ตอนที่ 1256
ก่อร่างสร้างชื่อ
เมิ่งฮ่าวหมุนตัวและมุ่งหน้ากลับไปยังที่อยู่ของตระกูลอย่างเงียบๆ เมื่อไปถึงก็ส่งมอบเด็กหนุ่มที่หมดสติซึ่งเขาช่วยชีวิตไว้ออกไป จากนั้นก็ขยับเสื้อผ้าให้เรียบร้อย และเดินตรงเข้าไปในห้องของไว่ผอ
เขาไม่ได้เข้าไปในทันที แต่ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ จากนั้นก็ยืนก้มศีรษะอยู่ที่นั่น
หลังจากที่ผ่านไปนาน ประตูก็เปิดออก และสตรีวัยกลางทั้งสามก็เดินออกมา ชำเลืองมองเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น ขณะที่เดินผ่านไป จากนั้นเสียงเก่าแก่โบราณก็ดังออกมาจากภายในห้อง
“เข้ามา”
เมิ่งฮ่าวโค้งตัวลงอีกครั้ง จากนั้นก็เดินเข้าไป พร้อมกับปิดประตูลง
เมื่อมองขึ้นไปก็เห็นไว่ผอกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าเดิมมากนัก ดูเหมือนว่าจะอ่อนแอกว่ามนุษย์ธรรมดา แต่เวลาเดียวกันนั้นก็ดูเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยความสง่างามอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาได้ ดวงตาท่านไร้ประกาย แต่เมื่อมองมาก็ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยพลังอำนาจ
ข้างกายท่านนั่งไว้ด้วยสองชายชรา ซึ่งก็ดีขึ้นด้วยเช่นกัน พวกท่านกำลังจ้องมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกแม้แต่น้อย
คนแรกที่พูดคือไว่ผอ ท่านมองมายังเมิ่งฮ่าวและกล่าวขึ้นช้าๆ “เจ้าเป็นใคร?!”
เสียงท่านไม่ได้ถูกเกื้อหนุนด้วยพลังจากพื้นฐานฝึกตน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะประกอบไปด้วยบางสิ่งที่ทำให้กฎธรรมชาติในบริเวณนั้นต้องผันผวนไปมา ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงของท่านก็จะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันลึกล้ำที่ประกอบอยู่ในนั้น
“เมิ่งฮ่าว ขอน้อมพบไว่ผอ ขอน้อมพบไว่ซูกง…” จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็คุกเข่าลงไปและเริ่มโขกศีรษะ
สามผู้ชราต่างก็สั่นสะท้าน เมื่อตระหนักถึงคำเรียกขานของเมิ่งฮ่าว ไว่ผอ, ไว่ซูกง…
“เจ้า…” ไว่ผออ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เมิ่งฮ่าวลุกขึ้นมายืน และขณะที่ทำเช่นนั้น รูปร่างหน้าตาของเขาก็เปลี่ยนจากเมิ่งเฉินกลายเป็นตัวเองไป
จากนั้นเขาก็หยิบเหรียญหยกออกมาจากถุงสมบัติ ยื่นส่งให้กับไว่ผอด้วยความเคารพ ต่อมาเขาก็ส่งพลังการฝึกตนเข้าไปในแผ่นหยก ทำให้เกิดเป็นจอภาพปรากฏขึ้นในอากาศ บนจอภาพนั้นเป็นใบหน้าของสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือ…มารดาของเมิ่งฮ่าว
จากนั้นขณะที่สามผู้ชรามองมา เมิ่งฮ่าวก็กรีดปลายนิ้ว และหยดโลหิตลงไปบนแผ่นหยก แผ่นหยกดูดซับหยดโลหิตเข้าไปจนกลายเป็นสีแดง
แผ่นหยกนี้มารดาได้ส่งมอบให้กับเมิ่งฮ่าวก่อนที่เขาจะจากมา นางบอกเขาว่าถ้าไปพบเจอกับญาติทางฝั่งครอบครัวนาง ก็ให้เขาใช้มันเพื่อพิสูจน์ตัวตน
ไว่ผอเมิ่งฮ่าวเริ่มสั่นสะท้าน และสองชายชราที่อยู่ด้านข้างก็มีท่าทางตื่นเต้นขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ อันที่จริงในช่วงชีวิตของพวกท่าน มีน้อยครั้งมากที่จะรู้สึกตื่นเต้นเช่นนี้
“ลี่เอ๋อร์…เจ้าคือ…บุตรชายของลี่เอ๋อร์ ฟางเมิ่งฮ่าว…” ไว่ผอจ้องมองไป ลมหายใจเริ่มเร่งร้อนถี่เร็วขึ้น ทันใดนั้นแรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่าง ราวกับว่ามีบางสิ่งเพิ่งจะเกิดขึ้นกับท่าน “หมู่ชิน (มารดา) เจ้า เป็นอย่างไรบ้าง…?”
เมิ่งฮ่าวก้าวเดินไปในทันที ยื่นแขนออกไปช่วยพยุงร่างท่านไว้ “ไว่ผอ หมู่ชินอยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้า ด้วยความปลอดภัยแข็งแรง”
“เมื่อนางปลอดภัยแข็งแรงดี ก็ดีแล้ว…” ไว่ผอพึมพำ หยดน้ำตาไหลลงมาบนแก้ม ยกมือที่สั่นสะท้านไปลูบคลำใบหน้าเมิ่งฮ่าว ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความเมตตา
“เจ้าเป็นเด็กดีจริงๆ…มาที่นี่ทำไม? เมิ่งเฉินไปไหน?”
เมิ่งฮ่าวถอนหายใจ จากนั้นก็บอกเล่าอย่างคร่าวๆ ว่าทำไมเขาถึงต้องมายังขุนเขาทะเลที่แปด และเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาไปพบกับเมิ่งเฉิน
เมื่อไว่ผอและไว่ซูกงได้ยินว่าเขากวาดล้างเฮยหุนเต้า และสังหารราชันเต๋าพร้อมกับผู้แข็งแกร่งที่ทรงพลังคนอื่นๆ ไป ดวงตาพวกท่านก็เบิกกว้างขึ้น
จากนั้นเมื่อพวกท่านได้ยินคำพูดสุดท้ายของเมิ่งเฉิน แววตาก็มืดสลัวลงไป
“เฉินเอ๋อร์ก็เป็นเด็กดีด้วยเช่นกัน…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เมิ่งฮ่าวก็มองไปยังเหล่าผู้ชราและถามว่า
“ไว่ผอ, ไว่ซูกง ข้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่? ทำไมสายโลหิตของพวกเราถึงได้ตกต่ำเช่นนี้ ตะปูสีดำที่อยู่ในร่างพวกท่านเหล่านั้นคืออะไร? และใคร…วางยาพิษท่าน? ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ทั้งหมดไปอยู่ที่ไหน?”
พวกท่านสบตากันเงียบๆ ชั่วขณะ จากนั้นไว่ซูกงผู้หนึ่งก็ถอนหายใจและเริ่มกล่าวอธิบาย
“หลังจากที่ไว่กงเจ้า ไปยังขุนเขาทะเลที่เก้า มันก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย ข่าวคราวทั้งหมดที่พวกเราได้รับก็คือว่ามันมีเรื่องที่ต้องทำให้เจ้า ดังนั้นมันจึงหายไปพร้อมกับฟางเหยียเยี่ยเจ้า”
“เมื่อไว่กงเจ้าหายตัวไป ก็มีผลกระทบกับตระกูลแค่เล็กน้อยเท่านั้น ในตอนนั้นพวกเรามีพี่น้องกันทั้งหมดเจ็ดคน รวมทั้งไว่กงเจ้าด้วย และยังมีลูกหลานอีกมากมาย ไม่มีใครในพวกเราอยู่ในอาณาจักรเต๋า แต่อยู่ในอาณาจักรโบราณเป็นจำนวนมาก พวกเราตัดสินใจว่าจะไม่แย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งกันเองภายในตระกูล แต่พวกเราก็คาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปในชั่วค่ำคืนเดียว”
“ถึงแม้ว่าข่าวคราวที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนั้นจะไม่แพร่งพรายออกไป แต่ก็เป็นตอนที่ตระกูลเมิ่งเริ่มตกต่ำลง…”
“มีผู้ฝึกตนลึกลับบุกรุกเข้ามา ร่วมมือกับกลุ่มคนทรยศในตระกูล เกิดเป็นการต่อสู้กันขนานใหญ่ และปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าสองท่านของพวกเราก็ถูกสังหารไป อีกสองท่านได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส และไม่อาจจะฟื้นฟูกลับคืนมาได้”
“ผู้ฝึกตนอาณาจักรโบราณตกตายไปเป็นจำนวนมาก และสมาชิกตระกูลที่อยู่ในอาณาจักรเซียนก็ถูกสังหารไปจนหมดสิ้น…”
“สายโลหิตของพวกเราหลบหนีมายังสถานที่แห่งนี้ แต่เมื่อพวกเรามาถึง ก็มีผู้แข็งแกร่งลึกลับเก้าคนรอคอยอยู่ก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อพวกเราโดยเฉพาะ พี่น้องคนอื่นๆ ของพวกเราตกตายไป จิ้วจิ่ว (พี่ชายและน้องชายของมารดา) เจ้าตายไปทั้งหมด เหลืออยู่เพียงแค่สตรีและทารกเท่านั้น…”
“ผู้แข็งแกร่งลึกลับทั้งเก้าเหล่านั้น ต้องการจะกำจัดสายโลหิตพวกเราไปจนหมดสิ้น ถึงแม้ว่าตระกูลสาขาจะถูกสังหารไปด้วย แต่ก็ดูเหมือนว่าการโจมตีตระกูลเมิ่งของพวกมัน มุ่งเป้ามาที่พวกเราโดยเฉพาะเท่านั้น”
“ในช่วงวิกฤตที่ดูเหมือนว่าพวกเราจะถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้น รูปปั้นบรรพบุรุษก็เริ่มส่องแสงสว่างขึ้นมา เกิดเป็นแรงกดดันที่ทรงพลังกระจายออกไป กลายเป็นเสียงตะโกนไปยังผู้แข็งแกร่งลึกลับทั้งเก้า บอกให้พวกมันไปให้พ้น ก่อนที่พวกมันจะถูกขับไล่จากไป ก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าตัวตายเพื่อกลายร่างเป็นตะปูเก้าตัว ตะปูเหล่านั้นเพิ่มจำนวนขึ้น แทงเข้ามาในร่างพวกเรา ผนึกพื้นฐานฝึกตนของพวกเราไว้”
“นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ตระกูลเมิ่งก็ตกต่ำลง และสายโลหิตของพวกเราก็สูญเสียผู้ฝึกตนไปทั้งหมด พวกเราต้องการกลับไปยังคฤหาสน์บรรพชน แต่มันก็ถูกครอบครองโดยสายโลหิตอื่นไปแล้ว ซึ่งก็คือเก้าสายโลหิตของตระกูลเมิ่งในตอนนี้”
“หลังจากนั้นพวกเราก็มาอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ พยายามจะฟื้นฟูพื้นฐานฝึกตน แต่ก็ต้องอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ เท่านั้น และตกตายไปอย่างต่อเนื่อง ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ก็เหลืออยู่เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น
ถึงแม้ว่าจิ้วจิ่วทั้งสองของเจ้าจะได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส แต่ก็ไม่ยอมจะตายไป ได้แต่มองไปด้วยความโศกเศร้าขณะที่รุ่นผู้เยาว์ถูกกลบฝัง ถึงแม้จะอยู่อย่างอัปยศ แต่ก็ยังฝืนมีชีวิตอยู่ต่อไป”
หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ชั่วขณะ เป็นคำอธิบายที่เรียบง่าย แต่เขาก็สามารถจะคาดคิดได้ถึงความน่าอนาถใจทั้งหมดเหล่านั้น
“ไว่ผอ อาการบาดเจ็บของพวกท่าน ข้าน่าจะช่วยรักษาได้ แต่ต้องใช้เวลาบ้าง” ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็คิดถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ และกล่าวต่อ
“บุรุษลึกลับทั้งเก้าเหล่านั้น พวกมันมีการใช้วิชาเวทที่ต้องรวมพลังกันเพื่อเรียกขวานสงครามออกมาบ้างหรือไม่?”
แทบจะทันใดนั้น ไว่ผอและไว่ซูกงต่างก็มองมาพร้อมกับเริ่มสั่นสะท้านขึ้น
“พวกมันใช้วิชาเวทเช่นนั้นจริงๆ แต่พวกมันไม่ได้เรียกขวานสงครามออกมาแค่เล่มเดียว แต่เรียกออกมาถึงสามเล่ม! เจ้าเคยเห็นเรื่องเช่นนี้มาก่อน?” ไว่ผอกล่าวตอบ
จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็เล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ระหว่างทางที่กลับมายังตระกูลเมิ่ง ทำให้สีหน้าของสามผู้ชราต้องเปลี่ยนไป
“พวกมันมาอีกแล้ว…?” ไว่ผอกล่าว
เมื่อได้เห็นสีหน้าของพวกท่าน เมิ่งฮ่าวก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “ไว่ผอ บุรุษชุดดำลึกลับเหล่านั้น ท่านพอที่จะทราบหรือไม่ว่า…พวกมันมาจากที่ไหน?”
ตอนแรกสามผู้ชราไม่กล่าวตอบ ในที่สุดไว่ผอก็ถอนหายใจและกล่าวว่า
“ขุนเขาทะเลที่เจ็ด!”
ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวได้ยินคำพูดเหล่านั้น แรงสั่นสะเทือนก็วิ่งผ่านไปทั่วร่าง มองไปยังไว่ผอและสีหน้าที่เคร่งเครียดของท่าน ความคิดของเขาวิ่งไปมาอย่างรวดเร็ว ในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นคำพูดหกคำ…
“สงครามขุนเขาทะเล…” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นมาช้าๆ
สามผู้ชรายังคงรักษาความเงียบไว้
จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ในทันทีที่เขาคิดไปถึงโอกาสที่จะเกิดสงครามขึ้นระหว่างขุนเขาทะเลด้วยกันเอง ก็กล่าวว่า “ไว่ผอ, ไว่ซูกง ตระกูลฟางในขุนเขาทะเลที่เก้าเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก ข้าสามารถนำพวกท่านทั้งหมดไปยังขุนเขาทะเลที่เก้า เพื่อให้พวกท่านโดดเด่นอยู่ที่นั่นได้”
“ฮ่าวเอ๋อร์ เจ้ามีเจตนาที่ดี แต่ตระกูลเมิ่งคือบ้านของพวกเรา พวกเราจะไม่ยอมแพ้” ไว่ผอกล่าว
สำหรับไว่ซูกงทั้งสอง เสียงของพวกท่านเต็มไปด้วยความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว ซึ่งสามารถจะตัดตะปูเฉือนเหล็กกล้าได้ขณะที่กล่าวว่า “พวกเราถือกำเนิดขึ้นในที่แห่งนี้ และจะตายไปในที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน!”
เมิ่งฮ่าวไม่พูดอะไรอีก ประสานมือและโค้งตัวลง อีกครั้งที่กลายร่างเป็นเมิ่งเฉิน แต่ก่อนที่จะจากไป ก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ “ไว่ผอ ถ้าสงครามขุนเขาทะเลเกิดขึ้นจริงๆ ข้าจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อปกป้องท่าน แต่ถ้าข้าไม่สามารถจะทำได้ ก็โปรดปฏิบัติตามคำแนะนำของข้า ให้ออกไปจากสถานที่แห่งนี้ และเฝ้ารอโอกาสที่เหมาะสมเพื่อหวนคืนมาใหม่”
จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็เดินออกมาจากห้อง และมองไปรอบๆ ยังกลุ่มคนสายโลหิตต่างๆ ที่อยู่ในบ้านหลังนี้ จากนั้นก็โบกสะบัดมือ และเสียงกระหึ่มขนาดใหญ่ก็ดังก้องขึ้น ขณะที่บ้านหลังนี้และพื้นดินที่อยู่รอบๆ ทั้งหมด ถูกตัดออกมาจากพื้นดินที่มันตั้งอยู่
เมิ่งฮ่าวตัดเป็นพื้นที่ซึ่งมีขนาดถึงหนึ่งหมื่นจ้าง จากนั้นก็ตบไปที่ถุงสมบัติ ทำให้หยกเซียนชิ้นแล้วชิ้นเล่าลอยออกมา เพื่อควบคุมพวกมันขณะที่ลอยอยู่ในกลางอากาศ เมิ่งฮ่าวขยับมือร่ายเวทและชี้นิ้วออกไป ทำให้หยกเซียนจำนวนมากเหล่านั้นพุ่งตรงไปยังพื้นดิน
หยกเซียนแต่ละชิ้นเมื่อสัมผัสไปโดยพื้นก็แตกกระจายไป ทำให้ปราณเซียนอันไร้ขอบเขตพุ่งกระจายออกไปคล้ายสายฝน ในชั่วพริบตาทั่วทั้งบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยปราณเซียนอันเข้มข้นด้วยจำนวนที่มากมายจนน่าตกใจ
จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็ยกมือขึ้นทำท่าคว้าจับออกไป ทำให้เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น ขณะที่พื้นดินอันกว้างใหญ่นั้นถูกผนึกไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีปราณเซียนรั่วไหลออกไปแม้แต่น้อย
ทำให้บริเวณนั้นทั้งหมดที่ถูกครอบครองโดยสายโลหิตของเขา คล้ายกับเป็นแดนเซียน!
สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว การฝึกฝนพื้นฐานฝึกตนในสถานที่แห่งนี้ คล้ายกับเป็นข้อได้เปรียบอย่างสุดที่จะพรรรณนาออกมาได้ การเข้าฌานในที่แห่งนี้หนึ่งวัน เทียบได้กับการใช้เวลานับเดือนในโลกด้านนอก แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังคงไม่พอใจ ตบไปที่ถุงสมบัติอีกครั้ง หยิบเอาหยกเซียนออกมาอีก ขณะที่หยกเซียนแตกกระจายไป ปราณเซียนจำนวนมากก็ยิ่งมีความลึกล้ำมากขึ้น
ตอนนี้ เมื่อเข้าฌานอยู่ในที่แห่งนี้หนึ่งวัน ก็เท่ากับการใช้เวลาสองเดือนอยู่ที่ด้านนอก!
กลุ่มคนสายโลหิตที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นต่างก็ตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง สามผู้ชราที่อยู่ในห้อง รวมทั้งสตรีวัยกลางคนทั้งสาม ต่างก็อ้าปากค้างและมองไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความประหลาดใจ จากนั้นไว่ผอและไว่ซูกงของเมิ่งฮ่าวก็นึกขึ้นมาได้ว่า เขาเคยพูดถึงการสังหารปรมาจารย์เฮยหุนและผู้แข็งแกร่งอาณาจักรเต๋าคนอื่นๆ ทำให้พวกท่านเชื่อแล้วว่าเป็นเรื่องจริงโดยสิ้นเชิง
ห้องที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นอีกสองห้องจู่ๆ ก็เปิดออก และบุรุษสองคนก็เดินออกมา ถึงแม้จะดูเหมือนว่าจะไม่ได้แก่ชรามากนัก แต่ผิวกายของคนทั้งสองก็แห้งเหี่ยวและซีดขาว แววตามืดสลัวไร้ประกาย ทำให้ดูเหมือนว่าจะแก่ชรามากเป็นอย่างยิ่ง พวกท่านมีรูปร่างที่ผอมแห้งและอ่อนแอ ยังได้กลิ่นสุราคละคลุ้งมาอีกด้วย ราวกับว่าไม่ได้พบเห็นแสงอาทิตย์มานานหลายวันแล้ว ตอนนี้พวกมันกำลังจ้องมองไปยังปราณเซียนด้วยความงุนงง
บุรุษทั้งสองนี้คือจิ้วจิ่วของเมิ่งฮ่าว…เป็นกลุ่มคนรุ่นสองของสายโลหิตที่รอดชีวิตมาได้
“เมิ่งหรู ไปค้นหากลุ่มคนในสายโลหิตของพวกเราทั้งหมดที่ทำงานรับใช้อยู่บ้านอื่น บอกพวกมันว่า…ให้กลับมาบ้าน ถ้ามีใครมาห้ามเจ้า ให้บอกข้าในทันที!”
เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นด้วยเสียงเยือกเย็น และดวงตาก็สาดประกายเย็นชา การปรากฏกายขึ้นของผู้ฝึกตนจากขุนเขาทะเลที่เจ็ด บ่งบอกว่าสงครามขุนเขาทะเลกำลังจะปะทุขึ้นมาแล้ว ทำให้เมิ่งฮ่าวต้องเปลี่ยนแผนไปโดยสิ้นเชิง เขาจะไม่นำสายโลหิตของท่านตาจากในเงามืดอีกต่อไป ไม่มีเวลาที่จะกระทำเช่นนั้นแล้ว
การตัดสินใจใหม่ของเมิ่งฮ่าวก็คือไปอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง ประกาศก้องเป็นเสียงดังๆ ว่า ห้ามใครมาตอแยสายโลหิตนี้ ถึงเวลาที่จะก่อร่างสร้างชื่อแล้ว!