ตอนที่ 1168
สะสางกรรมกับสหายเก่า
เมิ่งฮ่าวมองลงไปยังถุงสมบัติในมือของตนเอง จากนั้นก็มองไปยังถุงสมบัติที่เหมือนกันนี้ในมือของมารดา ทันใดนั้นก็ตระหนักว่าซุนไห่ไม่ได้น่ารำคาญเหมือนกับที่เขาเคยคิดไว้ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตามฟางอวี๋ก็ยังคงดุด่าออกมา ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องสั่นสะท้านขึ้นด้วยความหวาดกลัว ฉับพลันนั้นก็รีบพุ่งตรงไปอยู่ที่เบื้องหน้าของซุนไห่ในทันที
“ซุนไห่ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาเรียกข้าว่าจิ้วเกอ? พี่สาวข้างดงามราวบุปผา ทั้งอ่อนโยนทั้งสง่างาม โดดเด่นอย่างไร้ที่เปรียบ ถ้าเจ้าจะตกหลุมรักนางก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่ถ้าข้าไม่ยอมรับ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะแต่งกับพี่สาวข้าได้!”
เมิ่งฮ่าวแผดร้องออกมา ดวงตาสาดประกายขึ้น ยื่นมือออกไปราวกับเป็นสายฟ้า นิ้วชี้และนิ้วกลางแทงตรงไปยังหน้าผากของซุนไห่ จากระดับพื้นฐานฝึกตนของซุนไห่ ถ้าพลังนั้นแตะสัมผัสโดน มันก็ต้องตายไปโดยไม่ต้องสงสัยใดๆ
ความรวดเร็วในการโจมตีไปเช่นนั้นของเมิ่งฮ่าว แม้แต่มารดาก็ยังต้องตกตะลึง แต่ก็ตระหนักขึ้นอย่างรวดเร็วว่าน่าจะมีบางอย่างกำลังเกิดขึ้น นางเข้าใจดีว่าบุตรชายคิดอย่างไร และรู้ว่าเมิ่งฮ่าวไม่ใช่คนที่จะสังหารผู้คนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า มั่นใจว่าดรรชนีที่โจมตีไปนั้นต้องมีความหมายที่ลึกล้ำอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นเมิ่งฮ่าวพุ่งกระโจนตรงมา ก็ทำให้ใบหน้าซุนไห่ต้องซีดลง และจิตใจมันก็หมุนคว้าง รีบถอยไปทางด้านหลังในทันที แต่ด้วยระดับพื้นฐานฝึกตนที่แตกต่างกันระหว่างคนทั้งสอง มันก็เหมือนกับเป็นหิ่งห้อยที่มาประชันกับแสงจันทรา จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่มันไม่อาจจะหลบเลี่ยงเมิ่งฮ่าวได้ ในเวลาเดียวกันนั้นฟางอวี๋ก็ใกล้เข้ามา ด้วยท่าทางที่คล้ายกับมังกรพิโรธ
“เมิ่งฮ่าว ยั้งมือด้วย!”
“เจี่ย (พี่สาว) วางใจได้ ข้าจะช่วยท่านสังหารเติงถูจื่อผู้นี้เอง หลังจากนี้ท่านก็จะอยู่อย่างสงบสุข นี่เป็นสิ่งที่ตี้ตี่ (น้องชาย) เช่นข้าสมควรกระทำ”
ทันใดนั้นฟางอวี๋เริ่มกระวนกระวายใจมากขึ้น “เมิ่งฮ่าวเจ้าสารเลว ห้ามทำร้ายมัน!”
แทบจะในทันทีที่คำพูดนางดังก้องออกมา ดรรชนีของเมิ่งฮ่าวก็แตะสัมผัสไปโดนหน้าผากของซุนไห่ จนร่างมันสั่นสะท้านขึ้นมาในทันใด อย่างไรก็ตามในตอนนี้เองที่จู่ๆ มันก็ได้รับข้อความที่ส่งมาโดยเมิ่งฮ่าว พร้อมกับขยิบตาให้
“พี่ซุน นี่เป็นโอกาสของท่านแล้ว!”
ซุนไห่ไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นจึงกัดลิ้นตนเองในทันที ทำให้โลหิตพ่นกระจายออกมาจากปาก จากนั้นก็ส่งเสียแผดร้องอย่างโหยหวนออกมา ลอยไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว ทำให้พื้นฐานฝึกตนตกอยู่ในความวุ่นวายเพื่อให้ดูสมจริงมากขึ้น จนโลหิตไหลซึมออกมาจากรูขุมขนบนผิวหนัง
“ซุนไห่!” ฟางอวี๋ร้องออกมา พุ่งตรงไปยังซุนไห่และคว้าจับมันไว้ในวงแขน พร้อมกับสีหน้าที่กังวลใจและรู้สึกผิดเป็นอย่างยิ่ง
“ข้า…ข้าคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว” ซุนไห่หอบหายใจ ร่างกายสั่นสะท้าน “ก่อนที่จะตายไป…ข้ามีความปรารถนาเดียวเท่านั้น ข้า…” ทันใดนั้นฟางอวี๋ก็ขมวดคิ้ว และหน้าตาก็บูดบึ้งขึ้นอย่างน่ากลัว
“บัดซบ!” นางขบฟันแน่น ยกมือขึ้นมาตบลงไปยังซุนไห่ ซุนไห่รีบหลบออกไปที่ด้านข้างอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้บาดเจ็บแม้แต่น้อย ตอนนี้ฟางอวี๋มีโทสะมากขึ้นกว่าเดิม มองไปยังเมิ่งฮ่าวชั่วขณะ และจากนั้นก็เริ่มไล่ตามซุนไห่ไป
เมื่อเห็นว่าฟางอวี๋ไม่ได้มีโทสะต่อตนเองอีก เมิ่งฮ่าวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา แม้ว่าเขาจะมีพื้นฐานฝึกตนที่สูงกว่า แต่ก็ไม่กล้าที่จะลงมือกับบิดามารดาหรือพี่สาว
ยิ่งไปกว่านั้นเขาสามารถบอกได้จากวิธีการที่มารดาปฏิบัติต่อซุนไห่ ก็เห็นได้ว่ามารดาและบิดา ต้องยอมรับความสัมพันธ์ของคนทั้งสองอย่างแน่นอน
ถึงแม้เมิ่งฮ่าวจะไม่เห็นตอนที่ฟางอวี๋พูดคุยกับซุนไห่ แต่ก็เห็นได้ชัดว่านางชอบพอมัน ความทุกข์ทรมานต่างๆ ที่เขาหายตัวไปนานหลายปี ในที่สุดก็จางหายไปจากจิตใจนาง
เมิ่งลี่มาปรากฏกายขึ้นที่ข้างกายเมิ่งฮ่าว มองดูฟางอวี๋ที่ไล่ตามซุนไห่ออกไปยังที่ห่างไกลด้วยโทสะ ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความอบอุ่นและเมตตา ขณะที่กล่าวว่า “เตียและเหนียงต่างก็ยอมรับคนทั้งสอง ซุนไห่อาจจะไม่โดดเด่นมากนัก แต่ก็ไม่เลว ที่สำคัญมากที่สุดคือมันรักพี่สาวเจ้าจริงๆ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา นางมักจะรังแกมันอยู่ตลอด แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะชอบ มันเป็นเด็กที่อารมณ์ดีจริงๆ”
“เตียและเหนียงเคยพูดคุยถึงเรื่องนี้ และถ้าไม่มีสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น คนทั้งสองน่าจะกลายเป็นคู่สามีภรรยากันอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้”
“ตอนนี้เมื่อเหนียงคิดไปแล้ว ซุนไห่เป็นคนที่รู้จักสัมมาคารวะเป็นอย่างยิ่ง มันมักจะพูดว่ารู้สึกขอบคุณเจ้าที่ช่วยเหลือมันในปีนั้นอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” นางมองมายังเมิ่งฮ่าวและยิ้มออกมา
จริงๆ แล้วเมิ่งฮ่าวรู้สึกอึดอัดใจอยู่เล็กน้อย เขาเคยพยายามจะหลอกลวงซุนไห่ และในตอนนั้นก็ไม่เคยคาดคิดว่ามันจะหลอกลวงเขาจริงๆ แต่ในตอนนี้เมื่อคิดย้อนกลับไป ถ้าซุนไห่และฟางอวี๋ได้วิวาห์กัน ก็เนื่องมาจากตนเอง จึงถือได้ว่าเป็นเรื่องที่งดงามอย่างแท้จริง
“ข้าไม่กังวลพี่สาวเจ้าเท่าใดนัก แต่กังวลเจ้ามากกว่า…” เมิ่งลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และกล่าวว่า “เหนียง ข้าคิดว่าจะออกไปจากขุนเขาทะเลที่เก้า เพื่อไปค้นหาสวี่ชิง…และนำนางกลับมา”
ตอนแรกเมิ่งลี่ไม่พูดอะไรออกมา แต่หลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ นางก็พยักหน้า
นางสะกดข่มความวิตกกังวลใจไว้ กล่าวว่า “ทันทีที่งานฉลองเตียเจ้าเสร็จสิ้นก็ไปเถอะ มันคือทางเลือกของเจ้า ถ้าเจ้ามั่นใจในสิ่งที่ต้องการจะทำ ก็ให้นำ…เอ๋อร์สีฟู่ (ลูกสะใภ้) กลับมาพบกับพวกเราที่นี่”
ทันใดนั้นก็มีสายลมพัดผ่านมา ได้ยินเสียงใบไม้เสียดสีดังขึ้นมา และทำให้เส้นผมเมิ่งฮ่าวต้องลอยพลิ้วไปมา เขามองไปยังมารดาและสังเกตเห็นริ้วรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผากของนาง ถึงแม้ว่าจะยังไม่แก่ชราลงไปจริงๆ แต่ก็ดูแตกต่างไปจากตอนที่เขาเคยจำได้เมื่อในอดีตเป็นอย่างมาก
แม้แต่ผู้ฝึกตนก็ยังไม่อาจจะหลบหนีผลกระทบจากกาลเวลาที่ล่วงเลยผ่านไปได้
ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็ยื่นมือออกไป และกอดมารดาไว้
“เจ้าเด็กผู้นี้” นางกล่าว ยิ้มอย่างอบอุ่นออกมา ทันใดนั้นก็นึกย้อนกลับไปในตอนที่เมิ่งฮ่าวยังเยาว์วัย คนทั้งสองพูดคุยกันจนกระทั่งดวงตะวันลับเหลี่ยมเขา ในที่สุดเมิ่งฮ่าวก็จากไป
“เหนียง ยังพอมีเวลาก่อนที่จะถึงงานฉลองเตีย ข้าจะไปยังสถานที่บางแห่ง ซึ่งไม่ได้กลับไปนานแล้ว”
สายลมยามเย็นกำลังพัดผ่านมา และกลุ่มเมฆสีดำก็ปกคลุมอยู่เต็มท้องฟ้า ขณะที่เมิ่งฮ่าวออกมาจากลานบ้านตระกูลฟาง ก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องคำรามดังก้องขึ้น และสายฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วก็เริ่มตกลงมา
เมิ่งฮ่าวไม่ได้ใช้วิชาเวทเพื่อปิดกั้นสายฝนไว้ ในที่สุดเขาก็เปียกโชกไปทั่วร่าง ขณะที่เดินไปตามถนนก็มองไปรอบๆ ยังผู้คนที่เร่งรีบหลบเลี่ยงสายฝน
เขาส่ายหน้าและยิ้มออกมา สายฝนทำให้เขาต้องคิดไปถึงแคว้นจ้าว, ภูเขาต้าชิง และทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในวันเก่าๆ เหล่านั้น
เมิ่งฮ่าวถอนหายใจเดินต่อไป ขณะที่เดินอยู่นั้นก็รับรู้ได้ถึงพลังเซียนอันไร้ขอบเขต กระจายเต็มไปทั่วทั้งดินแดนแห่งดาวหนานเทียน ซึ่งมาจากผู้ฝึกตนตระกูลฟางทั้งหมด ซึ่งกระจายพลังที่มองไม่เห็นออกมา
ในท่ามกลางพลังทั้งหมดเหล่านั้น มีอยู่สองกลิ่นอายที่สาดประกายเจิดจ้าอย่างโดดเด่นออกมาราวกับเป็นโคมไฟในยามราตรีอันมืดมิด กลิ่นอายทั้งสองนั้นเป็นของฟางโส่วเต้าและฟางเหยียนซวี ดาวหนานเทียนคือสถานที่อันแปลกประหลาดที่ผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าไม่อาจจะผ่านเข้ามาได้ ดังนั้นพวกท่านจึงต้องสะกดข่มพื้นฐานฝึกตนของตัวเองอยู่ที่วงจรอันยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรโบราณ
ขณะที่เขารับรู้ได้ถึงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด จิตใจเมิ่งฮ่าวก็ค่อยๆ เงียบสงบลง มีปัญหาบางอย่างที่มารดาไม่ได้ถาม และตัวเองก็ไม่พูดขึ้นมา นั่นคือถ้าเขาจากไป…แล้วจะกลับมาเมื่อไหร่?
เขาไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด จากตอนที่ออกไปจากขุนเขาทะเลที่เก้า จนกระทั่งสามารถนำสวี่ชิงกลับมายังดาวหนานเทียนเพื่อพบกับบิดามารดาได้
“บางทีมันอาจจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือบางที…มันอาจจะต้องใช้เวลานาน นานมากๆ” เมิ่งฮ่าวเกิดลางสังหรณ์แปลกๆ ขึ้น ทำให้รู้สึกกังวลใจอย่างเงียบๆ ขณะที่เดินอยู่ในสายฝน ไม่รับรู้ถึงกาลเวลาที่ผ่านไป และในที่สุดก็หยุดลง มองขึ้นไป สังเกตเห็นกำแพงที่อยู่ห่างไกลออกไป มีประตูขนาดใหญ่อยู่ในกำแพงนั้น ที่ด้านนอกมีโคมไฟแขวนอยู่หนึ่งดวง
โคมไฟดวงนั้นแกว่งไหวไปมาภายใต้สายลมที่โชยพัดมาอย่างรุนแรง สายฝนตกลงมาบนผ้าใบที่ปกคลุมโคมไฟดวงนั้นจนเป็นเสียงดัง ไหลรวมกันเป็นกระแสน้ำตกลงไปบนพื้น
อย่างไรก็ตาม ไส้ตะเกียงที่อยู่ด้านในก็มีรูปแบบที่ดูแปลกตา ถึงแม้ว่าเปลวไฟจะส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่ดับลงไป ยังคงลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง ส่องสว่างให้เห็นตัวอักษรที่ถูกเขียนอยู่บนผืนผ้าใบนั้นว่า…จี้ (季)
นี่คือสถานที่ของตระกูลจี้บนดาวหนานเทียน
นี่คือสถานที่ที่เขาเคยทำลายประตูไปตอนที่มาเก็บดอกเบี้ย…
เขาไม่เคยคาดคิดว่าการเดินมาในครั้งนี้ จิตใต้สำนึกของตนเองจะนำมายังที่แห่งนี้
“มันคงเป็นโชคชะตา ไม่รู้ว่าสหายเก่าในปีนั้นจะทำอะไรกันอยู่” เมิ่งฮ่าวคิด เดินไปยังประตู และมองไปยังห่วงเหล็ก เมื่อคิดไปถึงตอนที่เขาดึงห่วงออกมาจากประตู ก็ต้องหัวเราะหึๆ ขึ้นมา จากนั้นก็ยกมือขึ้นเคาะไปที่ประตู เสียงเคาะนั้นดังก้องออกไปจนถึงลานบ้านของตระกูลจี้
เขาเคาะเป็นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ยืนรออยู่ที่นั่นด้วยความอดทน
แทบจะทันใดนั้น เสียงปั่นป่วนวุ่นวายก็ได้ยินอยู่ที่ด้านในคฤหาสน์ตระกูลจี้ ไม่นานนักประตูก็เปิดออกอย่างช้าๆ และเมิ่งฮ่าวก็มองเห็นสมาชิกของตระกูลจี้นับร้อยยืนเรียงแถวอยู่ที่ด้านใน ที่อยู่หน้าสุดคือปรมาจารย์ตระกูลจี้บนดาวหนานเทียน
มันไม่ได้ดูอ่อนเยาว์เหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป ดูแก่ชรามากขึ้น และขณะที่ยืนมองเมิ่งฮ่าวอยู่ที่นั่น แสงแปลกๆ ก็สาดประกายอยู่ในดวงตา หลังจากที่ผ่านไปสักพัก มันก็ถอนหายใจ ประสานมือและโค้งตัวลง
“พวกเราขอน้อมพบนายน้อยแห่งตระกูลฟาง”
ผู้ฝึกตนตระกูลจี้ทั้งหมดต่างก็โค้งตัวลงพร้อมกับมันโดยพร้อมเพรียงกัน
จี้เซี่ยวเซี่ยวอยู่ที่นั่นในกลุ่มฝูงชน สวมใส่ชุดของสตรีที่แต่งงานแล้ว นางไม่ได้ดูน่ารักและเยาว์วัยเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป ตอนนี้นางดูแก่ชราลงไป และมีแววตาที่ขัดแย้งอยู่ด้วยเช่นกันขณะที่มองมายังเมิ่งฮ่าว
คนทั้งสองพบกันเป็นครั้งสุดท้ายนานหลายปีมาแล้ว แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังคงดูเหมือนเช่นเคย หรืออาจจะดูหล่อเหลามากขึ้นกว่าเดิม ทุกการขยับตัวของเขาทำให้เกิดเป็นพลังอย่างที่ยากจะอธิบายกระจายออกไป สร้างเป็นแรงกดดันกดทับลงไปยังคนทั้งหมด ราวกับว่าการยืนอยู่ที่ด้านนอกประตูของเขา คือจุดศูนย์กลางของโลกแห่งนี้ทั้งหมด
แต่จี้เซี่ยวเซี่ยวที่ยืนอยู่ที่นั่น ได้แต่งงานไปนานแล้ว ความรู้สึกขมขื่นอย่างสุดที่จะพรรณนาพุ่งขึ้นมาในจิตใจ จนนางต้องก้มศีรษะต่ำลงไป
เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ยังสมาชิกของตระกูลจี้ทั้งหมด และเห็นใบหน้าที่ดูคุ้นตาอยู่แค่เล็กน้อยเท่านั้น สองคนที่เขาจำได้ตอนที่ต่อสู้ด้วยกันในปีนั้น รวมทั้งจี้เซี่ยวเซี่ยวและจี้เทียนอี
ตอนนี้จี้เทียนอีกลายเป็นบุรุษวัยกลางคน และพื้นฐานฝึกตนของมันก็อยู่ในขั้นต้นค้นหาเต๋า กลายเป็นผู้อาวุโสของตระกูลไป มองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน
“จี้เสวียหลิน?” เมิ่งฮ่าวถาม
“มันล้มเหลวในการก้าวเข้าไปในขั้นตัดวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อน ตายไปแล้ว” บุคคลที่ตอบคำถามเมิ่งฮ่าวคือจี้เทียนอี
เมิ่งฮ่าวเงียบไป ตลอดทั้งเวลานั้น เขาไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไปในตระกูลจี้ เขามายังที่แห่งนี้โดยบังเอิญเท่านั้น สายตากวาดผ่านไปในกลุ่มฝูงชนยังใบหน้าที่ดูคุ้นตาอีกครั้ง ประสานมือและโค้งตัวลง จากนั้นก็หันหลังเพื่อจากไป
“รอสักครู่!” จี้เซี่ยวเซี่ยวกล่าวผ่านร่องฟัน ขณะที่เมิ่งฮ่าวมองกลับไป นางโยนถุงสมบัติออกมา และเขาก็รับไว้
“ทั้งหมดนั้นคือหินลมปราณที่ข้าเป็นหนี้เจ้า ข้าไม่ติดค้างอะไรอีก”
“นี่เป็นของข้า” จี้เทียนอีก็โยนถุงสมบัติออกมาด้วยเช่นกัน
เมิ่งฮ่าวใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดดู จากนั้นก็มองกลับไปยังจี้เซี่ยวเซี่ยวและจี้เทียนอี พยักหน้าให้
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราไม่ติดค้างกันอีก” เมิ่งฮ่าวกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา ตระกูลจี้ให้ความสนใจต่อกรรมเป็นพิเศษ ถ้าพื้นฐานฝึกตนของเขาต่ำกว่าพวกมัน พวกมันก็จะได้เปรียบ แต่ตอนนี้พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าว ได้บรรลุถึงระดับที่พวกมันทั้งหมดได้แต่มองขึ้นไปจากด้านล่าง พวกมันไม่ได้เปรียบเขาในเรื่องของกรรมอีกต่อไป แต่เป็นเขาที่ได้เปรียบ
ถ้าเมิ่งฮ่าวต้องการ ก็สามารถจะปฏิเสธการปลดหนี้ในครั้งนี้ ขณะที่พื้นฐานฝึกตนของเขาสูงมากขึ้นไป กรรมก็จะยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และมีแรงกดดันกดทับลงไปบนร่างพวกมันมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อปลดหนี้ได้แล้ว ในที่สุดพวกมันก็จะเป็นอิสระ
เมื่อสะสางกรรมเรียบร้อยแล้ว เมิ่งฮ่าวก็หันหลังและเดินออกไปยังที่ห่างไกล
สายฝนเริ่มตกลงมาหนักขึ้นกว่าเดิม
——————–
หมายเหตุ:
- 1. เติงถูจื่อ (登徒子) เป็นขุนนางในรัฐฉู่สมัยโบราณของจีน มีนิสัยเจ้าชู้มักมากในกาม
- 2. เมิ่งฮ่าวมาเก็บดอกเบี้ยจากตระกูลจี้ในตอนที่ 803: ไปยังตระกูลจี้เพื่อทวงหนี้
- 3. จี้เซี่ยวเซี่ยว คือหญิงสาวที่เมิ่งฮ่าวพบครั้งแรกตอนอยู่ในสำนักเซียนอสูรโบราณ เนื่องจากคนทั้งสองมีความลับที่ตกลงกันไว้ นางจึงต้องช่วยเขาเล็กน้อยในตอนหลัง ต่อมาเขามองเห็นนางในทะเลเทียนเหอ แต่ไม่ได้เปิดเผยตัวตนให้นางรู้ ตอนที่เขามาเก็บดอกเบี้ยที่ตระกูลจี้ครั้งแรก นางไม่อยู่บ้านพอดี
- 4. จี้เทียนอีเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เป็นหนี้เมิ่งฮ่าว ตอนที่อยู่ในสำนักเซียนอสูรโบราณ จี้เสวียหลิน ถูกเอ่ยถึงในตอนที่ 803 ด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับจี้เสวียหมิง ที่พยายามมาขัดขวางเมิ่งฮ่าวจากการดึงห่วงประตูออกไป