Skip to content

Scumbag System 30

ตอนพิเศษ 9

น้ำผึ้งพระจันทร์

หลังจากชิงจิ้งเฟิงให้ที่หลบภัยแก่ลั่วปิงเหอมารร้ายในครามมนุษย์สิบกว่าวัน ในที่สุดพวกศิษย์ก็ทนถูกรังควานไม่ไหวอีกต่อไป ชวนกันมาคุกเข่าขอร้องเสิ่นชิงชิวให้เขาพาคนผู้นี้ไป ‘หลบภัยชั่วคราวที่อื่น’ เสีย

หนิงอิงอิงคร่ำครวญ ซือจุนข้าเกลียดพวกไป๋จั้นเฟิงจะตายอยู่แล้วเจ้าค่ะ เกลียดๆๆ! พวกเขาหยาบคายร้ายกาจเหลือทน ประตูทางขึ้นยอดเขาเราถูกเขาเหยียบพังมาหลายรอบแล้วนะเจ้าคะ!”

หมิงฟานรีบกล่าวออกตัวทั้งน้ำตา “ซือจุน คราวนี้ข้าไม่ได้เป็นคนเอาไปบอกพวกเขาจริงๆ นะขอรับ ศิษย์สาบานได้ ท่านต้องเชื่อข้านะ”

เขาหันไปมองลั่วปิงเหออย่างหวาดๆ แวบหนึ่ง กล่าวเสนอว่า “หรือไม่ ท่านก็ให้ศิษย์น้องลั่วไปแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือกับพวกเขาสักสองสามยกเถอะ ตีกันพอแล้วพวกเขาจะได้ไม่มาตอแยชิงจิ้งเฟิงอีก”

ลั่วปิงเหอแปดสายลมโหมพัดไม่หวั่นไหว กล่าวเสียงเนือยๆ ว่า “เวลาที่ข้าจะพูดคุยธุระกับซือจุนยังไม่ค่อยจะมีเลย ไหนเลยจะว่างไปแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือกับลิงป่ากลุ่มนั้นได้”

เสิ่นชิงชิวโบกพัดด้ามจิ้วไม่พูดไม่จาอย่างสงวนท่าที

ไอ้ ‘ปรึกษาหารือพูดคุยธุระ’ ที่นายว่าน่ะ ความจริงแล้วมันก็คือทดลองสูตรอาหารใหม่ๆ ขัดล้างถ้วยชามโต๊ะเก้าอี้ในเรือนไผ่ รวมทั้งออดอ้อนขอมีอะไรด้วยอย่างไม่รู้จักเวล่ำเวลาและสถานที่ต่างหาก

หมิงฟานร้องไห้ฟูมฟาย “ซือจุน ท่านเมตตาด้วยเถอะขอรับ คนของอันติ้งเฟิงก็ไม่ยอมมาช่วยซ่อมประตูให้พวกเราแล้ว แต่ละครั้งศิษย์ต้องวิ่งขึ้นเขาลงเขาหลายร้อยลี้ควักกระเป๋าตัวเองจ่ายเลยทีเดียวนะขอรับ”

เสิ่นชิงชิวเจอเสียงคร่ำครวญหวนไห้ของเขาเข้าไปจนรำคาญ

ในที่สุดก็ยอมประทานความเมตตาครั้งใหญ่ตกลงใจทำเรื่องดีๆ สักครั้ง เป็นฝ่ายย้ายออกไปจากชิงจิ้งเฟิงเสียเองท่ามกลางความอาลัยอาวรณ์ของหนิงจึงอิงและสำนึกในพระคุณใหญ่หลวงของหมิงฟาน

ผู้ใหญ่อย่างเขาเลยได้แต่หดหูใจแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร

จะบ้าตาย นี่มันโลกซังกะบ๊วยอะไรกันโว้ย

ศิษย์น้อง ล. บางคนส่งเสริมให้ท้ายเขี้ยวเล็บในสังกัดตัวเองไปทุบประตูทางขึ้นเขาของศิษย์พี่ ส. บางคน ทุบเสร็จก็ไม่จ่ายค่าเสียหายซะงั้น

ศิษย์พี่ ส. คนนั้นสูญเสียทรัพย์สินเลยไปหาศิษย์น้อง ซ.บางคนเพื่อขออนุมัติเบิกเงินกองกลาง ศิษย์น้อง ซ. คนนั้นก็ไม่ยอมอนุมัติอีก

ศิษย์ ม. บางคนไม่เพียงไม่มีจิตสาธารณะยอมเสียสละเพื่อส่วนรวมกลับไล่ผู้เป็นอาจารย์ลงจากเขาแทน

ไอ้ลูกศิษย์ทรพี!

ลั่วปิงเหอกลับหน้าตาสดชื่นเบิกบาน ขอเพียงได้อยู่ใกล้ชิดเสิ่นชิงชิว สำหรับเขาจะไปที่ไหนก็เหมือนกัน ไม่มีคนเป็นโขยงคอยโฉบไปโฉบมาให้เกะกะลูกตาทุกวัน กลับยิ่งถูกใจเสียด้วยซ้ำ

เขากอดแขนเสิ่นชิงชิว กล่าวอย่างร่าเริงว่า “ซือจุน เดี๋ยวพวกเราจะไปไหนกันดีขอรับ”

เสิ่นชิงชิวก้มหน้ามองท่าทางเขาที่เกาะแขนตนแล้วก็ทำใจมองตรงๆ ต่อไปไม่ไหว

นี่มัน ยังกะสาวน้อยเลยอ่า

แบบ..สาวน้อยสองคนที่เลี้ยงชีพด้วยการเก็บเห็ดเดินคล้องแขนจูงมือกัน จินตนาการที่เสิ่นชิงชิวสร้างขึ้นทำเอาตัวเองช็อคไปเลยทีเดียว เขาถามกลับ “เจ้ามีที่ไหนอยากไปหรือไม่”

ลั่วปิงเหอคิดๆ ก่อนจะกล่าวว่า “มิสู้ไปที่ที่พวกเราเคยไปมาก่อน ดูซิว่าตอนนี้เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไรแล้ว”

ดังนั้นจุดแวะพักแห่งแรกของพวกเขาสองคนหลังจากถูก ‘ขับลงมา’ จากสำนักชางฉยงก็คือ เมืองซวงหู

เดิมทีก็ท่องกระบี่กันออกมา ยังไม่ทันถึงชั่วหนึ่งก้านธูป ลั่วปิงเหอกลับนึกอย่างไรไม่ทราบ รบเร้าจะขอนั่งรถม้าให้ได้

รถม้าก็รถม้า เสิ่นชิงชิวอะไรก็ได้อยู่แล้วนึกไม่ถึงว่าพอขึ้นรถได้ ลั่วปิงเหอก็ใช้สายตาสะเทินอายเว้าวอน (ที่เจ้าตัวคิดเอาเองว่าปกปิดไว้อย่างดีแล้ว) จับจ้องหน้าเขาตลอด

ในรถพื้นที่ไม่กว้างขวางเท่าไหร่นัก เสิ่นชิงชิวจะหลบก็หลบไม่ได้ ถูกเขาใช้สายตาอบอุ่นจับจ้องมองจนขนลุกเกรียว

นี่คือ…ใจคอจะ ‘ทำกัน’ ในรถเนี่ยนะ

เลิกคิดได้เลย เหวยซือไม่เห็นดีเห็นงามกับเจ้าแน่

ไอ้ลูกศิษย์ทรพี!

สั่วปิงเหอจ้องเขาอยู่ครึ่งค่อนวันก็เห็นไม่มีทีท่าอะไรเป็นพิเศษ แสดงว่าสื่อความในใจไม่สำเร็จ ก็ก้มหน้าคอตก

เขาเอาปลายนิ้วชี้สองข้างของตัวเองแตะๆ กันกล่าวอย่างเงื่องหงอยว่า “ซือจุนจำไม่ได้แล้วหรือขอรับ”

“…” เสิ่นชิงชิวค้นพบว่า กิจวัตรทางสมองของตนในแต่ละวันนั้นเริ่มมาก็กินจุดกันเลยทีเดียว

เขาถามว่า “จำหรือ จำอะไร”

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างผิดหวัง “ก็เรื่องที่ตอนนั้นซือจุนพาศิษย์ชิงจิ้งเฟิงทุกคนลงเขามาเรียนรู้ประสบการณ์ แล้วให้ข้าโดยสารรถคันเดียวกับซือจุน…”

เรื่องมันนมนานกาเลขนาดนั้น ลั่วปิงเหอกสับจำได้อย่างชัดเจน!

แต่เสิ่นชิงชิวซิ ลืมไปเกือบหมดแล้ว

ลั่วปิงเหอถอนหายใจ “จำไม่ได้แล้วจริงๆ ด้วย”

พอเอามาเทียบกัน เสิ่นชิงชิวก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เขาทำมือให้ลั่วปิงเหอเข้ามาใกล้ ลูบแก้มเขาเป็นการมอบรางวัลเล็กน้อยให้ “ซือจุนลืมไปชั่วขณะ ขอโทษนะ”

ลั่วถึงเหอพอได้รางวัลก็พออกพอใจ กระดกมุมปากขึ้น “อื้ม ความดีที่ซือจุนมีต่อข้ามันช่างมากมาย ใช่มีแค่เรื่องพวกนี้ ท่านจะจำหวาดไหวได้อย่างไร”

………………………..

ไม่ต้องมา มโนว่าเขามีใจเมตตาเป็นพ่อพระเลย เขาแค่จำไม่ได้ก็เท่านั้น รับคำชมแบบนี้ไม่ไหวหรอกนะ

 

ถนนสายหลักเมืองซวงหู

คนทั้งคู่เดินเตร็ดเตร่กันสบายๆ โฉบไปตรงนั้นทีตรงนี้ที่อยู่บนถนนท่ามกลางแผงลอยสองข้างทางที่เต็มไปด้วยข้าวของมากมายหลากหลาย ป้ายผ้าผืนหนึ่งโบกสะบัดท้าแรงลมดึงดูดสายตา

เสิ่นชิงชิวถูกป้ายผ้าผืนนั้นดึงดูดสายตาก่อนพอเคลื่อนสายตาลงมาที่ใบหน้าของเจ้าของแผง รอยยิ้มอันเป็นรูปแบบประจำตัวที่ ‘คล้ายมีคล้ายไม่มี เหมือนจะเลือนรางเหมือนจะแจ่มชัด เหมือนจะสุภาพลุ่มลึกแต่ความจริงห่างเหินเย็นชา’ ก็มีอันต้องแข็งค้าง

ลั่วปิงเหอจับสังเกตได้อย่างเฉียบไว ถามทันที “ทำไมหรือขอรับ ซือจุน ท่านเห็นคนรู้จักเข้าหรือ”

โต๊ะเล็กๆ ใต้ป้ายผ้าที่ผู้คนกำลังมุงดูอยู่เหมือนจะเป็นแผงหมอดู ผู้ที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะเป็นหญิงสาวหน้าตาสวยสง่าผู้หนึ่ง กำลังสะบัดผมด้วยท่าทีกริยาน่ามอง ครั้นพอเงยหน้าขึ้นมาเจอกับสายตาเสิ่นชิงชิวที่มองมาแต่ไกลเข้า ก็ทำหน้าราวกับกลืนสารหนูเข้าไปเดี๋ยวนั้น

แต่พอเบนสายตาเล็กน้อยก็เป็นใบหน้าของลั่วปิงเหยที่ยืนอยู่ด้านข้าง กลับแสดงความกระตือรือร้นที่มีต่อหน้าตาเช่นนี้ขึ้นมาทันที ดวงตาหยาดเยิ้มเป็นประกาย และรีบเป็นฝ่ายทักทายขึ้นก่อน “เซียนชื่อจากมาสบายดีหรือไม่”

เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ไม่เห็นเสียนาน ฮูหยินยิ่งงามขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีกนะ”

หญิงสาวหน้าตางดงามผู้นี้ก็คือเม่ยอินฮูหยินนั่นเอง

นางโบกมือไล่บรรดาลูกค้าบุรุษที่มายืนเคลิ้มอยู่ข้างแผงออกไป เมื่อที่ว่างแล้ว ก็กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มละไมว่า “วันนี้เซียนซือหน้าตาดูอิ่มเอิบสดใส เป็นอย่างไรเล่าเจ้าคะ ที่หนูเจียทำนายไปคราวก่อน แต่ละข้อแม่นยำตามนั้นหรือไม่”

ปากกล่าววาจากับเสิ่นชิงชิวแต่สายตากลับคอยแต่จะชะม้อยชะม้ายไปทางลั่วปิงเหออย่างมีความหมาย ความที่มันผ่านมานานเสียจนลืม ตอนนี้เลยค่อยนึกถึงคำทำนายเรื่องเนื้อคู่ที่นางเคยดูให้เขาขึ้นมาได้ คำสำคัญคืออายุน้อยกว่าเขา ศักดิ์ฐานะสูงส่ง พรสวรรค์ยิ่งสูงส่งเกินใคร หน้าตางดงามเป็นเอก อยู่กับเขามาตลอด รักเขาอย่างลึกซึ้ง เสิ่นชิงชิวประหลาดใจที่พบว่าไม่มีตรงไหนพลาดเลยสักข้อ เขาตอบว่า “การทำนายของฮูหยิน ทำให้ผู้แซ่เสิ่นเลื่อมใสนัก แต่ครั้งนั้นดูเหมือนท่านจะลืมกล่าวเรื่องสำคัญไปเรื่องหนึ่ง”

ทำนายเสียเลิศเลอปานนั้น ฟังแล้วตัวแทบลอย แต่ดันไม่บอกเขาหรอกว่า เนื้อคู่ของเสิ่นชิงชิวน่ะ เป็นผู้ชาย!!!

ลั่วปิงเหอทำตาปริบๆ กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ซือจุน ท่านกับฮูหยินผู้นี้ดูจะสนิทสนมกันอยู่ไม่น้อยนะขอรับ

ถึงแม้บนใบหน้าเขาจะมีรอยยิ้มละไม แต่เสิ่นชิงชิวกลับฟังแล้วเสียวฟันวูบ

จะว่าไป ลั่วปิงเหอกับเม่ยอินฮูหยินนั้นเดิมทีควรจะเป็นคู่กิ๊กขาประจำแบบ 419* แต่ตอนนี้กลับมานั่งประจันหน้ากันอย่างเปิดเผย ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม พูดจากันคนละเรื่อง ช่างดูเป็นภาพที่พิลึกกึกกือสุดๆ เขายิ้มแห้ง “ไม่สนิทหรอก ไม่สนิทเลย จากกันมานานหลายปี ไม่นึกว่าพอกลับมาเจออีกครั้ง ฮูหยินกลับมาทำมาหากินเช่นนี้อยู่ในเมืองซวงหูนี่เอง”

(419 Four-one-nine เป็นสแสงแทนคำว่า For one Night อันหมายถึงความสัมพันธ์แบบมีอะไรกันเสร็จก็ต่างคนต่างแยกย้าย)

เม่ยอินฮูหยินแค่นเสียง “นี่มิใช่ต้องขอบคุณเซียนซือท่านนั้นที่มาช่วยอุดหนุนหนูเจียคราวก่อนพร้อมกับท่านหรอกหรือ”

ลั่วปิงเหอถามทันควัน “เซียนซือท่านไหนหรือ”

“รอยยิ้มของเสิ่นชิงชิวมีอันต้องแข็งค้างเป็นรอบที่สอง

เม่ยอินฮูหยินกล่าวด้วยเสียงฮึดฮัด “อย่าหาว่าหนูเจียนินทาคนลับหลังเลย ตอนนั้นเราสู้อุตสาห์ต้อนรับขับสู้อย่างเต็มที่ มิได้เสียมารยาทต่อเซียนซือทั้งสองสักนิด แต่ท่านผู้นั้นกลับซัดถล่มที่พำนักของหนูเจียจนพังเสียหายเกือบหมด แถมยังทำให้พี่สาวน้องสาวกว่าครึ่งตกใจเตลิดหนีไป หลังจากนั้นพอพบกันอีกหลายครั้งก็ไม่เคยไว้หน้า หนูเจียพบเจอคนมาก็มากมายเป็นครั้งแรกที่มาเจอเอาผู้ชายเย็นชา ไม่รู้จักเอาอกเอาใจให้ความสำคัญกับอิสตรีเช่นนี้ รู้จักแต่ต่อสู้รบราฆ่าฟันอย่างเดียว ถุย!”

นายถูกถยใส่แน่ะ หลิ่วชิงเกอ นายถูกถุยใส่ด้วยอ่า!

ความรุนแรงแบบนี้ ใครล่ะจะทำออกมาได้ ลั่วปิงเหอไหนเลยจะมีอะไรสงสัยอีก มองหน้าเขา “ซือจุน เป็นหลิ่ว…เป็นอาจารย์อาหลิ่วหรือ ท่านกับเขาเคยออกมากันตามลำพังตอนไหนหรือ”

เห็นเส้นเอ็นเขียวๆ บนหน้าผากเขาเต้นตุบ เสิ่นชิงชิวกระแอมแล้วกล่าว “นั่นเป็นเรื่องตอนที่เจ้า… เอ่อ…ไม่อยู่นะ”

ลั่วตัวปิงเหอหยิกฝ่ามือเขาอย่างแรง กล่าวว่า “ซือจุนช่วยเล่าให้ชัดเจนได้หรือไม่ว่าตอนที่ท่านกับหลิ่ว…อาจารย์อาหลิว แล้วก็เม่ยเยาผู้งามราวกับบุปผาท่านนี้อยู่ด้วยกัน ทำอะไรกันบ้าง”

เสิ่นชิงชิวรู้ทางหนีทีไล่ รีบปะเหลาะเขาตามขั้นตอนดังนี้ ก่อนอื่นต้องกล่าวอย่างชิลล์ๆ ว่า “งามสู้เจ้าไม่ได้หรอก”

จากนั้นรีบกล่าวยืนยันต่อหน้าเม่ยอินฮูหยินที่ยิ้มกระตุกอีกครั้งว่า “ไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ”

หากยังไม่ได้ผล ให้ทำขั้นตอนข้างบนซ้ำอีกรอบ

เม่ยอินฮูหยินกลัวไฟจะไหมแรงไม่พอ เลยใส่ไฟเพิ่ม “ถึงแม้ก่อนจะจากมา ได้แพร่พิษมอมเมาของเม่ยเยาใส่เซียนซือท่านนั้นไป แต่ด้วยอุปนิสัยเย็นชาของท่านผู้นั้น ก็คงจะไม่เกิดเรื่องใหญ่โตอะไรขึ้นกระมัง”

พิษมอมเมาของเม่ยเยาเป็นของแบบไหน ฟังแค่ชื่อก็รู้แล้ว มันก็ยาปลุกเซ็กซ์นั่นแหละ

ลั่วปิงเหอหน้าเปลี่ยนสีทันควัน “ไม่ได้ทำอะไรหรือ”

ฟ้าดินเป็นพยาน ไม่ได้ทำอะไรเลยจริงนะแม้แต่จะช่วยกันอะไรแบบนั้นก็ไม่มี้ไม่มี

ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างขมขื่นและคับแค้น “ศิษย์ลำบากแทบเลือดตากระเด็นอยู่ในห้วงอเวจี ซือจุนกลับหลงระเริงจนลืมบ้านลืมช่องท่ามกลางทิวทัศน์อันงดงามกับชายอื่น…”

‘ชายอื่น’ บ้าอะไรเล่า จะพูดให้มันดีๆ ว่าเพื่อนร่วมงานหรือไม่ก็ศิษย์ร่วมสำนักไม่ได้รึไง

เสิ่นชิงชิวโบกพัดด้วยท่าทางจริงจังอย่างสุดจะเปรียบ แค่นเสียงกล่าว “หลงระเริงจนลืมบ้านลืมช่องอะไรกัน คนหนึ่งอยู่ท่ามกลางที่รกร้างห่างไกลมีแต่ภูตผีปีศาจ ถีบผู้ชายอีกคนลงบ่อน้ำเย็นเฉียบ แช่น้ำจนเป็นไข้ เช่นนี้มีตรงไหนน่าอิจฉาเล่า”

“เป็นเช่นนี้หรือ”

“ก็เช่นนี้น่ะสิ”

เม่ยอินฮูหยินกัดเล็บแทบฉีก กล่าวอย่างแค้นใจ “บ่อเบ่อจะไรกัน นั่นน่ะ สระที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบแสนรักของหนูเจียเลยนะ…”

………………………………..

คฤหาสน์สกุลเฉิน

ในเมื่อมาถึงเมืองซวงหู ย่อมต้องหาอะไรทำสักหน่อย ที่ขาดไม่ได้คือ ขจัดเภทภัยให้ปวงประชา

หลังจากไปเที่ยวสอบถามมายกหนึ่ง กลับยังคงเป็นคฤหาสน์สกุลเฉินที่เกิดเรื่องประหลาดขึ้นอีกแล้ว

คราวนั้นมารถลกหนังชั่วช้าสามานย์แฝงตัวอยู่ในคฤหาสน์โดยแปลงร่างเป็นเตี๋ยเอ๋อร์อนุภรรยาคนโปรดของนายผู้เฒ่าเฉิน หลังจากถูกฆ่าตายคาที่ นับแต่นั้นมาเรือนที่นางเคยอยู่ก็ไม่มีอันเป็นสุข กลางคืนจะได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญจนผู้คนพากันหวาดผวา แก้ไขไม่ได้มาหลายปีแล้ว

คหบดีเฉินจวนจะเจ็ดสิบแล้ว ผมขาวไปทั้งศีรษะ แต่ยังคงกระชุ่มกระชวยอยู่ หลายปีก่อน อนุภรรยาคนงามที่เขาประคับประคองไม่ห่างกายมีเพียงเตี๋ยเอ๋อร์คนเดียว ตอนนี้กลับมีอนุภรรยาถึงสองคนไว้ตระกองกอด ซ้ายคนขวาคน ความลุ่มหลงที่มีต่ออิสตรีนั้น ถึงแม้จะมีเรื่องมารถลกหนังที่เคยแฝงกายเข้ามาก็มิได้ทำให้ลดทอนลงเลยแม้แต่น้อย

นายผู้เฒ่าท่านนี้แม้สูงวัย ความจำกลับยังคงแจ่มชัด เห็นเสิ่นชิงชิวเข้าก็ร้องทักเสียงดัง “เสิ่นเซียนซือ”

‘เสิ่นเซียนซือ’ ยังคงสูงส่งเย็นชาเช่นเดียวกับปีนั้น ครั้นถามถึงคุณชายที่อยู่ข้างกายผู้นี้ ถึงค่อยยกมุมปากยิ้มน้อยๆ ออกมาได้ กล่าวตอบอย่างสุภาพอ่อนโยนว่า “เป็นศิษย์น้อยเมื่อครั้งกระนั้นของข้าอย่างไรเล่า”

นายผู้เฒ่าเฉินหัวเราะแล้วกล่าวว่า “มิน่า หน้าตาดูคุ้นๆ อยู่ ได้พบเซียนซือกับศิษย์รักคราวนี้ จึงค่อยตกใจว่าเวลาช่างผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้แล้ว”

โอภาปราศรัยกันพอเป็นพิธีแล้ว ย่อมจะเป็นหน้าที่ของลั่วปิงเหอที่กลับมาสวมบทบาทของเลขานุการคอยจัดการเรื่องราวต่างๆ แทนส่วนเสิ่นชิงชิวนั้นก็ยืนปิดปากเก๊กอยู่ด้านข้างอย่างสบายอกสบายใจ

ได้เห็นลั่วปิงเหอราชาภพมารผู้องอาจมาดเท่มีน้ำอดน้ำทนทำหน้าที่จนคล้ายกับเสื้อนวมน้อยแนบใจตัวหนึ่ง เสิ่นชิงชิวก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขจนตัวลอย ยิ่งมองก็ยิ่งนึกเอ็นดู ส่วนลั่วปิงเหอพูดได้สองประโยคก็ต้องหันกลับมามองเขา พอมองเข้าก็ไม่หันไปทางอื่นอีก ศิษย์อาจารย์คู่หนึ่งเล่นหูเล่นตากันหน้าต่อคนนอกอยู่เป็นครึ่งค่อนวัน เสิ่นชิงชิวถึงค่อยรู้สึกตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน

นี่มันขัดต่อประเพณีและศีลธรรมไปถึงไหนแล้วนี่

ระหว่างทางไปห้องพัก ลั่วปิงเหอเกิดอยากจะจูงมือเขา เสิ่นชิงชิวนั้นประการแรกกังวลต่อสายตาคนอื่น ประการที่สองคือนึกอยากแกล้งเขาขึ้นมา เลยไม่ยอมจูงมือด้วย ศิษย์อาจารย์ประลองท่าร่างหมัดมวยกันอยู่ยกหนึ่ง หากผู้ฝึกวิชาเซียนหรือใครสักคนจากภพมารมาเห็นการใช้วิชาของสำนักมาต่อยๆ ตีๆ (จู๋จี๊ดู๋ดี๋) กันเช่นนี้ของศิษย์อาจารย์คู่นี้เข้า เป็นได้กระอักเลือดออกมาสามลิตรแน่

ห้องที่ว่ากันว่ามีผีสิงจนไม่มีคนกล้าเข้าไปใกล้ย่อมจะเงียบสงัดอย่างมาก เรือนของเตี๋ยเอ๋อร์ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จะมีก็แต่บรรยากาศค่อนข้างอึมครึมขึ้นเท่านั้น ครั้นลั่วปิงเหอเห็นว่าในที่สุดก็ปลอดคน จึงพลันปฏิบัติการเกาะติดทันที ค่อยๆ กระแซะเข้ามากอดเอวเขาไว้จากข้างหลัง เอาคางเกยไหล่ กล่าวทดสอบเสียงเบาว่า “ที่นี่เป็นสถานที่อะไร ซือจุนยังจำได้หรือไม่”

แน่นอนว่าจำได้ ที่นี่ก็เป็นที่ที่เขาใช้อีซี่โหมดเป็นครั้งแรกไง……..ล้อเล่นนนน

เขาจะจำไม่ได้ได้อย่างไร ที่นี่คือที่ที่เขาโยนขี้ใส่ลั่วปิงเหอเป็นครั้งแรกน่ะซิ

ตอนนั้น เพื่อรักษาชีวิตไว้ เขาเกือบจะทำให้ลั่วปิงเหอโดนมารถลกหนังฟาดขม่อมตายในฝ่ามือเดียวอยู่แล้ว เรื่องนี้ออกจะเป็นการกระทำที่ไม่ค่อยสะอาดเท่าไรนัก คิดขึ้นมาตอนนี้ยังหวาดเสียวไม่หาย เสิ่นชิงชิวนึกแล้วก็ให้รู้สึกละอายยิ่งนัก

เห็นเขาไม่ตอบ ลั่วปิงเหอก็ต่อว่าอย่างน้อยอกน้อยใจ “ซือจุน ท่าน…ท่านลืมแล้วจริงๆ น่ะหรือ ศิษย์น้อยใจนัก”

นับตั้งแต่พวกเขาสองคนติ๊ดชึ่งกัน (…) เป็นต้นมา ลั่วปิงเหอเป็นต้องออกอาการน้อยอกน้อยใจวันละ 30-50 ครั้ง คุยกับคนอื่นมาก

ไปสักสองสามประโยคก็น้อยใจ กินน้อยไปสองคำก็น้อยใจ ถังอาบน้ำมันเล็กเลยไล่ให้เขาลุกออกไปก็น้อยใจ อาการน้อยอกน้อยใจของเขาซ่างเหมือนกับการกินถั่วปากอ้านั่นเลย กร๊อบเดียวก็น้อยใจละ เคี้ยวอีกกร๊อบ อาการน้อยใจก็หายทันทีอีกเหมือนกัน

แต่พอมายืนในห้องที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น ‘สถานที่เกิดเหตุ’ เสิ่นชิงชิวก็รู้สึกผิดขึ้นมาในใจจนทนไม่ไหว เลยต้องยอมอ่อนข้อให้เขาเสียหน่อย ที่แอบจิกกัดอยู่ในใจเมื่อกี้พลันหายหมดเกลี้ยง เขาเอื้อมมือไปข้างหลังตบๆ แก้มลั่วปิงเหอ “อย่างอนไปเลย วันนี้ซือจุนจะรับปากคำขอของเจ้าข้อหนึ่ง แต่ตอนนี้จัดการเรื่องปีศาจตรงนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ลั่วปิงเหยถามอย่างดีอกดีใจ “จริงๆ นะขอรับ”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ซือจุน…” ขณะจะพูดต่อ เสิ่นชิงชิวก็รีบหุบปากเสียก่อนเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องหน้าแหก ไม่ว่าจะพูด “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ซือจุนเคยโกหกเจ้า” หรือว่า “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ซือจุนเคยโยนขี้ใส่เจ้า” ก็เป็นการตบหน้าตัวเองอยู่ดี

“ในเมื่อซือจุนพูดออกมาแล้ว…” ลั่วเปิงเหอหน้าแดง พลางล้วงเอาเชือกสีแดงออกมาทีละขดๆ

หวัดดีเชือกมัดเซียน บ๊ายบายเชือกมัดเซียน!

เห็นเสิ่นชิงชิวทำหน้าราวกับเห็นตัวประหลาด ลั่วปิงเหอก็ไม่เคี่ยวเข็ญ ถอนใจเฮือกหนึ่ง แหงนหน้ามองฟ้า กล่าวอย่างเศร้าสร้อย “นับ

จากวันที่รอดพ้นเงื้อมมือมารถลกหนัง ไม่รู้เป็นอย่างไร ตกกลางคืนศิษย์มักจะฝันประหลาดอยู่หลายครั้ง”

เอ่อ ที่เรียกว่าฝันประหลาดนี่ฝันอะไร ฝันที่พอตื่นขึ้นมาแล้วต้องซักกางเกงในหรือเปล่า

เวรกรรม! ที่แท้เขายังเป็น ‘ครู’ ผู้เปิดประสบการณ์ในฝันให้ลั่วปิงเหอได้เป็นหนุ่มเต็มตัวด้วยนะนี่

‘ครู’ ที่จะมาช่วยเปิดโลกทัศน์ให้นั้นถือเป็นผู้ที่มีความสำคัญมากในชีวิตของคนคนหนึ่ง หากไม่ใช่พี่สาวหุ่นสะบึม อย่างน้อยก็ควรจะเป็นน้องสาวข้างบ้านที่บอบบางอ่อนหวาน แต่ชีวิตของลั่วปิงเหอช่างอาภัพนัก ผู้ที่เป็นครูให้เขาดันมีดุ้นซะนี่ ช่างน่าสงสารจนน้ำตาเล็ดจริงๆ

แต่ต่อให้สงสารแค่ไหน เขาก็ไม่ยอมใจอ่อนเด็ดขาด อันของอย่างยางอายนั้นถึงแม้มันจะไม่ค่อยเหลือสักเท่าไหร่แล้วเพราะเจอลูกอ้อนของลั่วปิงเหยไปสารพัด แต่เก็บเอาไว้ได้แค่ไหนก็ต้องเก็บไว้ก่อน และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ นายช่วยทำธุระให้มันเสร็จๆ ก่อนได้ไหม มีหมอกดำปี๋ก้อนหนึ่งรวมตัวกันอยู่ข้างหลังนายนะ ออกมาแล้ว มันออกมาแล้ว!

ลั่วปิงเหอดูราวกับจะไม่รู้ตัว กล่าวอย่างกลัดกลุ้มกับปัญหาของตัวเอง “จนกระทั่งปัจจุบัน ศิษย์ก็ยังคงถูกฝันนี้รบกวนจิตใจ”

ถ้ามาบอกเขาก่อนหน้านี้เขาก็อาจจะเชื่อ แต่มาจนตอนนี้ หากลั่วปิงเหอที่สามารถควบคุมห้วงฝันได้ดั่งใจหมายยังถูก ‘รบกวนจิตใจ’ อยู่ ก็จะเป็นการโกหกกันอย่างหน้าด้านๆ ไปหน่อยแล้ว แถมยังมีหน้ามาพูดอย่างเต็มปากเต็มคำได้อีก เสิ่นชิงชิวเอามือวางบนกระบี่ซิวหย่า หัวเราะหึหึ “ดังนั้น?”

ลั่วปิงเหอไม่หันศีรษะด้วยซ้ำ “ดังนั้น ข้า…”

หมอกดำก้อนนั้นอดรนทนไม่ไหวแล้ว ว๊ากลั่น “แม่ง &*%$#@&!!! พวกเจ้าตาบอดมองไม่เห็นข้ากันไง?!”

เสียงนี้ทั้งคุ้นหูและคุ้นเคยอะไรจะขนาดนั้น เสิ่นชิงชิวถามว่า “เตี๋ยเอ๋อร์?”

หมอกดำด่ากราด “เตี๋ยเอ๋อร์อะไรเล่า ข้าก็คือข้า ข้าคือมารถลกหนังผู้ที่เคยสร้างความหวาดผวาให้กับคนในบ้านนี้มาแล้วอย่างไล่ะ”

เสิ่นชิงชิวอึ้ง

นี่ไม่ใช่ปีศาจน้อยที่ถูกเขาฟาดตายไปในภารกิจขั้นต้นหรอกหรือ ที่แท้วิญญาณร้ายตามข่าวลือก็คือมันนี่เอง ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ไม่เคยลืมที่จะหลอกหลอนผู้คน ช่างซื่อสัตย์ต่อหน้าที่อย่างถึงที่สุด

หมอกดำพ่นควันดำออกมาลูกหนึ่ง เส้นซึ่งชิวเดาว่าคงเป็นการถุยน้ำลายสำหรับมันนั่นเอง มันกล่าวว่า “ผัวโฉดสามีชั่วคู่นี้บังอาจวิ่งแล่นมาพรอดรักกันต่อหน้าข้า ความตายกรายมาถึงศีรษะยังไม่รู้ตัวอีก”

ลั่วปิงเหอนิ่วหน้าถามเสิ่นชิงชิวว่า “ซือจุน จะฆ่าไปเลยหรือจะเก็บไว้ทรมานเค้นถามก่อน”

เสิ่นชิงชิวอยากเห็นว่ามันจะงี่เง่าได้ถึงขั้นไหน จึงยกมือขึ้นบอกเขาเป็นนัยว่าอย่าเพิ่งลงมือ หมอกดำทำเสียงเอ๊ะ ลอยเข้ามาใกล้เสิ่นชิงชิวอีกนิดหนึ่ง “เจ้าดูหน้าคุ้นๆ นะ”

ก็ต้องคุ้นอยู่แล้วป่ะ คนที่ฆ่าแกมายืนอยู่ตรงหน้า กลับยังมาแสดงความสงสัยว่า ‘เอ เจ้าดูหน้าคุ้นๆ’

ผ่านมากี่ปีแล้วนะนี่ สิบปีได้แล้วกระมัง ด้วยอานุภาพของอีซี่โหมด เตี๋ยเอ๋อร์ไม่ใช่แค่ไอคิวไม่ขยับขึ้นมาสักนิด แต่ความจำยังเสื่อมลงไปเยอะเลยทีเดียว

เสิ่นชิงชิวกระแอมทีหนึ่งช่วยเตือนความจำให้ว่า “ผู้แซ่เสิ่น…คือเจ้ายอดเขาชิงจิ้งเฟิง”

“…”

หมอกดำเดือดดาลขึ้นมาทันที “เสิ่นชิงชิว! ที่แท้ก็เจ้านี่เอง แล้วเขาล่ะเป็นใคร”

“เจ้าก็รู้จักเขานะ” เสิ่นชิงชิวช่วยบอกให้เพราะสงสารจนอดไม่ไหว “ตอนนั้นเขาก็อยู่ด้วย”

หมอกดำคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็กระจ่างแจ้งขึ้นมา ไอ้เด็กเปรตศิษย์ของเจ้าคนนั้นนั่นเอง!”

“ฮ่าๆๆๆๆ” พอนึกออกแล้วในที่สุด เตี๋ยเอ๋อร์ก็หัวเราะไม่หยุด “เสิ่นชิงชิว เวรกรรมมีจริง สวรรค์ตอบแทนเจ้าอย่างสาสมแล้ว เจ้ากลับถูกศิษย์ของตัวเอง…ซะแล้ว หึหึ เสื่อมจริงๆ ช่างน่าสะอิดสะเอียนนัก ข้าว่าแล้ว จะต้องมีผู้มาผดุงธรรมแทนสวรรค์แน่”

เสิ่นชิงชิว “…”

ไม่ใช่เลย มารที่ทำเรื่องชั่วช้าอย่างแกจนโดนกรรมสนองนั้น ถูกคนฟาดตายเพื่อผดุงธรรมแทนสวรรค์ คู่ควรจะพูดว่าเวรกรรมมีจริง สวรรค์ตอบแทนเจ้าอย่างสาสมด้วยเรอะ

หัวเราะอยู่ ก็เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดขึ้น คล้ายกับว่าจู่ๆ ก็มีลมแรงพัดเอาหมอกควันหายไป หมอกดำสลายตัวไปอย่างช้าๆ ตอนที่เหลือเพียงเศษเสี้ยวสุดท้ายของควันดำมันก็ยังคงทอดถอนใจอย่างเป็นสุข “สาสมแล้ว สาสมแล้ว เสิ่นชิงชิว ในที่สุดเจ้าก็โดนกรรมสนองอย่างสาสม เจ้าโดนเวรกรรมตามสนอง ถึงข้าตายก็ไม่มีสิ่งใดต้องนึกเสียใจแล้ว”

…นี่คือ…มันบรรลุธรรม? ขึ้นสวรรค์ไปแล้ว? ไปสู่สุคติแล้ว?

เกณฑ์ในการบรรลุความปรารถนาของมันที่ขอ ‘ตายอย่างไม่มีสิ่งใดต้องเสียใจ’ ออกจะต่ำไปหน่อยไหม

และถึงแม้ลั่วปิงเหอจะเป็นตัวก่อกวน แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นเวรเป็นกรรมเสียหน่อย

ปราณหยินในเรือนสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุน ต่อนะขอรับ?”

เสิ่นชิงชิวมุมปากกระตุก มองดูลั่วปิงเหอที่ยังคงถือเชือกมัดเซียนอยู่ก็กล่าวอย่างอ้ำอึ้ง “เจ้าจะทำอะไรต่อ”

ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุนมิใช่บอกว่าวันนี้จะรับปากตามที่ข้าขอหนึ่งอย่างหรอกหรือ ดังนั้น ที่ข้าจะขอก็คือ ซือจุนจะยอมลดตัวลงมาให้ความร่วมมือสักครั้ง ให้ศิษย์ได้ลองเอาเชือกมัดเซียนมัดเบาๆ สักรอบ แล้วทำกันทั้งโดนมัดให้ภาพฝันได้กลายเป็นจริง ให้ศิษย์ได้บรรลุความปรารถนาที่มีมาหลายปี ศิษย์ก็จะตายอย่างไม่มีสิ่งใดต้องเสียใจแล้วขอรับ”

………………….

ถึงแม้เตี๊ยเอ๋อร์จะไปสู่สุคติแล้วเพราะบรรลุความปรารถนากะทันหันอย่างที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจสาเหตุได้ แต่เสิ่นชิงชิวรู้สึกว่ายังไม่สมควรรีบเอากระบี่ซิวหย่ากลับคืนลงฝักเด็ดขาด

เขาเดินออกไปดื้อๆ โดยไม่แสดงสีหน้า ลั่วปิงเหอเข้ามาขวาง “ซือจุน ท่านสัญญาแล้วนะขอรับ

เสิ่นชิงชิวผลักใบหน้าที่แสดงอาการตัดพ้อออกไปอย่างไม่สนใจไยดี

ลั่วปิงเหอต่อว่าต่อขาน “ซือจุน ท่านทำแบบนี้กับข้าอีกแล้ว”

จะร้องไห้ก็ร้องไปเหอะ ร้องยังไงก็ไม่มีประโยชน์หรอก อย่ามาทำขายหน้าต่อหน้าคนอื่นนะ

แน่นอนว่าสำหรับเจ้าเดรัจฉานผู้นี้แล้ว ความใจอ่อนเอย ความสงสารเอย ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสักนิด

ขอกลืนน้ำลายตัวเองนะ ลั่วปิงเหอนี่แหละ เจ้ากรรมนายเวรตัวจริงของเขาเลย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!