างลอดผ่านขึ้นไปยังชั้นสอง คุณปู่จึงสามารถเข้าไปในห้องที่เคยปิดตายได้เป็นคนแรก เขาขนสมบัติกลับมาหลายชิ้น หนึ่งในนั้นคือภาพวาดสีน้ำมัน แต่ไม่ใช่ภาพนี้ ภาพของจริงทั้งทรุดโทรมและฉีกขาด คุณปู่จึงจ้างนักวาดภาพช่วยเลียนแบบให้เหมือนจริงที่สุด กลายมาเป็นภาพวาดในมือคุณตำรวจ อายุของภาพก็สี่สิบกว่าปีแล้ว จะเรียกว่าสมบัติเก่าแก่ก็คงไม่ผิด…”
“แล้วแกมั่นใจได้อย่างไรว่าบุคคลในภาพคือบารอนลามุดที่หนึ่ง”
ไคลน์สอดนิ้วเข้าโกร่งไกปืนเพื่อทวีความสมจริง ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะฉี่รดกางเกงหรือไม่
ชายผมทองรีบตอบอึกอัก
“ผ…ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน แค่คาดเดา”
“เหตุผล?”
ไคลน์เกือบหลุดขำให้กับความหน้าด้านหน้าทนของอีกฝ่าย หมอนี่ยังคงหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ผิดจนวินาทีสุดท้าย
“เพราะภาพดังกล่าวระบุไว้เพียงชื่อลามุด ไม่ปรากฏชื่อต้นเขียนกำกับไว้”
สีหน้าของชายผมทองเริ่มขึงขังเป็นหนแรก
“เหมือนกับที่ผมถูกเรียกว่าเกรย์อันธพาล คุณพ่อถูกเรียกว่าเกรย์หัวหยิก และคุณปู่ถูกเรียกว่าเกรย์…ไม่มีสรรพนามต่อ”
ไคลน์ถอนหายใจแผ่วเบา
“แล้วปู่ของแกอยู่ไหน”
“ในหลุมศพ เขาถูกฝังนานกว่ายี่สิบปีแล้ว ข้างปู่เป็นศพพ่อ ถูกฝังราวสามปีก่อน”
ชายผมทองตอบซื่อตรง
ไคลน์ยังคงยิงคำถามอีกหลายข้อในมุมที่แตกต่าง แต่ก็ไม่ได้รับเบาะแสเพิ่มเติม ชายหนุ่มตัดสินใจลดปืนลงเก็บกลับซองรักแร้
ไคลน์หยิบตราตำรวจยัดใส่กระเป๋าเสื้อกันลมสีดำ มันหันหลังเดินออกจากบ้านอย่างเงียบงันโดยไม่แยแสอีกฝ่าย
ถนนหมู่บ้านสองข้างทางสว่างได้ด้วยแสงตะเกียงแก๊สจากบ้านแต่ละหลัง ช่วยอำนวยความสะดวกยามค่ำคืนได้ประมาณหนึ่ง
ไคลน์ยังไม่สามารถระบุได้ว่า ภาพดังกล่าวมีต้นแบบจากบารอนลามุดที่หนึ่งจริง มันได้แต่นึกสงสัย หมู่บ้านแห่งนี้จะยังหลงเหลือเอกสารบันทึกประวัติศาสตร์อยู่หรือไม่
ถึงจะเป็นอดีตที่ยาวนานกว่าพันปีก็ตาม…
บารอนลามุดละม้ายคล้ายมิสเตอร์อะซิกมาก…หรือจะเป็นการกลับชาติมาเกิด
บางที สาเหตุที่มิสเตอร์อะซิกสละตำแหน่งอาจารย์มหาวิทยาลัยเบ็คลันด์ และเลือกเดินทางมายังทิงเก็น อาจเกิดจากสัญชาตญาณลึกๆ ภายในจิตใต้สำนึก
เดี๋ยว…ยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้
ตัวมิสเตอร์อะซิกคือบารอนลามุดที่หนึ่ง…!
เมื่อผุดสมมติฐานเช่นนี้ ร่างไคลน์พลันสั่นเทาไปทั่วตัว มันเกือบสะดุดล้มเสียหลักขณะกำลังเดินบนถนน
ชายหนุ่มวนเวียนรอบโคมไฟแก๊สชำรุดเช่นนั้นอยู่สักพัก หัวสมองกำลังอนุมานทฤษฎีจากข้อมูลมากมายในปัจจุบัน
มิสเตอร์อะซิกอาจเป็นอมตะด้วยเหตุผลบางประการ เช่นแวมไพร์…
สาเหตุของอายุยืนมาจากเผ่าแวมไพร์หรือ
ไม่น่าใช่ แวมไพร์ที่ไหนจะมีผิวสีแทน และตนเคยจับมือกับอะซิกหลายหน อุณหภูมิผิวหนังของชายคนนั้นปรกติมาก
ถึงอะซิกจะไม่ชอบอากาศร้อนทางแถบใต้ แต่ก็ไม่ใช่คนหวาดกลัวแดด มีบ่อยครั้งที่ลงแข่งพายเรือกับอาจารย์มหาวิทยาลัยคนอื่นท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุ
หรือว่า…อายุยืนยาวจะเป็นผลจากพลังโอสถบางเส้นทาง หรือไม่ก็พลังสมบัติวิเศษ
ซึ่งต้องแลกมาด้วยภาวะความจำเสื่อม!
ใช่แล้ว เมื่อพิจารณาจากปัจจัยที่ชายคนนั้นมีความฝันแปลกประหลาดและหลากหลาย อาจเป็นไปได้ว่า แต่ละความฝันคือหนึ่งรอบ ‘วัฏจักร’
แต่ละวัฏจักรอาจยาวนานหลายสิบปี จากนั้นก็เกิดภาวะความจำเสื่อมเมื่อเข้าเงื่อนไขบางประการ และถึงคราวเริ่มต้นชีวิตใหม่…
เราเคยอ่านเรื่องทำนองนี้จากนิยายโลกเก่า
ลำพังพลังทำนายเพียงอย่างเดียวคงช่วยไขปริศนาของมิสเตอร์อะซิกไม่ได้แน่ ดังนั้นก่อนจะกลับทิงเก็น ตนต้องเก็บข้อมูลหนึ่งในวัฏจักรมากมายของชายคนนั้นให้มากที่สุด
วัฏจักรที่วนเวียนนับพันปีโดยปราศจากวัยเด็ก ความทรงจำแรกคือการเป็นผู้ใหญ่…
น่าเศร้าไม่น้อยทีเดียว
ไคลน์มองว่าข้อสันนิษฐานล่าสุดมีความเป็นไปได้มาก แต่ยังไม่ตัดทฤษฎีกลับชาติมาเกิดทิ้งไป
ชายหนุ่มพลันมีเรื่องให้ครุ่นคิดหลายประเด็น โดยเฉพาะ ตนควรรายงานให้หัวหน้าทราบหรือไม่
หากมิสเตอร์อะซิกคือผู้วิเศษอายุมากกว่าพันปีจริง ไม่มีทางที่เขาจะอยู่ในลำดับต่ำ คงแข็งแกร่งชนิดจินตนาการไม่ออก
อย่างน้อยก็ต้องลำดับห้าขึ้นไป
อาจารย์อะซิกที่ไคลน์รู้จักมักมอบคำแนะนำอย่างจริงใจเสมอ แต่อาจเปลี่ยนเป็นคนละคนหากตนสืบทราบความจริงเข้า
อย่างไรก็ตาม ในสายตาไคลน์ อะซิกคือผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้ละเมิดกฎหมาย ชายคนนั้นปฏิบัติกับตนด้วยดีมาตลอด หากแจ้งให้หัวหน้าทราบ อิสระของเขาคงหมดลงเมื่อต้องพัวพันกับเหยี่ยวราตรี นั่นจะเป็นการสร้างปัญหาให้อีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น
เฮ่อ…ตัดสินใจไม่ถูก
สงสัยต้องทำนายหาคำตอบจากมิติสายหมอกเท่านั้น…
นี่สินะ วิถีแห่งนักทำนาย
หลังจากตัดสินใจแน่วแน่ ไคลน์รีบกลับโรงแรมภายในหมู่บ้านทันที
เมื่อเห็นดันน์และฟรายยังไม่กลับ มันแอบเช่าห้องพักสำหรับหนึ่งคนในราคา หนึ่งซูล
หลังจากเข้าห้อง ชายหนุ่มรีบสร้างกำแพงวิญญาณด้วยผงรัตติกาลศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะขยับเท้าเดินเป็นลักษณะสี่เหลี่ยมจัตุรัสทวนเข็ม ฝ่าด่านเสียงเพรียกแหบพร่า และขึ้นไปยังมิติสายหมอกเทาอย่างปลอดภัย
มหาราชวังที่คล้ายกับสถาปัตยกรรมเผ่าคนยักษ์ยังคงหรูหราโอ่อ่าเช่นเคย รายละเอียดในอดีตปรากฎครบถ้วนดังเดิม ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะทองแดงยาวมีรอยขีดข่วน เก้าอี้ ยี่สิบสองที่นั่ง รวมถึงเสาหินต้นใหญ่รายล้อม
ไคลน์นั่งลงบนตำแหน่งประธานชุมนุมไพ่ทาโรต์พร้อมกับเสกกระดาษหนังและปากกาหมึกซึม
มันก้มหน้าขีดเขียนข้อความ
“เราควรรายงานเรื่องของมิสเตอร์อะซิกให้ดันน์·สมิททราบ”
จากนั้น มันปลดสร้อยเงินข้อมือซ้ายและทิ้งให้ลูกตุ้มดิ่งลงตามธรรมชาติ เตรียมใช้เทคนิคทำนายลูกตุ้มวิญญาณ
ผลลัพธ์ที่ได้คือการหมุนทวนเข็มนาฬิกาด้วยความเร็วค่อนข้างสูง หมายความว่าห้ามบอกกับหัวหน้าโดยเด็ดขาด
ไคลน์เก็บสร้อยเงินและจี้บุษราคัมกลับ จากนั้นก็นั่งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
มันต้องการทำนายฝันเพื่อเน้นย้ำให้แน่ใจ
ไคลน์ก้มหน้าเขียนข้อความลงบนกระดาษหนังแผ่นใหม่
“ผลลัพธ์หากปิดบังเรื่องของมิสเตอร์อะซิกจากเหยี่ยวราตรี”
ชายหนุ่มถือแผ่นกระดาษไว้ในมือพร้อมกับเอนหลังพิงเก้าอี้ ไคลน์เข้าสู่ภาวะหลับลึกด้วยการใช้พลังวิญญาณสะกดจิตตัวเอง
ภาพตรงหน้าเริ่มปรากฏ การมองเห็นค่อนข้างพร่ามัว สิ่งรอบข้างแปลกประหลาดคล้ายกับไม่ใช่โลกที่มันคุ้นตา
ตัวไคลน์กำลังดิ้นรนกะเสือกกะสนเอาชีวิตรอดจากทะเลโลหิต ลมหายใจรวยริน ใกล้จมทะเลเลือดตายในอีกไม่ช้า
แต่ทันใดนั้น ท่อนแขนใครบางคนกระชากไคลน์ขึ้นจากน้ำสีแดงฉาน ตนถูกช่วยชีวิตไว้ในจังหวะแสนสำคัญ เจ้าของแขนไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอะซิก บุรุษผิวแทนผู้มีไฝใต้ติ่งหูขวา
มโนภาพตรงหน้าแตกสลายและเปลี่ยนผันเป็นฝันใหม่ ไคลน์ปรากฏตัวภายในสถานที่คล้ายกับสุสานจักรพรรดิขนาดมหึมา บรรยากาศมืดมิดหม่นหมอง รอบตัวเต็มไปด้วยโลงศพจำนวนมากวางเรียงรายในลักษณะเปิดฝา
มันหันไปเห็นอะซิกกำยังยืนมองตนสลับกับกวาดสายตาเป็นระยะ คล้ายกับกำลังค้นหาบางสิ่ง
ทันใดนั้น ภาพความฝันพลันแตกสลาย ห้วงจิตชายหนุ่มถูกส่งกลับมิติสายหมอกเทา
ความฝันแรกเป็นเชิญสักลักษณ์ หมายถึง หากตนปิดบังความจริงไว้ มิสเตอร์อะซิกจะยื่นมือช่วยเหลือในยามคับขัน
แต่เหตุการณ์คับขันดังกล่าวก็อาจมีต้นตอจากการปิดบังเหยี่ยวราตรี…
ย้อนแย้งชะมัด
อย่างไรก็ตาม ไคลน์ยังไม่เข้าใจความหมายของฝันที่สอง ตนกับอะซิกกำลังมองหาสิ่งใดภายในสุสานอย่างนั้นหรือ
ไม่สิ สุสานอาจเป็นเพียงสัญลักษณ์
ไคลน์ประสานมือเข้าด้วยกันและนำไปวางรองใต้คาง สมองพยายามแปลความฝันในช่วงหลังให้กระจ่าง
เมื่อรวมกับผลลัพธ์จากเทคนิคทำนายด้วยลูกตุ้มวิญญาณ ไคลน์ตัดสินใจยังไม่รายงานเรื่องนี้กับเหยี่ยวราตรี
มันจะเล่าเพียงว่า ชาวบ้านพยายามเสนอขายรูปวาดสีน้ำมันของบารอนลามุดให้ตน และนายแบบภาพวาดคล้ายคลึงกับอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโฮอี้มาก
ไคลน์ไม่มั่นใจว่าดันน์จะรู้จักอะซิกมาก่อนหรือไม่ มันจำเป็นต้องอธิบายให้ละเอียด
แต่แน่นอน ดันน์ไม่มีทางทราบเรื่องที่อะซิกฝันประหลาด เหยี่ยวราตรีคงหาจุดเชื่อมโยงระหว่างบารอนลามุดกับอาจารย์มหาวิทยาลัยไม่ได้แน่
และด้วยความทรงจำที่ยอดเยี่ยมของดันน์ไคลน์มั่นใจ หัวหน้าตนคงจำไม่ได้ว่ามิสเตอร์อะซิกหน้าตาเป็นเช่นไร
ชายหนุ่มเลิกขบคิดให้ปวดสมอง
ขณะมันเตรียมดำดิ่งกลับสู่โลกปกติ ดาวแดงดวงที่สามซึ่งเงียบงันมานาน พลันสั่นกระเพื่อมตรงหน้า
ไคลน์รีบส่งพลังวิญญาณเข้าไปเพื่อแอบมองเหตุการณ์ มันได้พบกับเด็กหนุ่มที่พูดภาษายักษ์คนเดิม อีกฝ่ายกำลังคุกเข่าสวดอ้อนวอนต่อหน้าบอลคริสตัลสีใส
เด็กหนุ่มคนดังกล่าวสวมชุดหนังรัดรูปสีดำ ไคลน์ค่อนข้างมั่นใจว่าต้องเป็นเครื่องแบบของสักหน่วยงานหนึ่ง แต่ไม่ใช่ชุดที่นิยมแต่งกายบนทวีปเหนือแน่
ภาพการมองเห็นค่อนข้างพร่ามัว แต่ไคลน์มองเห็นอีกฝ่ายมีเส้นผมสีน้ำตาลอมเหลืองสุก
เด็กหนุ่มยังคงคุกเข่าสวดภาวนาไม่หยุดด้วยสีหน้าแสนเจ็บปวด
ไคลน์พยายามแนบหูฟังด้วยทักษะภาษายักษ์ที่เพิ่งหัดเรียน
“ข้าแต่ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดเหลียวแลดินแดนที่ท่านทอดทิ้งแสนนาน ข้าแต่ท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดช่วยให้พวกเรา ประชาชนแห่งความมืด เป็นอิสระจากคำสาปแห่งชะตากรรม ตัวข้ายินดีสละชีพเพื่อกลายเป็นเครื่องเซ่นสังเวยให้ท่าน เชิญนำเลือดเนื้อของข้าไปใช้ได้ตามพระประสงค์”
…
ดินแดนที่ถูกทอดทิ้ง
ประชาชนแห่งความมืด
เป็นอิสระจากคำสาปแห่งชะตากรรม
ชายหนุ่มพึมพำสำคัญที่ตนได้ยินอีกฝ่ายสวดอ้อนวอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทันใดนั้น ไคลน์พลันนึกถึงดินแดนที่แฮงแมนเคยกล่าวถึง
ดินแดนเทพทอดทิ้ง!
สถานที่ดังกล่าวเคยปรากฏในไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์ด้วยเช่นกัน ใจความทำนอง จักรพรรดิโรซายล์พยายามส่งคนออกไปตามหาดินแดนเทพทอดทิ้ง แต่กลับไม่พบเบาะแสใด
ไคลน์หรี่ตาลงพลางพิจารณาว่า สมมติฐานของตนเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
ตามนิสัยเดิมที่แก้ไม่หาย ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะขณะดำดิ่งในห้วงความคิด
หลังจากผ่านไปสักพัก มันตัดสินใจเหยียดมือขวาออกไปสัมผัสดาวแดงที่กำลังวูบวาบ
กลุ่มหมอกสีแดงเข้มที่รายล้อมพลันแตกกระจายไปทุกทิศ แสงสว่างเจิดจ้าหลั่งไหลจากใจกลางประหนึ่งสายน้ำ
……………………