Skip to content

Outside Of Time 937

Outside of Time
BC

บทที่ 937 ได้ยินชื่อสีหน้าเปลี่ยน

ในตำหนักใหญ่ ท่วงทำนองผีผาล่องลอยดุจทะเล

C

ผู้บรรเลงเป็นสตรีโรงขับร้องที่มีชื่อเสียงมากในเมืองหลวงจักรพรรดิ

นางอายุยังน้อย กายสวมชุดกระโปรงยาวสีขาว บนหน้ามีผ้าคลุมกึ่งโปร่งแสง ดวงหน้างามให้ความรู้สึกเลือนราง ยิ่งเพิ่มความสวยเรียบง่ายหลายส่วน

พร้อมกับดวงหน้างาม ทักษะดนตรีของนางยิ่งลึกซึ้ง ฝีมือเลิศล้ำอย่างยิ่ง ในวันปกติคนที่เชิญนางจึงล้วนแล้วแต่เป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์

คนทั่วไปอยากฟังสักเพลง ใช่ว่าสิ่งของใดในโลกจะทำให้นางหวั่นไหวได้

วันนี้ นางมาบรรเลงบทเพลงที่นี่ตามคำเชิญขององค์หญิงสามกับองค์ชายสี่ นัยน์ตางามกวาดรอบด้าน ย่อมมองออกว่าใครคือแขกคนสำคัญ

แม้แขกคนสำคัญฐานะสูงส่ง แต่ใจนางก็ไม่เคยสั่นไหว ด้วยหลายปีนี้มีคนได้ยินบทเพลงของนางมากมาย แต่คนที่เข้าใจได้จริงมีน้อยนัก หรือกล่าวให้ถูกคือมีแค่คนเดียว

ส่วนใหญ่คนอื่นเข้าใจเพียงครึ่ง และความจริงบทบาทของตนก็เป็นแค่เครื่องประดับและฉากหลังเท่านั้น นางรู้เรื่องนี้ดี

นางจึงทำเหมือนเช่นที่ผ่านมา หลับตาเอาใจจดจ่อกับผีผา ความคิดตกอยู่ที่มือ

เมื่อมืองามเคลื่อนไหวเบาๆ เสียงผีผาดุจสายน้ำไหลริน อ่อนโยนเปี่ยมความรู้สึก ประหนึ่งกำลังบอกเล่าเรื่องราวแต่เก่าก่อนจนก้องสะท้อนทั่วตำหนักใหญ่

ท่วงทำนองลุ่มลึกเปี่ยมด้วยความนัย ราวสะเทือนจิตใจผู้คนได้อย่างลึกซึ้ง รวมกับการแสดงเต้นรำของนางกำนัลรอบด้าน ทำให้คนส่วนใหญ่ในนี้เกิดความเคลิบเคลิ้ม

แต่ก็แค่ภายนอกเท่านั้น

หากเป็นเวลาอื่นผู้คนที่นี่อาจเคลิบเคลิ้มอยู่บ้างจริง แต่ตอนนี้…จิตใจของพวกเขารวมอยู่ตรงตำแหน่งประธานแทบทั้งหมด ตรงนั้นคือฝานซื่อซวงที่มีองค์หญิงสามกับองค์ชายสี่นั่งอยู่ด้วย

ความคิดต่างกันไป

บางคนมีความคิดอยากประจบประแจงอยู่ในใจ บางคนแอบครุ่นคิดว่าจะยืมกำลังอย่างไร บางคนสังเกตการณ์อย่างละเอียดด้วยมีเจตนาอื่น

ความคิดต่างกันตามฐานะและจุดยืน

แม้แต่องค์หญิงสามกับองค์ชายสี่ก็ไม่เว้น

สิ่งที่องค์หญิงสามใคร่ครวญยิ่งกว่า คือไม่เป็นศัตรูต่อกัน

ส่วนด้านองค์ชายสี่ ชัดว่าคิดเยอะกว่านั้น แม้อำนาจจักรพรรดิของเผ่ามนุษย์มิใช่เผ่าอื่นจะแทรกแซงได้ แต่ว่า…หากมียอดอัจฉริยะฟ้าประทานเผ่านภาคิมหันต์เป็นพันธมิตรสักคน อย่างน้อยด้านจุดยืนเขาจะแย่งรัศมีจากองค์ชายใหญ่มาได้บ้าง

องค์ชายใหญ่อาศัยคุณูปการจากนภาคิมหันต์ จากเคยอยู่ในสถานะถูกมองข้ามกลับโดดขึ้นมาเหนือองค์ชายอื่น กลายเป็นดาว 1 ใน 3 ที่น่าจับตาที่สุดในตอนนี้

เรื่องนี้แทบทำให้องค์ชายทุกคนเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

ฝานซื่อซวงเห็นความคิดของคนเหล่านี้อย่างชัดเจน

แม้อยู่ตรงหน้าสวี่ชิงเขาทั้งเสียเปรียบและหวาดกลัว แต่นี่ไม่ได้แปลว่าตัวเขาไร้ความสามารถ กลับกัน ในฐานะยอดอัจฉริยะฟ้าประทานติดอันดับของนภาคิมหันต์ ไม่ว่าเป็นเผ่านภาคิมหันต์หรือเผ่าอื่นเขาล้วนเป็นที่จับตามอง

ฉากเหมือนวันนี้เขาเห็นมามากแล้ว

คนตามประจบประแจง คนคิดอยากยืมกำลัง ถึงขั้นเอาอกเอาใจเหนือจินตนาการ

เขาชินกับการถูกปฏิบัติเป็นพิเศษเพราะความแข็งแกร่งของกลุ่มเผ่าและความเก่งกาจของตน

ถึงขั้นเป็นที่ตัววิถีของเขา

วิถีของเขาเป็นทั้งหุ่นเชิดและสิ่งมีชีวิต เขาจึงต้องอ่านสีหน้าสิ่งมีชีวิต ต้องอ่านความคิดในใจ ไม่ว่าเรียบง่ายหรือซับซ้อน ไม่ว่าดีหรือเลว ทั้งหมดทั้งมวลล้วนมีประโยชน์ต่อเขา

นี่จะทำให้เขาเดินบนวิถีหุ่นเชิดได้ไกลยิ่งขึ้น

แม้โลกที่เขาสร้างไม่ยิ่งใหญ่เท่าเหยียนเสวียนจื่อ ไม่มหัศจรรย์เท่าสวี่ชิง แต่ยังคงโดดเด่นจากทุกคน

นั่นคือโลกหุ่นเชิด

สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกล้วนแปลงจากหุ่นเชิด เลียนมนุษย์สภาวะและแสดงตามรูปแบบชีวิตที่กำหนด

หากวันหนึ่งเขาบรรลุเตรียมสู่เทวะ 9 เขตขั้น และหุ่นเชิดทั้งหมดในนั้นเกิดขึ้นเอง สร้างชีวิตของตัวเอง นั่นก็คือตอนที่เขาสำเร็จเป็นเจ้าเหนือหัวของตัวเองในฐานะผู้สร้าง!

นี่เป็นความฝันของเขา และเป็นวิถีของเขา

แม้เส้นทางเจ้าเหนือหัวตัดขาด แต่เขาเชื่อว่าหนทางนี้อาจยังไปต่อได้ ต่อให้สิ้นสุดอย่างสิ้นเชิงก็มีวิธีอื่นให้เลือก

‘เป็นเทพ!’

ฝานซื่อซวงหรี่ตา นิ้วชี้มือขวาลูบจอกสุราตรงหน้าแผ่วเบา สัมผัสลวดลายบนจอก หัวเราะเยาะในใจ

ความคิดของทุกคนในตำหนักใหญ่ เขามองแวบเดียวก็ดูออก

กล่าวในแง่หนึ่ง ความสามารถเช่นนี้ก็เป็นข้อได้เปรียบที่มองไม่เห็นของเขา ไม่เช่นนั้นตอนนี้เขาจะยังรอดอยู่ได้อย่างไรหลังจากหาเรื่องสวี่ชิง

ต้องทราบว่าด้วยทั่วสือซานไม่ได้คิดร้ายกับสวี่ชิงเท่าไร เทียนโม่จื่อก็เข้าฝั่งสวี่ชิงในยามแรก ส่วนเขากับจี้ตงจื่อ…

คนหลังตายแล้ว เขากลับยังรอด ทั้งยังบรรลุเตรียมสู่เทวะเหมือนคนอื่น กลายเป็นหนึ่งในอ๋องของนภาคิมหันต์

‘แต่วันนี้รู้สึกร้อนใจไม่เป็นสุขบอกไม่ถูก…’ ฝานซื่อซวงพึมพำในใจ

ช่วงเวลาที่มาเผ่ามนุษย์ เขานอกจากเป็นตัวแทน 2 เผ่าในอาณัติเข้าประชุมเจรจา เวลาอื่นล้วนเก็บตัว วันนี้ออกมาเป็นครั้งที่ 2

ขณะฝานซื่อซวงครุ่นคิดในยามนี้ บทเพลงพลันเปลี่ยน กลายเป็นฮึกเหิมขึ้นมาทันใด เสียงระฆังและชิ่ง[1]ยาวนานสั่นสะเทือน คล้ายแฝงท่วงทำนองของชีวิต ทุ้มอยู่ในใจทุกคนในที่นี้

ชั่วขณะหนึ่ง ความคิดมากมายของผู้คนก็พลันสลายหายภายใต้บทเพลงฮึกเหิมนี้ กระทั่งท่วงทำนองเบาลง สุดท้ายกลายเป็นเสียงก้องหมุนวน

ยังคงไม่สิ้นสุด

ฝานซื่อซวงสีหน้าออกเป็นครั้งแรก เงยหน้ามองสตรีที่กำลังบรรเลงผีผาผู้นั้น “เจ้าชื่ออะไร”

“ซู่เยว่เจ้าค่ะ” นางโอบผีผากล่าวเสียงค่อย จากนั้นไม่เอ่ยคำใด กลับค้อมกายคารวะและกลับไปยังที่นั่งที่เตรียมไว้ให้นาง

องค์ชายสี่เห็นฉากนี้ นัยน์ตาฉายวาบ ใจเกิดความคิดบางอย่าง จากนั้นยิ้มยกจอกสุราคารวะไปทางฝานซื่อซวง

ฝานซื่อซวงสีหน้าปกติ จิบดื่มคำหนึ่ง

และงานเลี้ยงต่อจากนั้นก็ครึกครื้นยิ่งขึ้น ระหว่างนั้นมีคนลุกขึ้นมาคารวะด้วยสุราไม่น้อย เสียงสรรเสริญเยินยอมีไม่ขาดสาย

แต่ฝานซื่อซวงเลือกมองข้ามสิ่งนี้

แม้เหล่านี้ล้วนเป็นอัจฉริยะฟ้าประทาน ในสายตาเขากลับเป็นแค่นกระจอกฝูงหนึ่ง อยู่ต่อหน้าอินทรีก็เป็นเพียงอีกาจับกลุ่ม

‘ไม่รู้จริงๆ ว่าในสภาพแวดล้อมเช่นนี้มีคนอย่างสวี่ชิงได้ยังไง!’

นึกถึงสวี่ชิง ฝานซื่อซวงรู้สึกกลัดกลุ้ม พร้อมกันนั้นก็เกิดความร้อนรุ่มเล็กน้อย ตอนแรกเขาเห็นสวี่ชิงสังหารจี้ตงจื่อกับตา จิตใจก็สั่นสะท้าน

และถัดมาบนแผ่นดินเทวะยิ่งสะท้านกลัว สุดท้ายในงานพิธีนอกเขาเทวะ เห็นสวี่ชิงเหนือกว่าเหยียนเสวียนจื่อ ชั่วขณะนั้นเงาร่างของอีกฝ่ายประทับอยู่ในใจเขา กลายเป็นอุปสรรคตลอดกาล

ระหว่างครุ่นคิด ภายในเมฆหมอกด้านนอกเกิดฟ้าผ่าดังกึกก้องทั่วทิศ

‘วันนี้ไม่ควรอยู่ที่นี่นาน…’ ความร้อนรุ่มของฝานซื่อซวงผุดขึ้นมาอีกครั้ง

ส่วนคนที่คารวะสุราแต่ถูกเขาเมินเหล่านั้น ยามนี้ก็ไม่กล้าแสดงท่าทีไม่พอใจ ได้แต่ทยอยนั่งลงพร้อมรอยยิ้ม

แต่ในโลกนี้มักมีคนตั้งใจลองเชิงหรือทำเรื่องที่ดูทำเป็นฉลาดอยู่เสมอ

อย่างตอนนี้ก็มีบุตรขุนนางคนหนึ่งยิ้มเอ่ยคำ “อ๋องฝาน ช่วงนี้เผ่ามนุษย์ข้าก็มีอ๋องคนหนึ่ง คือสวี่ชิงอ๋องเจิ้นชาง เขา…”

เมื่อคำว่าสวี่ชิงดังเข้าสู่จิตใจเขา ฉับพลันทำให้ความตื่นตัวของเขาพุ่งถึงขีดสุด

ดังนั้นคนผู้นี้เพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ ยังพูดไม่ทันจบ ฝานซื่อซวงพลันเงยหน้า นัยน์ตาฉายแววชวนอกสั่นขวัญหาย คำรามเสียงต่ำ “หุบปาก!”

เสียงนี้ดังยิ่งกว่าสายฟ้า ระเบิดลั่นในตำหนักใหญ่

ผู้บำเพ็ญที่เอ่ยคำยิ่งสีหน้าซีดเผือด พ่นเลือดสดคำใหญ่ออกมา ถอยหลังหลายก้าวพร้อมสีหน้าตกใจกลัว

ฝานซื่อซวงสีหน้าอึมครึมอย่างยิ่ง ความตื่นตัวที่ซ่อนอยู่ยิ่งเด่นชัด เขาไม่อยากไปมีเรื่องกับสวี่ชิง อีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ชัดว่ามีเจตนาอื่น หากปล่อยให้อีกฝ่ายพูดอะไรไม่ดีขึ้นมาจริง…

เรื่องไปถึงหูสวี่ชิง เขาเองยังอยู่ที่นี่ ต้องโดนหางเลขเป็นแน่

คิดถึงตรงนี้ บนหน้าเขาไม่เผยความคิดใดแม้แต่น้อย แค่นเสียงเย็นแล้วลุกขึ้นจะออกไปจากที่นี่

เขาไม่คิดจะอยู่ต่อแล้ว

คนอื่นในที่นี่ล้วนใจสั่นสะท้าน บ้างก็แปลกใจ บ้างก็นัยน์ตาวูบไหว บ้างก็คล้ายคิดบางอย่าง

เห็นฝานซื่อซวงจะกลับ องค์ชายสี่ก็ผุดความคิดต่างๆ ในใจ รีบลุกขึ้นจะเอ่ยปาก

แต่ในตอนนั้นเอง…

นอกตำหนักใหญ่ เสียงฟ้าผ่าดังลั่นอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงสนั่นหวั่นไหว ในม่านฝนมีเงาร่าง 2 สายแหวกความว่างเปล่าเข้ามาในตำหนักใหญ่

ไอน้ำจากข้างนอกก็กระจายเข้ามาพร้อมเงาร่าง 2 สายนี้ ดึงสายตาของทุกคนที่นี่

ชั่วขณะที่เห็นผู้มาเยือนชัดเจน ทุกคนในนี้ล้วนสีหน้าเปลี่ยน

องค์หญิงสามลุกขึ้นทันที องค์ชายสี่ลังเลแล้วทำเช่นเดียวกัน “คารวะท่านอาจารย์”

แน่นอนว่าบุตรขุนนางคนอื่นๆ พากันทำเช่นนี้ด้วย “คารวะอ๋องเจิ้นชาง”

ฝานซื่อซวงยืนอยู่ตรงนั้น กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในใจพลันสั่น

“ฮ่าๆ ศิษย์น้องเล็ก ดูท่าคนเผ่าไป๋เจ๋อจะพูดถูก ฝานฝานน้อยอยู่ที่นี่จริงด้วย”

ผู้มาเยือนคือสวี่ชิงกับเอ้อร์หนิว บัดนี้เอ้อร์หนิวทำหน้าประหลาดใจแล้วยิ้มกล่าว

ก่อนหน้านี้ที่จวนเจ้าสวรรค์ หลังสวี่ชิงพูดขึ้นมาว่าฝานซื่อซวงอยู่เมืองหลวงจักรพรรดิ ทั้ง 2 ก็ออกมาตามหา พวกเขาไปที่ตั้งของไป๋เจ๋อกับคุมหายนะก่อน แต่ไม่เจอฝานซื่อซวงที่นั่น

สวี่ชิงจึงถามอย่างเป็นมิตรเลยได้คำตอบ

ได้ยินดังนั้นสวี่ชิงพลันกวาดสายตา เมินองค์ชายสี่แล้วพยักหน้าให้องค์หญิงสาม จากนั้นมองไปยังฝานซื่อซวงที่สีหน้าอึมครึม เอ่ยคำราบเรียบ “ฝานซื่อซวง เจ้ามากับข้า”

ประโยคนี้ออกมา สายตาผู้คนรอบด้านตกที่ฝานซื่อซวงตามสัญชาตญาณ

สำหรับฝานซื่อซวงแม้ศักดิ์ศรีสำคัญยิ่ง แต่ก็ต้องแบ่งว่าเป็นเวลาไหน แบ่งว่าเผชิญหน้ากับใคร…ตอนนี้เขาไม่อาจคิดถึงศักดิ์ศรีโดยสิ้นเชิง เขาได้ยินประโยคนั้นของสวี่ชิงแล้วสีหน้าเปลี่ยนทันใด

ใจยิ่งเต้นโครมคราม สมองปรากฏฉากจี้ตงจื่อตาย รวมถึงภาพที่เหยียนเสวียนจื่อถูกจัดการอย่างอนาถโดยไม่อาจควบคุม

ขณะจิตใจป่วนปั่น ยังมีความกล้ำกลืนรุนแรงขยายทั่วร่างตามมา

“สวี่ชิง เจ้า…เจ้าอย่าข่มเหงคนอื่นให้มากนัก!!” ฝานซื่อซวงหายใจถี่รัว กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“เจ้าเป็นถึงมหาขุนพลนภา แต่จะข่มเหงข้าเช่นนี้ไม่ได้ ระหว่างเราไม่มีความแค้นใดแล้ว อีกอย่างข้ามาเผ่ามนุษย์ครั้งนี้ก็ไม่มีเป้าหมายอื่น!”

“ข้าแค่เดินผ่านฉาก!”

“อีกอย่าง พอข้ามาถึงเผ่ามนุษย์ก็เก็บตัวทันที!”

“ก่อนหน้านี้มีคนพูดชื่อเจ้า คิดจะทำการไม่ดี ข้ายังห้ามไว้ทันควัน!”

“สวี่ชิงแม้เจ้าโหดเหี้ยมปานใดก็ต้อง…คุยกันด้วยเหตุผลนะ!”

ความกล้ำกลืนในคำพูดของฝานซื่อซวงเด่นชัดยิ่ง อีกทั้งแฝงด้วยความสัตย์จริง เขาไม่ได้พูดโกหก

สวี่ชิงได้ยินแล้วสีหน้าเหยเกเล็กน้อย เห็นถึงความกล้ำกลืนของอีกฝ่าย นึกได้ว่าครั้งนี้มาขอให้เขาช่วย สวี่ชิงจึงสีหน้าผ่อนคลาย น้ำเสียงนุ่มนวล “ข้ามาหาเจ้า คืออยากขอให้เจ้าช่วย”

ฝานซื่อซวงระแวง “จริงรึ”

“จริง ไปสิ” สวี่ชิงพยักหน้า หมุนกายเดินออกไป เอ้อร์หนิวที่ด้านข้างก็รีบพยักหน้า ท่าทางจริงใจ

ฝานซื่อซวงสับสน แต่เขารู้ว่าตนไม่อาจปฏิเสธ ในใจจึงครุ่นคิดไม่หยุด สุดท้ายกัดฟันรุนแรงและก้าวออกตำหนักใหญ่ด้วยความไม่สบายใจ หายไปกลางสายฝนพร้อมพวกสวี่ชิง

ตอนนี้ฟ้าผ่าลั่นในชั้นเมฆ ขณะสายฟ้าลากผ่าน ฝนยิ่งตกหนักกว่าเดิม

ในที่อยู่ของชาวบ้านไกลออกไปจากตำหนักใหญ่ เสียงถอนหายใจคร่ำโลกทอดมาจากความมืดมิด “จู่ๆ เขามาได้อย่างไร…”

“แล้วฝานซื่อซวงนี่ยังต้องฆ่าหรือไม่ คนผู้นี้ออกมาสักครั้งไม่ง่าย หรือว่า…ฆ่าไปพร้อมกันเลย!” อีกเสียงหนึ่งมีความแหลมเล็กน้อย กล่าวคำเย็นเยียบ

ในความมืดนั้นเงียบสนิท คล้ายกำลังตัดสินใจ จนผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงที่ 3 กึกก้องเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง

“ห้ามแตะต้องสวี่ชิง รอฝานซื่อซวงอยู่คนเดียวค่อยลงมือจัดการ”

“แต่ทุกอย่างเตรียมไว้หมดแล้ว หากยืดเวลาต่อไป…” เสียงแหลมชัดว่าไม่พอใจ

“ข้าขอพูดอีกครั้ง ห้ามแตะต้องสวี่ชิง!” เสียงเย็นเยือกเฉียบขาด

…………………………………….

[1] ชิ่ง หมายถึง เครื่องดนตรีประเภทเคาะ ทำจากหินหรือหยก

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!