ตอนที่ 1048
เดิมพัน!
ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวได้ยินเสียงร้องเพลง เขาก็อ้าปากค้าง มองไปยังสระน้ำ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ ขณะที่เห็นผู้ฝึกตนอสูรทั้งสามสิบสามตัว มีหน้าตาที่ซีดเซียวและผอมแห้ง กำลังร้องเพลงออกมาอย่างสุดเสียง
คาดไม่ถึงว่าสีหน้าของพวกมัน…จะเต็มไปด้วยความหลงใหลอย่างถึงที่สุด จนดูแทบจะเหมือนกับการเทิดทูนบูชา ขณะที่พวกมันจ้องมองไปยังนกแก้วหลากสี ที่กำลังแผดร้องออกมาจนสุดเสียงเพื่อเป็นผู้นำในการร้องเพลง
ที่สุดจะทานทนได้ในทั้งหมดนั้นก็คือ ผีโต้งได้กลายร่างเป็นกลอง ซึ่งกำลังถูกตีออกมาเป็นจังหวะพร้อมกับเสียงเพลงนั้นอย่างต่อเนื่อง
เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะจินตนาการได้ว่า ผู้ฝึกตนอสูรเหล่านี้ได้พบเจอกับอะไรมาบ้าง จนทำให้พวกมันต้องมุ่งมั่นทุ่มเทได้ถึงเพียงนี้ สำหรับเสียงเพลงนั้น นอกจากเสียงเบาๆ ที่ปรมาจารย์เอกะเทวะมักจะฮึมฮัมอยู่ในลำคอแล้ว เมิ่งฮ่าวไม่เคยได้ยินท่วงทำนองอื่นอีกเลย
เขายิ่งตกตะลึงมากขึ้นไปอีก เมื่อพบว่าตอนที่เดินออกไปจากที่พัก และมุ่งหน้าตรงไปยังสระน้ำ ผู้ฝึกตนอสูรรวมทั้งหอยขนาดใหญ่ ที่เกลียดชังเขาจนลึกลงไปถึงแก่นกาย ต่างก็ไม่สนใจเขาโดยสิ้นเชิง เพ่งสมาธิไปที่การร้องเพลงอย่างสุดใจของพวกมันเท่านั้น
เมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่าทั่วทั้งโลกแห่งนี้กำลังตกอยู่ในความปั่นป่วนวุ่นวาย เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และมองไปยังนกแก้วที่กำลังแผดเสียงร้องอยู่ และทันใดนั้นก็ตระหนักว่าเขาได้ประเมินมันต่ำจนเกินไป
เมิ่งฮ่าวกรอกตาไปมา กระแอมไอขึ้น จากนั้นก็นำเอาซูเยียนออกมาจากถุงสมบัติ ในทันทีที่นางลืมตาขึ้นมา ก็แค่นหัวเราะอย่างเย็นชา และกำลังจะพูดจาเยาะเย้ยเมิ่งฮ่าว
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงร้องเพลงก็ได้หันเหความสนใจของนางไป และต้องอ้าปากค้างขึ้นด้วยความตกตะลึง
“นกแก้ว! ข้าจะส่งหญิงสาวนางนี้ให้เจ้าทำการฝึก ทำให้นางเชื่อฟังเหมือนกับไห่เซียนเหล่านั้น! เอ่อ ใช่ นางมีค่าเท่ากับ…สัตว์อสูรที่มีขนหนึ่งร้อยตัว!!”
เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด แทบจะในทันทีที่เขาพูดจบลง นกแก้วก็เริ่มสั่นสะท้านอยู่ในกลางอากาศ มันยังหยุดร้องเพลงไปอีกด้วย และขนที่มีสีสันอันสวยงามของมันทั้งหมดก็ลุกตั้งชี้ชัน ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยแสงอันเจิดจ้า
“หนึ่งร้อย? เจ้าบอกว่าหนึ่งร้อยตัว?!?!” เห็นได้ชัดว่ามันต้องการความแน่ใจว่ามันฟังได้ถูกต้อง
เมิ่งฮ่าวพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “หนึ่งร้อย! แต่ละตัวเต็มไปด้วยขนที่สวยงาม!”
เพื่อที่จะได้เวทแห่งเต๋าเหล่านั้นมาไว้ในครอบครอง เขายินดีที่จะโยนความระมัดระวังตัวทั้งหมดไปในสายลม
ซูเยียนอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ นางไม่รู้ว่าเมิ่งฮ่าวและนกหลากสีตัวนี้กำลังพูดคุยถึงเรื่องอะไรกันอยู่ แต่ก็เริ่มหัวเราะหึๆ อย่างเย็นชาขึ้นอย่างรวดเร็ว และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความเย้ยหยันอย่างถึงที่สุด
แต่นกแก้วก็มีความตื่นเต้นมากเป็นอย่างยิ่ง แหงนหน้าขึ้นและแผดร้องออกมาในทันที
“ไม่ต้องกังวลไป อู่เหยียจะทำให้หญิงสาวนางนี้เชื่อฟังให้จงได้!” มันมองตรงไปยังซูเยียนด้วยความตื่นเต้น ดวงตาสาดประกายขึ้น ที่ด้านข้างห่างออกไป ดูเหมือนว่าผีโต้งจะไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งที่ต้องถูกทอดทิ้งไม่มีใครสนใจ
“เจ้าร้องเพลงได้หรือไม่? เจ้านับได้หรือไม่?!” นกแก้วถามซูเยียนด้วยความเย่อหยิ่ง
“ปัญญาอ่อน!” ซูเยียนกล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะ หลับตาลงไม่สนใจใครอีก
เมิ่งฮ่าวมองไปยังซูเยียนด้วยท่าทางเห็นใจ จากนั้นก็กระแอมไอออกมา ไม่ไปรบกวนการฝึกซูเยียนของนกแก้วอีก หันหลังและบินขึ้นไปในอากาศ
ในชั่วพริบตาเขาก็พุ่งผ่านเกราะป้องกันและสระน้ำ ไปปรากฏตัวขึ้นในกลางอากาศอย่างฉับพลัน แทบจะในทันทีที่โผล่ออกไป เขาก็มองเห็นสองลำแสงพุ่งฝ่าอากาศมายังทิศทางของตนเอง ภายในลำแสงเหล่านั้นมองเห็นสายตาอันเย็นชาอยู่สองคู่
สีหน้าเมิ่งฮ่าวยังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่มองไปยังสองผู้ฝึกตนอสูรที่กำลังบินตรงมา
พวกมันแค่นเสียงเย็นชา ไม่พยายามปิดบังสีหน้าที่ดูถูกของพวกมัน ขณะที่บินผ่านเขาไปยังที่ห่างไกล
เมิ่งฮ่าวไม่สนใจ เหตุผลหลักที่เขาโผล่ออกมาจากถ้ำแห่งเซียนก็คือแผ่นหยกและหินลมปราณ โดยไม่ลังเลอีกต่อไป เขาบินฝ่าอากาศตรงไปยังประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทอง
เขาไม่ได้ไปทดสอบยังแท่นศิลาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า แต่จะไปเรียนรู้บางอย่างเกี่ยวกับพวกมัน จากนั้นค่อยตัดสินใจทีหลังว่าจะไปทดสอบแท่นศิลาไหนก่อน
“ข้าต้องหาแท่นศิลาที่เหมาะสมกับข้ามากที่สุด ด้วยเช่นนั้นข้าถึงจะสามารถได้รับรางวัลมาในช่วงเวลาสั้นๆ เท่าที่จะเป็นไปได้!” เขามุ่งมั่นที่จะทำการคัดลอกโลหิตของผู้ยิ่งใหญ่จนสำเร็จให้จงได้
บนเส้นทางที่จะไปยังประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทอง เขาได้ผ่านผู้ฝึกตนมามากมาย ผู้ฝึกตนทั่วไปมองมาที่เขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น บางคนยังได้ยิ้มและประสานมือให้กับเขาอีกด้วย เนื่องจากเมิ่งฮ่าวมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก แม้แต่ที่ด้านนอกของสำนัก และก่อนหน้านี้เขายังได้พูดจาสะกดข่มผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าไป ทำให้ข่าวคราวของเรื่องนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้ฝึกตนอสูรพบเห็นเขา พวกมันทั้งหมดก็จะระเบิดเป็นรังสีสังหารออกมา เห็นได้ชัดถึงความเกลียดชังในแววตาของพวกมัน และยิ่งมีความลึกล้ำมากขึ้นเมื่อพวกมันมองเห็นเมิ่งฮ่าว
ในที่สุดเขาก็ไปยืนอยู่ที่เบื้องหน้าของประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองอันสูงใหญ่ แท่นศิลานั้นกระจายแสงสีทองออกมาอย่างไร้ขอบเขต และถูกสลักไว้ด้วยรายชื่ออยู่มากมาย จนดูเหมือนว่าไม่อาจจะนับได้
มีผู้ฝึกตนและผู้ฝึกตนอสูรมารวมตัวกันตรงบริเวณนั้นอยู่ไม่น้อย เมื่อใดก็ตามที่มีใครไปแตะสัมผัสโดนประตู มันก็จะหายตัวไป
มีผู้คนหายตัวไปและปรากฏขึ้นมาใหม่อยู่ตลอดเวลา ทำให้ดูเป็นภาพที่มีชีวิตชีวาอยู่ไม่น้อย
บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่บนฐานของประตูศิลา ดวงตาหลับลง ราวกับว่ามันไม่สนใจต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกภายนอกแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามถ้ามีใครบางคนเริ่มต่อสู้กันในบริเวณนั้น หรือมีใครพยายามจะคดโกงการทดสอบนี้ มันก็จะรับรู้ขึ้นได้ในทันที และทำการลงโทษไปโดยไม่ลังเล
เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่ด้านข้าง มองไปยังภาพเหล่านั้นอยู่ชั่วขณะ เขากำลังจะจากไป แต่ทันใดนั้นเอง แสงอันเจิดจ้าสีแดงก็เริ่มกระจายออกมาจากหนึ่งในแท่นศิลาเหล่านั้น แสงนั้นได้กลายเป็นภาพของโลกแห่งภาพลวงตาที่อยู่สูงขึ้นไปในกลางอากาศ ภายในโลกแห่งนั้น มองเห็นหญิงสาวเยาว์วัยผู้หนึ่งซึ่งเป็นแหล่งที่มาของแสงนั้น!
นางมีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง แต่ที่น่าตกใจก็คือ มองเห็นซากศพของหญิงสาวในชุดสีขาวกำลังลอยอยู่ที่ด้านหลังของนาง ทำให้ดูน่าประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
เสียงร้องด้วยความอิจฉาและตกตะลึงได้ยินขึ้นมาจากทั่วทุกทิศทางในทันที
“รายชื่อเปลี่ยนไปแล้ว!”
“ศิษย์พี่หญิงฝานตงเอ๋อร์ ขึ้นไปอยู่ในสามสิบคนแรกแล้ว!!”
“หนึ่งร้อยคนแรกเป็นผู้ฝึกตนอาณาจักรโบราณทั้งหมด เจ้าสามารถจะเข้าไปอยู่ในลำดับเหล่านั้นได้ ถ้ามีตะเกียงวิญญาณที่ดับลงไปแล้วไม่เกินห้าดวง แต่ศิษย์พี่หญิงฝานตงเอ๋อร์เข้าไปอยู่ในสามสิบคนแรก ทั้งที่อยู่ในอาณาจักรเซียนเท่านั้น! นางต้องเป็นผู้ถูกเลือกที่แท้จริงอย่างแน่นอน!”
เสียงร้องด้วยความตกตะลึง ดังก้องออกไปทั่วท่ามกลางเหล่าผู้ฝึกตนในบริเวณนั้น รวมทั้งผู้ฝึกตนอสูรเหล่านั้น ผู้คนมากมายมีท่าทางอิจฉา ในขณะที่คนอื่นๆ มีสีหน้าที่หมองคล้ำลง หรือแม้แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ยินดีที่จะยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
ในเวลาเดียวกันนั้น นามของฝานตงเอ๋อร์ก็ปรากฏขึ้นเป็นอันดับที่สามสิบในรายชื่อเหล่านั้น
แสงสีแดงสาดประกายขึ้นเป็นเวลานาน จากนั้นก็จางหายไป และฝานตงเอ๋อร์ก็ก้าวเท้าออกมาจากแท่นศิลาตัวอักษร ใบหน้าของนางซีดขาวเล็กน้อย แต่ก็มีท่าทางตื่นเต้น ในทันทีที่นางปรากฏกายขึ้น ศิษย์ที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นก็เริ่มประสานมือและร้องตะโกนแสดงความยินดีออกมา
ฝานตงเอ๋อร์ยิ้มและประสานมือกลับคืนไป นางกำลังจะจากไป แต่ทันใดนั้นดวงตาหงส์ของนางก็แวบขึ้น ขณะที่มองเห็นเมิ่งฮ่าว
เมิ่งฮ่าวยิ้มและพยักหน้าให้ จากนั้นก็หมุนตัวและจากไป ตอนนี้เขารู้แล้วว่าแท่นศิลาตัวอักษรนี้ทดสอบเกี่ยวกับสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้เมิ่งฮ่าวจะมีความเชื่อมั่นในสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง
แต่มันก็ไม่ใช่ส่วนที่แข็งแกร่งมากที่สุดของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ในการพบเจอกันก่อนหน้านี้กับฝานตงเอ๋อร์
เขาสามารถบอกได้ว่าทำไมความสามารถศักดิ์สิทธิ์และเวทแห่งเต๋าของนางถึงได้แข็งแกร่งมากเช่นนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะว่าพื้นฐานฝึกตนของนางเอง แต่เป็นสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของนาง
“บางทีมันอาจจะมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับวิชาของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า ข้าควรจะหาเวลาไปยังศาลาคัมภีร์ของพวกมันบ้างแล้วจริงๆ” หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขากำลังเตรียมตัวจะจากไป แต่ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงอากาศกำลังแยกตัวออกอยู่ที่ด้านหลัง เขาหันร่างไปและพบว่าฝานตงเอ๋อร์กำลังไล่ตามมา
ฝานตงเอ๋อร์กำลังพึมพำกับตัวเองว่า ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าท่านอาจารย์ได้สั่งให้นางช่วยเหลือเมิ่งฮ่าวทำความคุ้นเคยกับประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองเหล่านั้นแล้วละก็ นางก็คงจะไม่เข้าไปใกล้เขาอย่างแน่นอน เมื่อคิดไปถึงการต่อสู้กับเมิ่งฮ่าวครั้งล่าสุด หลังจากที่เขาบรรลุกลายเป็นเซียนแท้แล้ว ก็ทำให้จิตใจนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ในตอนที่เขามายังที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก และไปมีเรื่องขัดแย้งกับผู้ฝึกตนอสูร นางรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง และเฝ้ารอคอยที่จะได้เห็นภาพที่ผู้ฝึกตนอสูรฉีกกระชากเขาออกเป็นชิ้นๆ
“ยินดีด้วยกับการมีรายชื่ออยู่ในสามสิบคนแรก ซือเม่ย (ศิษย์น้องผู้หญิง)”
เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมา
“ข้าเป็นซือเจี่ย (ศิษย์พี่ผู้หญิง) ของเจ้า!” นางกล่าวตอบ ทุกครั้งที่นางมองไปยังเมิ่งฮ่าว ก็รู้สึกว่าไม่อาจจะควบคุมโทสะที่พุ่งขึ้นมาอยู่ในจิตใจได้ แทบจะราวกับว่าแค่มองเห็นใบหน้าเขา ก็ทำให้นางไม่อาจจะควบคุมอารมณ์ได้โดยสิ้นเชิง
“ในชีวิตของข้ามีซือเจี่ยแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น” เมิ่งฮ่าวกล่าวตอบเสียงราบเรียบ
เมื่อฝานตงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ นางก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ จึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ บังคับให้ตนเองเยือกเย็นลง จากนั้นก็เริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก
“ประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองของอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้ามีอยู่ทั้งหมดเก้าแห่ง ประตูแรกสำคัญมากที่สุด เป็นการทดสอบเกี่ยวกับแรงกดดันของทะเลที่เก้า มันคือหนึ่งในการทดสอบที่สำคัญมากที่สุดในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า”
“อีกแปดประตูมีการทดสอบการฝึกตนในหลายแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ประตูที่เก้า คือการทดสอบกายเนื้อ ประตูที่เจ็ดเกี่ยวข้องกับสัมผัสศักดิ์สิทธิ์”
“จากนั้นก็เป็นประตูที่ห้า ซึ่งทำการทดสอบเปลวไฟแห่งการสังหาร ด้วยการไปเผชิญหน้ากับสนามรบที่แท้จริง ทำให้สามารถจะบรรลุถึงเต๋าแห่งการฆ่าฟัน”
“ประตูที่สามอาจจะไม่เหมาะกับเจ้านัก มันเกี่ยวข้องกับเต๋าแห่งการแปลงร่าง”
“แต่ละคนที่ผ่านเข้าไปในหนึ่งร้อยคนแรก บนประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทอง จะได้รับของรางวัลตามลำดับที่ทำได้ ของรางวัลอันยิ่งใหญ่จะมาจากการที่เจ้าเข้าไปอยู่ในหนึ่งร้อยคนแรก, ห้าสิบคนแรก และสามสิบคนแรก!” ฝานตงเอ๋อร์พูดรายละเอียดออกมาอย่างรวดเร็วราวกับว่านางกำลังจะจากไปหลังจากที่พูดจบ นางวิตกกังวลว่าถ้าพูดกับเมิ่งฮ่าวมากเกินไป ก็คงไม่อาจจะควบคุมตนเองไว้ได้ และจะเริ่มทำการต่อสู้กับเขาอีก
“แล้วสิบคนแรกจะเป็นอย่างไร?” เมิ่งฮ่าวถามขึ้น
“สิบคนแรก? ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าได้คิดไปไกลถึงขนาดนั้นเลย” นางกล่าวตอบ ไม่คิดจะทำอะไรเพื่อปกปิดน้ำเสียงที่ดูถูกของนาง
“อย่าแม้แต่จะฝันว่าจะขึ้นไปได้สูงถึงเพียงนั้น นับตั้งแต่อาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าก่อตั้งมาจวบจนกระทั่งถึงตอนนี้ ไม่มีใครที่มีพื้นฐานฝึกตนอยู่ในอาณาจักรเซียน จะเคยเข้าไปอยู่ในสิบคนแรกมาก่อน”
“อย่างน้อยที่สุด เจ้าก็ต้องอยู่ในอาณาจักรโบราณ ที่มีตะเกียงวิญญาณดับไปแล้วสองดวง ถึงจะสามารถเข้าไปอยู่ในสิบคนแรกได้!”
“สำหรับเจ้า อาจจะโชคดีเข้าไปอยู่ในยี่สิบคนแรกได้ เจ้าอาจจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่อาณาจักรเซียน แต่ก็มีผู้ฝึกตนมากมายในอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้า ซึ่งเจ้าไม่อาจจะชี้นิ้วไปได้”
ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองไปยังฝานตงเอ๋อร์ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเขินอายขึ้น ราวกับว่าเขารู้สึกอึดอัดใจอยู่เล็กน้อย ในสิ่งที่กำลังจะพูดออกมา
“เป้าหมายของข้าอยู่ที่สิบคนแรก เจ้ากล้าที่จะเดิมพันกับข้าหรือไม่?!”
แทบจะในทันทีที่ฝานตงเอ๋อร์มองเห็นสีหน้าที่เขินอายของเขา นางก็รู้สึกคล้ายกับว่าหนังศีรษะกำลังจะระเบิดออก รีบถอยไปทางด้านหลังในทันที โคจรหมุนวนพื้นฐานฝึกตนขึ้นมา และเริ่มป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่ มองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความระมัดระวังตัวอย่างถึงที่สุด
สีหน้าเช่นนั้นทำให้จิตใจนางคล้ายกับถูกหนามทิ่มแทง และไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นสีหน้าเช่นนี้ นางรู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่สีหน้านี้ปรากฏขึ้น เมิ่งฮ่าวก็จะชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่ฝานตงเอ๋อร์อยากจะตบไปที่ใบหน้าเขาอย่างรุนแรงสักฉาด เพื่อที่นางจะไม่มีทางได้เห็นสีหน้าเช่นนี้อีก
“เจ้ากล้าหรือไม่?” เขากล่าวย้ำ มองไปยังนางและขยิบตาให้
“ไม่จำเป็นต้องมาโน้มน้าวข้า ไม่ว่าเจ้าจะใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรออกมา ข้าก็ไม่เชื่อว่าเจ้าจะไปอยู่ในสิบคนแรกของประตูแท่นศิลาตัวอักษรสีทองใดๆ ได้!” นางกล่าวตอบพร้อมกับแค่นเสียงอย่างเย็นชา
“ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเจ้าคิดจะให้ข้าเดิมพันกับเจ้า ก็ฝันไปเถอะ!” นางมองเขาด้วยแววตาที่เย้ยหยันและดูถูกเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็หมุนตัวและจากไป
“ถ้าเจ้าชนะ ข้าจะนำเสี่ยวชิงกลับมา” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
แต่คำพูดเหล่านี้ทำให้ฝานตงเอ๋อร์ต้องหยุดชะงักนิ่งในทันที ร่างกายนางสั่นสะท้าน จากนั้นก็หันหลังกลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยโทสะอย่างน่ากลัว จ้องมองมายังเมิ่งฮ่าว หอบหายใจออกมาจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เดิมทีนางเป็นผู้ที่มีความงดงามอยู่แล้ว แต่เมื่อนางมองมาด้วยท่าทางเช่นนี้ก็ยิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดใจมากขึ้นไปอีก
ซากศพนั้นเป็นสิ่งที่ฝานตงเอ๋อร์รู้สึกคุ้นเคยแล้ว นางได้มองมันในฐานะที่เป็นวิธีการควบคุมจิตเต๋าของนาง อย่างไรก็ตามลึกลงไปในจิตใจ นางไม่มีความหวังแต่อย่างใดที่จะกำจัดมันออกไป แม้แต่อาจารย์ของนางก็ไม่อาจจะทำให้ซากศพนี้หายไปได้ ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำใจเท่านั้น
แล้วนางจะยังคงรักษาความเยือกเย็นต่อไปได้อย่างไร เมื่อเมิ่งฮ่าวกล่าวออกมาเช่นนี้? ยิ่งไปกว่านั้น นางจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะทำในสิ่งที่กล่าวออกมาได้?
เมิ่งฮ่าวตระหนักดีถึงสิ่งที่ฝานตงเอ๋อร์กำลังคิดอยู่ จึงยิ้มและกล่าวว่า
“ข้าสามารถ เพราะข้าคือคนที่ทำให้มันไปติดอยู่กับเจ้า”
“เจ้า!!” ฝานตงเอ๋อร์ขบฟันแน่น “ดี, มาเดิมพันกัน!”