ตอนที่ 1096
หานชิงเหลย
เมื่อหานชิงเหลย ซึ่งเป็นผู้ฝึกตนลำดับขั้นแห่งขุนเขาที่แปด ได้รับความรู้แจ้งจากหนึ่งร้อยแก่นแท้ แสงอันเจิดจ้าก็พุ่งขึ้นมาจากวิหารที่อยู่ในท่ามกลางกลุ่มฝูงชนตรงสนามรบซึ่งมีทหารอยู่นับล้าน
สีสันแวบขึ้นไปในท้องฟ้า และอีกครั้งที่ภาพของภูเขาและรูปปั้นได้ปรากฏขึ้นตรงด้านบน ครั้งนี้รูปปั้นอื่นพังทลายลงไป ถูกแทนที่ด้วยภาพของหานชิงเหลย
“หานชิงเหลยแห่งชนเผ่าที่แปดทำลายสถิติเดิม ได้รับความรู้แจ้งจากหนึ่งร้อยแก่นแท้ และได้รับรางวัลจากการประทานพรของกระแสลมปราณ!”
ขณะที่เสียงเก่าแก่โบราณดังก้องออกไป แสงสีแดงก็ปะทุขึ้นมาจากเจดีย์ของชนเผ่าที่แปด สูงขึ้นไปกว่าหนึ่งร้อยจ้าง เข้าไปใกล้หนึ่งร้อยห้าสิบจ้างอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันนั้นกระแสลมปราณของชนเผ่าที่แปดก็เพิ่มขึ้น ทำให้การปกป้องของภูเขากั๋วยิ่น (โชคชะตาแห่งเชื้อชาติ) เพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่น่ากลัว
ในตอนนี้ผู้ฝึกตนจากชนเผ่าอื่นๆ ต่างก็สั่นสะท้าน สายตาทั้งหมดเพ่งมองตรงไปยังชนเผ่าที่แปด ขณะที่นามของหานชิงเหลยกลายเป็นนามที่สองที่ทำให้อาณาจักรสายลมทั้งหมดต้องสั่นสะเทือนไป!
ในเวลาเดียวกันนั้น ใกล้กับวิหารกลาง แสงสีแดงจ้าที่เปล่งประกายออกมาจากเจดีย์ของชนเผ่าที่เก้า กำลังอ่อนจางลงไปมากขึ้น
ความแข็งแกร่งทั้งหมดของชนเผ่าที่เก้ากำลังอ่อนแอลงไป และการปกป้องของภูเขาไป๋เฟิงก็ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
การนั่งเข้าฌานเพื่อได้รับความรู้แจ้งของเมิ่งฮ่าว กำลังเลวร้ายลงไปมากกว่าเดิม และเขาก็ไม่อาจจะหยุดมันได้ ตอนนี้เขากำลังทำความรู้แจ้งกับแก่นแท้ที่เก้าสิบแปดอยู่ และได้รับความรู้แจ้งช้าลงไป
ตลอดช่วงเวลานั้นเขาต้องระมัดระวังตัวต่อผลกระทบอันทรงพลังของอาณาจักรสายลม ที่พยายามจะปลุกระดมความปรารถนาของเขาและชักนำไปในทางที่ผิด
ขณะที่กระแสลมปราณแห่งชนเผ่าที่เก้าเจือจางลงไป อิทธิพลของอาณาจักรสายลมก็เพิ่มขึ้น ฝานตงเอ๋อร์และคนอื่นๆ ต่างก็รับรู้ได้ถึงเรื่องนี้ ที่สำคัญมากที่สุดก็คือว่า ความปรารถนาในจิตใจของพวกมันมีความเข้มข้นมากขึ้น ถ้าพวกมันไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่ถูกซ่อนไว้เบื้องหลัง พวกมันก็จะยิ่งมีความคลั่งไคล้มากขึ้น สูญเสียมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คนที่เข้าใจถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ในที่สุดก็ตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับฝานตงเอ๋อร์ นางกระอักโลหิตออกมากองโตอยู่ภายในถ้ำแห่งเซียนของตนเอง และใบหน้าก็เผยให้เห็นถึงร่องรอยแห่งความหวาดกลัว นางเป็นคนแรกในท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น ที่รับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายในความปรารถนาของตนเอง จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมนางถึงได้เลือกที่จะเข้าไปนั่งเข้าฌานตามลำพัง เพื่อพยายามจะควบคุมมันให้จงได้ แต่ในตอนนี้กลับเกิดเหตุการณ์ตรงกันข้ามขึ้น นางแทบไม่อาจจะควบคุมตนเองได้อีกต่อไป
สำหรับเป้ยอวี้ นางนั่งอยู่ในท่ามกลางทะเลแห่งบุปผา ดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในความหลงใหลไปโดยสิ้นเชิง เท่าที่เห็นทั่วทั้งร่างนางกำลังอยู่ในขั้นตอนของการหลอมรวมเข้าไปในทะเลแห่งบุปผา ราวกับว่าตัวนางกำลังเบ่งบานอยู่ในท่ามกลางทะเลแห่งบุปผา!
ในเวลาเดียวกันนั้น ลำแสงอันเจิดจ้าที่ประกอบไปด้วยกระดูกนับไม่ถ้วน ได้พุ่งฝ่าอากาศมาจากด้านบนของชนเผ่าที่แปดด้วยความรวดเร็วสูงสุด หนึ่งวันต่อมา มันก็เข้ามาใกล้กับเขตชายแดนระหว่างชนเผ่าที่แปดและเก้า โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย หานชิงเหลยพุ่งฝ่าเขตชายแดนนั้นมา หัวเราะอย่างบ้าคลั่งขณะที่พุ่งเข้าไปในชนเผ่าที่เก้า
มันสวมใส่ชุดสีดำ และมีร่างกายที่ซูบผอมเป็นอย่างยิ่ง กลิ่นอายอันน่ากลัวที่ปกคลุมอยู่รอบๆ ตัว ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง
แทบจะในเวลาเดียวกับที่มันผ่านเข้ามาในชนเผ่าที่เก้า ภูเขาไป๋เฟิงก็สั่นสะเทือนขึ้นอย่างรุนแรง และแรงกดดันที่คอยปกป้องชนเผ่าที่เก้าก็เพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า
อย่างไรก็ตาม ด้วยแรงกดดันเช่นนั้นไม่อาจจะทำอะไรกับหานชิงเหลยได้ มันหัวเราะเป็นเสียงดังออกมา พุ่งผ่านดินแดนทั้งหมดไป กลายเป็นแสงเจิดจ้าที่ถูกห้อมล้อมด้วยภาพลวงตาของกระดูกสีขาวนับไม่ถ้วน เสียงกรีดร้องโหยหวนได้ยินดังก้องออกมาจากกระดูกเหล่านั้น ขณะที่มันพุ่งตรงไป ท้องฟ้ามืดสลัวลงและสายลมก็กรีดร้องระงม
ก้อนเมฆสีดำแผ่กระจายออกไปทั่วทั้งท้องฟ้าของชนเผ่าที่เก้า และดินแดนทั้งหมดก็ตกอยู่ในเงามืด
กลิ่นอายอันน่ากลัวที่ปะทุออกมาจากร่างของหานชิงเหลย คล้ายกับเป็นสายลมที่ปั่นป่วนวุ่นวายขณะที่มันพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว!
ขณะที่มันพุ่งผ่านไป พื้นดินสั่นสะเทือน ผู้ฝึกตนและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในชนเผ่าที่เก้าสั่นสะท้าน จากมุมมองของพวกมัน วันที่แสงแดดแผดจ้าก่อนหน้านี้ ได้ตกอยู่ความมืดราวกับเป็นยามราตรีไปอย่างฉับพลัน
“เมิ่งฮ่าว เจ้าต้องตาย!” มันร้องตวาดขึ้น เกิดเป็นเสียงดังก้องออกไป ขณะที่เร่งความเร็วขึ้น จนคล้ายกับเป็นสายฟ้าที่พุ่งเข้าไปใกล้ภูเขาไป๋เฟิงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่มันเข้าไปใกล้ กลิ่นอายแห่งเชื้อชาติของชนเผ่าที่เก้าก็กระจัดกระจายออกไปอย่างรวดเร็วมากขึ้น และแรงกดดันก็ยิ่งมีความเข้มข้นมากขึ้น ฝานตงเอ๋อร์กระอักโลหิตออกมาอีกครั้ง และทันใดนั้นก็มองออกไปยังที่ห่างไกล
“กำลังเกิดอะไรขึ้น? มีอะไรทำให้เกิดผลเป็นกระทบที่เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย และรวดเร็วได้เช่นนี้?!”
นางกัดฟันแน่นและบินออกมาจากถ้ำแห่งเซียนของตนเอง เมื่อมองขึ้นไปในอากาศ สีหน้าก็เปลี่ยนไป ขณะที่มองเห็นกลุ่มเมฆสีดำกำลังม้วนตัวไปมาอยู่ตรงที่ห่างไกลออกไป
ภายในของกลุ่มเมฆสีดำเหล่านั้นเป็นกระดูกนับไม่ถ้วน กำลังพุ่งตรงมายังเมืองหลวง และภูเขากั๋วยิ่นหรือภูเขาไป๋เฟิงของชนเผ่าที่เก้า!
ไม่ใช่ฝานตงเอ๋อร์คนเดียวเท่านั้นที่ตกใจ เป้ยอวี้ที่นั่งอยู่ในทะเลแห่งบุปผา ก็มีสีหน้าที่ดิ้นรนไปมา นางบังคับให้ตนเองต้องลืมตาขึ้นมา และแรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่าง ขณะที่มองไปรอบๆ จากนั้นก็เริ่มดิ้นรนมากขึ้นกว่าเดิม
ในพื้นที่แห่งอื่น ตรงเหมืองหยกเซียน เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังก้องออกมา เป็นเสียงหัวเราะด้วยความพึงพอใจและยินดี ขณะที่ผู้ฝึกตนหนุ่มจากอาณาจักรแห่งท้องทะเลที่เก้าสูญเสียการควบคุมตัวเองไปโดยสิ้นเชิง ขณะที่มองไปรอบๆ ทั้งหมดที่มันเห็นคือหยกเซียนที่มากมายอย่างไร้จุดสิ้นสุด
“ความร่ำรวยเช่นนี้ จะทำให้พื้นฐานฝึกตนของข้าแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น!!”
สำหรับผู้ฝึกตนกายเนื้อร่างกำยำ และผู้ฝึกตนอสูรคนอื่นๆ ที่อยู่ในสนามรบตรงวิหารกลาง พวกมันทั้งหมดกำลังสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ และความปรารถนาของพวกมันก็พุ่งทะยานสูงขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง
สวรรค์ต้องการให้พวกมันตายไป แต่ต้องทำให้พวกมันบ้าไปก่อน!
ในช่วงเวลาธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอก กลุ่มเมฆสีดำที่กำลังม้วนตัวไปมา พุ่งมาจากเขตชายแดนของชนเผ่าที่เก้าตรงไปยังภูเขาไป๋เฟิง กลุ่มเมฆเหล่านั้นทำตัวเหมือนกับเป็นก้อนเนื้อ และกระดูกนับไม่ถ้วนก็ก่อตัวเข้าด้วยกันจนดูคล้ายกับเป็นโครงกระดูกจริงๆ ทั้งหมดนั้นกลายเป็นหมัดสีดำขนาดใหญ่!
หมัดนั้นมีความกว้างหนึ่งร้อยจ้างเต็ม พุ่งลงมาจากท้องฟ้ากระแทกตรงไปยังภูเขาไป๋เฟิงอย่างน่ากลัว!
“ถึงเวลาตายแล้ว เมิ่งฮ่าว!” มันแผดร้องขึ้น เป็นเสียงที่โหดเหี้ยมและเต็มไปด้วยรังสีสังหาร ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือนขณะที่หมัดนั้นพุ่งลงมายังยอดเขาและเมิ่งฮ่าว ที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างรูปปั้น
ในตอนนี้เมิ่งฮ่าวเพิ่งจะได้รับความรู้แจ้งที่เก้าสิบเก้าแก่นแท้ และใกล้จะเสร็จสิ้นด่านแรกนี้ไปทุกขณะจิต สิ่งที่เขาต้องการทั้งหมดก็คืออีกหนึ่งแก่นแท้เท่านั้น แต่เนื่องจากการจางหายไปของกลิ่นอายแห่งเชื้อชาติของชนเผ่าที่เก้า ทำให้ยากที่จะได้รับความรู้แจ้งและต้องใช้เวลานานมากขึ้น
เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น ขณะที่หมัดนั้นบดขยี้ลงมายังภูเขาไป๋เฟิง ทันใดนั้นรูปปั้นก็เริ่มส่องแสงขึ้นมา จนเกิดเป็นเกราะป้องกันปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขา รวมทั้งเมิ่งฮ่าวด้วย
หมัดยักษ์สีดำสนิทกระแทกลงไปยังเกราะป้องกัน ทำให้เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องออกไป สีสันแวบขึ้น และพื้นดินก็สั่นสะเทือน ระลอกคลื่นพุ่งกระจายออกไปอย่างรุนแรง ตามมาด้วยเสียงแตกร้าว ขณะที่รอยแตกขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นบนเกราะป้องกัน มันซ่อมแซมตัวเองอย่างรวดเร็ว แต่จากความเร็วเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเกราะป้องกันนี้สามารถจะต่อต้านได้อีกไม่นานนัก
หมัดนั้นแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ทั้งหมดนั้นก็ก่อตัวขึ้นมาจากกลุ่มเมฆและกระดูกเท่านั้น หานชิงเหลยปรากฏตัวขึ้น จากนั้นก็กลายเป็นสายฟ้าสีดำกระแทกเข้าไปในเกราะป้องกัน
“เปิดออก!!” มันร้องตวาดขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะมีรูปร่างที่ซูบผอม แต่ก็ยังกระจายพลังอันน่ากลัวออกมา พื้นฐานฝึกตนของมันอยู่แค่ในอาณาจักรเซียนเท่านั้น แต่ก็สามารถจะทำให้อาณาจักรโบราณต้องสั่นสะเทือนได้!
พลังอันเข้มข้นกระจายออกมาจากร่างมัน…ทำให้สายฟ้านับไม่ถ้วนปะทุขึ้นมา อย่างน่าตกใจยิ่งพวกมันกลายเป็นมังกรสายฟ้าเก้าตัวอย่างรวดเร็ว
ภูเขาไป๋เฟิงสั่นสะเทือน แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังคงนั่งหลับตาตัวแข็งทื่ออยู่ที่นั่น เขาไม่อาจจะหยุดชะงักการรู้แจ้งได้ก่อนที่มันจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ และเขากำลังเพ่งจิตใจไปที่การพยายามจะได้รับความรู้แจ้งให้รวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่มีประโยชน์! เจ้าต้องตายไปในวันนี้ และตราประทับของชนเผ่าที่เก้าก็จะเป็นของข้า! ข้ากำลังจะกำจัดคุณสมบัติในการเป็นลำดับขั้นของเจ้าไปด้วย!” หานชิงเหลยแผดร้องออกมา
“ข้า, หานชิงเหลยคือคนแรกที่บรรลุถึงหนึ่งร้อยแก่นแท้! ข้าสามารถสังหารใครก็ได้ แต่เหตุผลหลักที่ข้าเลือกเจ้า เป็นเพราะว่าเจ้าแซ่เมิ่ง!”
“หลังจากที่เจ้าตายไป ให้ไปบอกบรรพบุรุษของเจ้าว่า บุคคลที่สังหารเจ้าไปคือชิงเหลยแห่งตระกูลหาน!”
ในตอนนี้เองที่ทันใดนั้นฝานตงเอ๋อร์ก็ปรากฏกายขึ้นในกลางอากาศ รังสีสังหารหมุนวนไปมาอยู่ในดวงตานาง และนางก็โบกสะบัดมือทำให้สัญลักษณ์เวทนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นบนร่างของตนเอง พวกมันขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่สัญลักษณ์เวทนับร้อยเริ่มมีขนาดเท่ากับภูเขาลูกน้อยๆ
ช่างเป็นภาพที่น่าตกใจอย่างถึงที่สุด
ฝานตงเอ๋อร์ไร้ทางเลือกนอกจากต้องแสดงตัวขึ้นเท่านั้น นางรู้ว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ และภูเขาไป๋เฟิงถูกโจมตีได้สำเร็จ ตราประทับก็จะถูกนำจากไป ผลลัพธ์ก็คือนางไม่อาจจะต่อต้านอิทธิพลของอาณาจักรสายลมได้อีกต่อไป ถ้าปราศจากกลิ่นอายแห่งเชื้อชาติใดๆ
นางมองเห็นเมิ่งฮ่าวตกอยู่ในวิกฤตอันร้ายแรงด้วยเช่นกัน และไม่สามารถจะทำอะไรได้ ดังนั้นนางจึงไร้ทางเลือกนอกจากต้องเข้ามาขัดขวางด้วยตัวเองเท่านั้น
“ถ้าข้าสามารถถ่วงเวลาได้บ้าง เมิ่งฮ่าวก็จะออกมาจากการเข้าฌานได้ในที่สุด คนผู้นี้อาจจะแข็งแกร่ง และอาจจะอยู่ในลำดับขึ้น แต่เมิ่งฮ่าวก็เช่นกัน!” ฝานตงเอ๋อร์กัดฟันแน่นพุ่งเข้าไปโจมตีหานชิงเหลยในทันที
ดวงตาหานชิงเหลยแวบประกายขึ้น ขณะที่มองเห็นฝานตงเอ๋อร์และยิ้มออกมา
“เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว ข้าจำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่า ทำไมบุคคลเช่นเจ้า…ถึงไม่มีคุณสมบัติที่จะต่อสู้กับลำดับขั้น!”
มันกล่าวด้วยเสียงที่ดังก้องราวกับเป็นเสียงฟ้าคำราม ชี้นิ้วออกไป ทำให้มังกรสายฟ้าสี่ตัวแผดร้องคำรามตรงไปยังฝานตงเอ๋อร์
พร้อมกันนั้นเสียงกระหึ่มกึกก้องก็ได้ยินออกมา ขณะที่เป้ยอวี้ไม่ได้อยู่ในท่ามกลางทะเลแห่งบุปผาอีกต่อไป และใกล้เข้ามาด้วยความรวดเร็วสูงสุดเช่นกัน ดวงตาข้างหนึ่งของนางดูสับสนและว่างเปล่า แต่อีกข้างกระจ่างแจ่มใส และยังเปล่งประกายสดใสกว่าก่อนหน้าที่นางได้หลับตาลงไปอีกด้วย นางร้องตะโกนออกมา ทำให้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น รวมตัวกันกลายเป็นเข็ม พุ่งแทงตรงไปยังหานชิงเหลยอย่างดุร้าย
สีหน้าหานชิงเหลยเปลี่ยนไป และโบกสะบัดมือข้างซ้ายออกไป ทำให้มังกรสายฟ้าอีกสี่ตัวพุ่งตรงไป ตัวที่ห้าทำการระเบิดตัวเองขึ้น หยิบยืมพลังจากแรงระเบิดนั้น ต่อสู้กลับไปยังพลังสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเป้ยอวี้
“ช่างน่าสนุกนัก สองผู้งดงามรวมตัวกันมาต่อสู้กับข้า ข้าไม่อยากทำเช่นนี้เลยจริงๆ แทบไม่อาจทนรอที่จะได้ถลกหนังพวกเจ้าทั้งสองออกมาแบบตัวเป็นๆ เพื่อเผยให้เห็นถึงความงดงามที่แท้จริง ซึ่งเป็นกระดูกสีขาวของพวกเจ้า ช่างน่ายินดีอะไรเช่นนี้!”
ดวงตาหานชิงเหลยสาดประกายขึ้นด้วยแสงของความกระหายเลือด และเลียริมฝีปากไปมา ทันใดนั้นมองเห็นประกายแสงแวบขึ้นขณะที่มัน…กลายร่างเป็นบุคคลสามคน!
หนึ่งคือร่างจริงของมันเอง อีกสองเป็นร่างจำแลง!
คนทั้งสามเลียริมฝีปากโดยพร้อมเพรียงกัน หนึ่งโจมตีไปยังเกราะป้องกัน และอีกสองคนแยกตัวออกไปรับมือกับฝานตงเอ๋อร์และเป้ยอวี้ตามลำดับ เสียงระเบิดดังเต็มอยู่ในอากาศ สีหน้าไม่อยากจะเชื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฝานตงเอ๋อร์และเป้ยอวี้ ถึงแม้ว่าพวกนางจะต่อสู้อยู่กับร่างจำแลงของหานชิงเหลยเท่านั้น แต่ก็รู้สึกคล้ายกับว่ากำลังต่อสู้อยู่กับใครบางคน…ที่แข็งแกร่งกว่าพวกนางมากนัก!
“คนในลำดับขั้นต่างก็แข็งแกร่งเช่นนี้กันทุกคน…?” ฝานตงเอ๋อร์คิดด้วยจิตใจที่สั่นสะท้าน มองไปยังเมิ่งฮ่าวที่กำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอยู่ที่นั่น
“เมิ่งฮ่าว เร็วเข้า!!”