ตอนที่ 177 : ฉุกละหุก
ออเดรย์หยุดเขียนจดหมายหลังจากแบ่งปันข่าวสารน่าสนใจรวมถึงเรื่องอื้อฉาวของบรรดาขุนนาง
ทันใดนั้น สีหน้าเด็กสาวเผยความจริงจังคล้ายกับฉุกคิดบางสิ่ง
เนื่องจากเป็น ‘ผู้ชม’ ความทรงจำจึงยอดเยี่ยมกว่ามนุษย์ปรกติ แถมยังมีเทคนิคการบริหารความจำจากบิดา เรื่องเล่าซุบซิบนินทาภายในงานเลี้ยงและซาลอนจึงถูกเรียบเรียงในหัวอย่างชำนาญ
เมื่อกลั่นกรองเสร็จ ปากกาเริ่มขยับบรรจงเขียนลงบนกระดาษ
“เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งพี่เคยถามถึง เนื่องจากไม่ได้อยู่ในความสนใจ ฉันจึงมีข้อมูลไม่มาก ส่วนใหญ่มาจากการได้ยินได้ฟังโดยบังเอิญ และแสดงความเห็นได้เพียงเบื้องต้น ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ท่านพ่อเคยบอกว่า หลังจากยกเลิกพระราชบัญญัติธัญพืช ราคาผลผลิตทางการเกษตรลดลงอย่างรวดเร็ว อัตราการเช่าเขตปลูกข้าวก็ลดน้อยลง กระทบหนักทั่วทั้งระบบธุรกิจภาคเกษตร แต่ฉันไม่ทราบว่าครอบครัวเราเสียหายมากแค่ไหน เล่าได้เพียงเท่านี้ พี่อาจทราบอยู่แล้ว หากไม่นับเหล่าเชื้อพระวงศ์ ดยุคนีแกนคือขุนนางซึ่งถือครองดินแดนภาคเกษตรกรรมไว้มากเป็นอันดับหนึ่งของอาณาจักร มีเขตเกษตรกรรม ทุ่งหญ้า และป่าไม้ มูลค่ารวมสูงกว่าสิบสองล้านปอนด์ในครอบครอง เมื่อปีก่อนจึงทำประวัติศาสตร์เก็บค่าเช่าได้มากถึงหนึ่งล้านสามแสนปอนด์ ไม่เคยมีใครได้รับเงินต่อปีมากขนาดนี้มาก่อน แต่ปีปัจจุบันถูกคาดการณ์ว่าจะลดเหลือเพียงแปดแสนห้าหมื่นปอนด์ ซึ่งหายไปมากถึงสี่แสนห้าหมื่นปอนด์ เป็นจำนวนเงินมากกว่าทรัพย์สินทั้งหมดของฉันเสียอีก ต่อให้ไม่อธิบาย แต่พี่ก็น่าจะเข้าใจอยู่แล้วว่าบรรดาขุนนางหัวโบราณมีพฤติกรรมเป็นเช่นไร พวกเขาภาคภูมิใจกับการเป็นเจ้าของดินแดนมาก และรายได้จากค่าเช่าจะถือเป็นเงินอันมีเกียรติ ส่วนใหญ่จึงทำงานอย่างอื่นไม่เป็น เอาแต่ให้ความสนใจกับรูปร่างหน้าตาและวิถีชีวิตปัจจุบัน โดยไม่สนว่ารายรับอาจสวนทางกับรายจ่ายเข้าสักวัน คนเหล่านี้หมดเงินกว่าหมื่นปอนด์ในแต่ละปีไปกับค่าบำรุงปราสาท และหมดหลายพันปอนด์ไปกับเสื้อผ้าเครื่องประดับ ยังไม่รวมถึงกิจวัตรฟุ่มเฟือยอย่างการล่าสัตว์ ออกงานสังคม งานแต่ง งานศพอลังการ เป็นต้น”
“เมื่อค่าเช่าลงลด จากข้อมูลของฉัน ขุนนางจำนวนหนึ่งเริ่มประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก มีข่าวการขายเขตเกษตรกรรมของเคาต์วูล์ฟแปดหมื่นสี่พันอาร์เพื่อแลกกับเงินจำนวนสองหมื่นเก้าพันปอนด์ ส่วนไวเคาต์คอนราดต้องขายผลงานศิลปะให้กับหอศิลป์แห่งชาติในราคาห้าหมื่นห้าพันปอนด์ นอกเหนือจากขุนนางวิสัยทัศน์กว้างไกลซึ่งเปลี่ยนไปลงทุนกับธุรกิจถ่านหิน เหล็กกล้า รถราง ธนาคาร และอุตสาหกรรมยางพารา ขุนนางส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากพระราชบัญญัติธัญพืชถ้วนหน้า ขอกราบสรรเสริญเคาต์ฮอลล์คนเก่งของเรา! ท่านพ่อยังบอกอีกว่า ความล้มเหลวของภาคเกษตรจะทำให้ขั้วอำนาจทางการเมืองเริ่มเปลี่ยนมือ พี่คงจินตนาการออก บรรดาขุนนางหัวเก่าจะเริ่มเสื่อมอำนาจยิ่งกาลเวลาผ่านไป เพื่อให้พรรคการเมืองของตัวเองมีอำนาจต่อรอง พรรคใหญ่อย่างอนุรักษนิยมและพรรคหัวก้าวหน้าได้ประกาศคำมั่นสัญญาว่า หากใครสามารถจ่ายเงินสมทบพรรคได้มากพอและไม่มีประวัติอาชญากรรม บุคคลดังกล่าวจะได้รับพระราชทานยศขุนนางทันที แม้จะไม่เคยมีความชอบต่อแผ่นดินมาก่อนก็ตาม แน่นอน ผู้บริจาคจะต้องครอบครองดินแดนจำนวนหนึ่งให้สมกับฐานะขุนนางด้วย ตัวอย่างชัดเจนคือมิสเตอร์ซินดรัสผู้ร่ำรวย เขากว้านซื้อดินแดนหกหมื่นอาร์ซึ่งเป็นขั้นต่ำของขุนนางบรรดาศักดิ์บารอน จากนั้นก็บริจาคหนึ่งแสนปอนด์ให้กับสโมสรคาร์ลตัน บริจาคสี่แสนปอนด์ให้พรรคอนุรักษนิยม และอีกสามแสนปอนด์ให้การกุศล จนกระทั่งความต้องการบรรลุผล หลังจากเข้าเฝ้าฝ่าบาท เขาได้รับพระราชทานยศบารอนชั้นสูง ฉันแอบได้ยินมาว่า การจะเป็นบารอนทั่วไปต้องใช้เงินมากถึงสามแสนปอนด์ และหากหวังตำแหน่งบารอนชั้นสูงซึ่งสามารถสืบทอดไปยังลูกหลาน ต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่าเจ็ดแสนปอนด์เลยทีเดียว ส่วนกรณีของไวเคาต์และเคาต์นั้นมิอาจคาดเดาจำนวนเงินแท้จริงได้ แต่มั่นใจว่าต้องมหาศาลอย่างแน่นอน”
…
“ในปีนี้ มีตระกูลขุนนางจำนวนไม่น้อยเริ่มหวั่นวิตกเกี่ยวกับปัญหาด้านการเงิน พวกเขาหวังกอบกู้ด้วยการเกี่ยวดองตระกูลพ่อค้าใหญ่ ในช่วงสองเดือนหลัง มีงานสมรสของชนชั้นสูงไปแล้วถึงสามครั้ง ของหมั้นมีมูลค่ามหาศาลชนิดฉันยังต้องอิจฉา ขณะเดียวกัน ฝ่ายคนงานซึ่งพยายามประท้วงคัดค้านพระราชบัญญัติธัญพืชได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลโดยการลดค่าครองชีพลง แต่คุณภาพชีวิตของพวกเขากลับไม่ได้ดีขึ้นจากเดิมนัก อาจตรงกันข้าม ดูเหมือนจะทรุดโทรมลงด้วยซ้ำ เนื่องจากเกษตรกรตกงานจำนวนมากแห่เข้ามาในตลาดแรงงานจนทำให้ค่าแรงลดลง”
“ฉันยังจำได้ดี พ่อเคยตั้งคำถามหนึ่งข้อ ลูกคิดว่าใครจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากพระราชบัญญัติธัญพืช? พี่อัลเฟรดคนเก่ง ฉันรู้ว่าพี่ทราบคำตอบ คนฉลาดอย่างพี่ต้องคว้าตำแหน่งบารอนชั้นสูงด้วยลำแข้งตัวเองได้แน่”
…
หลังจากได้รับจดหมายของออเดรย์ ซิลและฟอร์สเดินทางกลับไปยังสะพานเบ็คลันด์เพื่อหาข่าวคราวต่อ
ซิล·เดียร์ชาผู้มีผมสีทองกระเซอะกระเซิงเฉกเช่นปรกติ สายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าด้วยจิตใจฮึกเหิม
หล่อนเอาแต่พึมพำในลำคอซ้ำไปมาว่า ‘สี่ร้อยยี่สิบห้าปอนด์’ ราวกับมันคือคาถาพิธีกรรม
และดูเหมือนพละกำลังรวมถึงความห้าวหาญจะเพิ่มขึ้นทุกครั้งเมื่อพูดถึงเงินจำนวนนี้
“วันนี้ดัคโฮล์มยังไม่ได้รายงานความคืบหน้าให้ฟัง พวกเราไปเยี่ยมหมอนั่นถึงบ้านกันเถอะ!”
ดัคโฮล์มคือชื่อของผู้นำกลุ่มสามสหายในเขตตะวันออกของเบ็คลันด์ พวกมันมีขอทานและหัวขโมยคอยทำงานให้เป็นจำนวนมาก
แม้ภายนอกจะดูอบอุ่นและเป็นมิตรเนื่องจากใบหน้าอ้วนกลมและรูปร่างเจ้าเนื้อ แต่ซิลทราบดีกว่าดัคโฮล์มเป็นพวกชั่วช้าไร้หัวใจ มันเคยหักแขนของเด็กชายวัยสิบสามเพียงเพราะอีกฝ่ายซุกซ่อนกำไรของวันนั้น
ซิลไม่อยากทำงานร่วมกับดัคโฮล์มสักเท่าไร แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากมันเป็นหนึ่งในน้อยคนซึ่งคุ้นเคยกับคนจรจัดในกรุงเบ็คลันด์
ฟอร์สสางผมหยักศกของเธอทัดหลังใบหู
“ถ้าฉันยังได้ทานอาหารเที่ยงตรงเวลาก็ไม่มีปัญหา”
“ตกลง! หากพวกเราโชคดี บางทีฉันอาจเลี้ยงมื้ออาหารอินทิสสุดหรูกับเธอได้ในช่วงสุดสัปดาห์นี้!”
ซิลให้สัญญาด้วยสีหน้าจริงจัง
“หมายความว่าฉันก็ต้องภาวนาต่อพระองค์ให้มันเกิดขึ้นด้วยใช่ไหม?”
ฟอร์สหัวเราะคิกคัก
ไม่เหมือนซิล ฟอร์สเป็นผู้ศรัทธาเทพจักรกลไอน้ำ แต่ไม่ได้เคร่งครัดมากนัก
ขณะกำลังสนทนา สองสาวต้องเปลี่ยนขบวนรถม้าสาธารณะเพื่อตรงเข้าไปในเขตตะวันออกของเบ็คลันด์ เพียงไม่นานก็มาถึงหน้าบ้านของดัคโฮล์ม
เป็นบ้านแถวตั้งอยู่ในตรอกคับแคบ ด้านบนหลังคามีพืชสีเขียวห้อยระโยงระยาง ภายนอกดูไม่น่าอยู่อาศัยสักเท่าไร
ซิลเดินเข้าไปเคาะประตูเป็นจังหวะพิเศษ
บานประตูถูกเปิดออกโดยอัตโนมัติพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของไม้
ทันใดนั้น ซิลพลันสวมสีหน้าตื่นตระหนก ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยคล้ายกับราชสีห์หวาดระแวง
เธอหยิบดาบปลายปืนประจำตัวออกมาถือ มือขวาผลักบานประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง
ทุกฝีก้าวย่างกรายด้วยความไม่ประมาท
ฟอร์สเลิกทำตัวผ่อนคลาย สีหน้าของเธอกำลังขึงขังไม่ต่าง มือขวาชักมีดสั้นปริศนาออกมาถือและบีบแน่น
พวกเธอยังไม่ได้กลิ่นแปลกปลอม เพียงแต่สัญชาตญาณกำลังร้องเตือนว่าเหตุการณ์ภายในบ้านไม่ปรกติอย่างมาก
หนึ่งก้าว.สองก้าว.สามก้าว.
ฟอร์สและซิลเดินเข้ามาในบ้านเต็มตัว
ทันใดนั้น สายตาพลันเหลือบเห็นแขนสีขาวซีดห้อยบนโคมไฟผนัง อวัยวะภายในวางกระจัดกระจายบนโต๊ะกาแฟ รวมถึงเนื้อมนุษย์ถูกหั่นขวางวางแขวนบนราวผ้าเป็นระเบียบเรียบร้อย
กระดูกบางชิ้นถูกเลาะอย่างพิถีพิถันและทำความสะอาด ก่อนนำมาวางกองสุ่มไว้ข้างประตูหน้า
เหนือสุดกองกระดูกคือศีรษะมนุษย์ในสภาพดวงตาเบิกกว้าง เจ้าของไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก …ดัคโฮล์ม
ใบหน้าอ้วนท้วนของมันยังแผ่บรรยากาศเป็นมิตรคล้ายกับยังมีชีวิต สิ่งน่าประหลาดใจคงหนีไม่พ้น ‘กลิ่น’ ภายในบ้านบรรยากาศชวนสยองขวัญหลังนี้กลับไม่ปรากฏกลิ่นสาบใดแม้แต่น้อย
ในฐานะอดีตแพทย์คลินิกก่อนผันตัวมาเป็นนักแต่งนิยายขายดีและลำดับ 9 ผู้ฝึกหัด ฟอร์สย่อมเคยเห็นศพคนตายรวมถึงอวัยวะมามาก เธอใช้มือลูบหลังซิลอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสำรอกอ้วกออกมา สายตากวาดมองรอบห้องอย่างใจเย็น
“คีลิงเกอร์? พลเรือโทแห่งวายุคีลิงเกอร์?”
“หมอนั่นตระหนักว่าดัคโฮล์มกำลังสืบหาเบาะแสคนจรจัด จึงตามมาเก็บถึงบ้าน?”
“ไม่แน่ว่า ดัคโฮล์มอาจพบเบาะแสของมันและพยายามแกะรอย แต่กลับเป็นฝ่ายถูกแกะรอยเสียเอง”
ซิลยังคงต่อสู้กับการวิงเวียน เธอฝืนพูดด้วยน้ำเสียงตึงเครียด
“สมกับฉายาโจรสลัดเจ้าเล่ห์และไร้ความปรานี คงไม่มีคำใดนิยามสมบัติวิเศษของหมอนั่นได้ดีกว่า ‘พิสดาร’ อีกแล้ว”
“…เจ้าเล่ห์”
ทันใดนั้น ฟอร์สรีบโพล่งขึ้น
“หมอนั่นอาจดักซุ่มอยู่แถวนี้ก็ได้! เพื่อตรวจสอบว่าใครคือตัวการจ้างวานให้ดัคโฮล์มสะกดรอย!”
ซิลพลันตัวแข็งทื่อ ปากขยับอย่างลนลาน
“…มีโอกาสสูงมาก”
อีกฝ่ายคือลำดับ 6 ผู้รับใช้วายุซึ่งมาพร้อมสมบัติวิเศษ ส่วนฝั่งพวกเธอเป็นเพียงลำดับ 9 สุดกระจอกสองคน!
ไม่มีความแตกต่างใดเห็นชัดไปกว่านี้แล้ว
…
ภายในบ้านฝั่งตรงข้ามดัคโฮล์ม บุรุษวัยสามสิบผู้มีคางใหญ่พิเศษและดวงตาเขียวเข้มกำลังยืนจ้องมองจากทางหน้าต่าง สายตาสำรวจซิลและฟอร์สซึ่งเดินเข้าไปในบ้านดัคโฮล์มอย่างสนอกสนใจ
ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพลเรือโทแห่งวายุ
คีลิงเกอร์
ถุงมือสีดำในมือซ้ายกำลังยุบพองคล้ายกับมีชีวิตและความนึกคิด แผ่นเกล็ดสีทองหม่นเริ่มปรากฏบนผิวถุงมือ
คีลิงเกอร์เผยสีหน้าชั่วร้ายพร้อมกับรอยยิ้มสุดเจ้าเล่ห์ นัยน์ตาเขียวเข้มแปรเปลี่ยนเป็นสีทองซีดอย่างรวดเร็ว บรรยากาศรอบตัวพลันเย็นชาเหนือคำบรรยาย
…
เมื่อฟอร์สตะหนักถึงภัยอันตราย เธอรีบพาซิลไปยังอีกฝั่งของบ้านเพื่อหลีกให้ห่างจากถนนประตูหน้า
ขณะเดียวกัน ฟันสีขาวมุกพลันกระทบกันจนเกิดเสียง ‘กรอด’ ก่อนตัดสินใจเผยกำไลเงินซึ่งซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อข้างซ้าย
รอบกำไลเงินวงนี้มีหินหยาบสีเขียวแก่ประดับอยู่สามเม็ด ส่วนจุดอื่นปรากฏรอยไหม้จนผิวขรุขระไม่สม่ำเสมอ
ฟอร์สดึงหินออกมาหนึ่งก้อนพร้อมกับเปล่งเสียงเป็นภาษาเฮอร์มิส
“ประตู!”
ขณะหินแผ่แสงสีฟ้าอ่อนเจือจาง ฟอร์สรีบกอดซิลไว้แน่นขนัด
ทันใดนั้น ร่างกายสองสาวเริ่มเข้าสู่ภาวะล่องหนเกือบสมบูรณ์แบบ
แต่ภาพการมองเห็นรอบตัวพวกเธอกลับไม่ใช่โลกมนุษย์ มันยากเกินพรรณนา เต็มไปด้วยวัตถุมายาหลากสีซึ่งไม่สามารถพบเห็นได้จากไหน สีสันเข้มข้นกว่าโลกปรกติหลายเท่า คล้ายกับอัดแน่นด้วยมวลความรู้ปริมาณมหาศาล
พวกเธอเข้าสู่โลกวิญญาณเต็มตัว
ท่ามกลางโลกแปลกประหลาดและไม่คุ้นเคย ฟอร์สรีบเดินจูงแขนซิลไปยังทิศทางหนึ่งคล้ายกับมั่นใจ
ไม่กี่วินาทีถัดจากนั้น สองสาวออกจากโลกอันพร่ามัวและเต็มไปด้วยสีสัน กลับไปปรากฏตัวอีกครั้งยังเมืองคุ้นเคย-กรุงเบ็คลันด์
แต่ไม่ใช่บ้านของดัคโฮล์ม
…มันคือสุสานร้าง
…
คีลิงเกอร์ซึ่งกำลังสวมถุงมือเกล็ดทองยังคงกวาดสายตามองเข้าไปในบ้านดัคโฮล์มพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย
แต่ทันใดนั้น หางตาพลันกระตุกรุนแรง
ปากขยับพึมพำด้วยสีหน้าตกตะลึง
“นักท่องเที่ยว?”
…
ท่ามกลางสุสาน
“พวกเราควรทำยังไงต่อ?”
ฟอร์สหายใจหอบ สายตามองสำรวจรอบตัวอย่างถี่ถ้วน เส้นขนทั่วร่างตั้งชันด้วยอากัปกิริยาหวาดผวา
กำไลเงินคือสมบัติวิเศษซึ่งเธอได้รับพร้อมกับสูตรโอสถผู้ฝึกหัดและวัตถุดิบหลักโดยบังเอิญ นอกเหนือจากจะทำให้ผู้สวมได้ยินเสียงกระซิบแหบพร่าในคืนจันทร์เต็มดวง กำไลเงินวงนี้ไม่ได้มอบผลข้างเคียงร้ายแรง
เดิมที กำไลเงินเคยมีหินอยู่ห้าเม็ด แต่ละก้อนช่วยให้เธอสามารถเข้าสู่โลกวิญญาณได้ชั่วขณะ ในทางทฤษฎีมันคือการเคลื่อนย้ายมิติพริบตา
แต่ปัจจุบันเหลือเพียงสองก้อนเท่านั้น
ซิลพยายามทำใจให้สงบ ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“รีบแจ้งข่าวกับมิสออเดรย์ …จากนั้นก็ไปบอกตำรวจ!”
……………………