Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1279

ตอนที่ 1279

ตะเกียงราชัน

ท่าสับลงไปนั้นทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวสั่นสะท้าน ขณะที่ลำแสงอันเข้มข้นอย่างที่ยากจะอธิบายกรีดเฉือนออกไป คลื่นเสียงที่เปลี่ยนมาจากเสียงแผดร้องคำรามนั้นถูกกลบไปโดยสิ้นเชิง ประกายแสงจากใบมีดกรีดเฉือนลงไป ตัดมันออกเป็นสองส่วน จากนั้นแสงก็พุ่งตรงไปยังเซียวอี้หานต่อไป

เซียวอี้หานมีใบหน้าดุร้ายขึ้น ขยับสองมือร่ายเวทอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พ่นลูกทรงกลมกลุ่มหมอกสีขาวออกไป กลายเป็นขนนกสีขาว ขนนกนั้นไม่ได้พยายามขัดขวางอาวุธสงคราม แต่พุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าวแทน

อย่างน่าตกใจยิ่ง เซียวอี้หานเลือกที่จะจบการต่อสู้นี้ด้วยการทำลายล้างซึ่งกันและกัน!

อาวุธสงครามพุ่งตรงไปยังเซียวอี้หาน และร่างมันก็สั่นสะท้านขึ้นมาในทันที จากนั้นก็แตกกระจายออกเป็นชิ้นๆ อย่างไรก็ตามสิ่งที่แตกกระจายออกไปนั้นเป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น ราวกับว่าเด็กชายนั้นเป็นแค่ผิวหนังเท่านั้น! เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องออกไป เมื่อตำแหน่งที่เด็กชายยืนอยู่ก่อนหน้านี้ถูกยึดครองด้วยบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง!

บุรุษหนุ่มผู้นั้นมีอายุประมาณยี่สิบปี และมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับเด็กชาย มันกวาดเช็ดโลหิตออกจากมุมปาก จากนั้นก็มองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างชั่วร้าย

ผิวกายที่แตกกระจายไปปลิ่วว่อนอยู่รอบๆ ตัวมัน ถ้ารวมกลับเข้าด้วยกัน ก็สามารถจะก่อตัวเป็นรูปร่างของเด็กชายได้อย่างแน่นอน!

เวลาเดียวกันนั้น ขนนกสีขาวก็พุ่งตรงไปยังศีรษะเมิ่งฮ่าวด้วยความรวดเร็วอย่างยากจะอธิบาย เขาไม่อาจจะหลบเลี่ยงหรือหลีกหนีไปได้ เช่นเดียวกับที่เซียวอี้หานไม่อาจจะหลบเลี่ยงอาวุธสงคราม

ดูเหมือนว่าขนนกนั้นเพียงแค่ลอยไปบนร่างเขาเท่านั้น แต่ความเป็นจริงก็คือว่า เมิ่งฮ่าวรู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวทั้งหมด ได้มารวมตัวกันที่จุดนั้นและกำลังบดขยี้ลงมา!

ร่างเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน และโลหิตก็ไหลซึมออกมาจากมุมปาก ขณะที่ถูกผลักลงไปจนยากที่จะควบคุมตัวเองได้ เซียวอี้หานที่อยู่ในรูปแบบบุรุษหนุ่มมองมา ด้วยแววตาที่สาดประกายรังสีสังหาร จากนั้นก็เดินตรงไปหนึ่งก้าว

อย่างไรก็ตาม ในตอนที่มันก้าวเดินไป พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวก็ปะทุด้วยพลังที่พุ่งขึ้นไปอีกครั้ง! ขนนกบนศีรษะพุ่งขึ้นไปราวกับว่าน้ำพุกำลังพุ่งขึ้นมา และตะเกียงวิญญาณดวงที่สามสิบสองของเมิ่งฮ่าวก็พุ่งออกไป!

เป็นตะเกียงวิญญาณสีโลหิต!

ในทันทีที่มันปรากฏขึ้น ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวทั้งหมดกลายเป็นสีแดงไป ยิ่งไปกว่านั้นก็มีเส้นใยแห่งโลหิต เชื่อมต่อตะเกียงวิญญาณสีโลหิตเข้ากับกระหม่อมเมิ่งฮ่าว ที่น่าตกใจมากไปกว่านั้นก็คือการปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันของมัน ทำให้เมิ่งฮ่าวเริ่มแห้งเหี่ยวลงไป!

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นขีดจำกัดของจำนวนตะเกียงวิญญาณที่เมิ่งฮ่าวสามารถจุดขึ้นมาได้ ในทันทีที่ตะเกียงวิญญาณสีโลหิตปรากฏขึ้น มันก็กลายเป็นตะเกียงราชันในท่ามกลางตะเกียงวิญญาณอื่นๆ ทั้งหมด!

สิ่งสำคัญมากที่สุดก็คือ ตะเกียงนี้ดูแตกต่างไปจากตะเกียงวิญญาณอื่นๆ ทั้งหมดที่เคยปรากฏขึ้นมา นอกจากนี้พลังแห่งฟ้าดินที่อยู่รอบตัวเมิ่งฮ่าว และคอยเกื้อหนุนเขาในขณะที่ทำการจุดตะเกียงวิญญาณ ก็เริ่มเดือดพล่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เริ่มพุ่งตรงมาที่เขาด้วยความรวดเร็วอย่างบ้าคลั่ง บางส่วนก็ไหลเข้าไปในร่างเมิ่งฮ่าว ขณะที่ส่วนอื่นๆ ไหลเข้าไปในตะเกียงวิญญาณ!

ตะเกียงวิญญาณกลายเป็นสิ่งที่คล้ายกับหลุมดำสีโลหิต ดูดกลืนพลังแห่งฟ้าดินและแก่นแท้ที่คงอยู่ในท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยหมู่ดาวเข้าไป

ตูมมมมมมม! เสียงกึกก้องดังขึ้นมาอยู่รอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าว และเปลวไฟของตะเกียงวิญญาณก็ลุกไหม้เจิดจ้ามากขึ้นไปเรื่อยๆ สำหรับขนนก มันถูกผลักให้ลอยห่างออกไปมากขึ้น เห็นได้ชัดว่ามันไม่อาจจะต่อต้านกับพลังของตะเกียงวิญญาณสีโลหิต และลุกไหม้ขึ้นมา

ขนนกถูกเผาไหม้ไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาก็กลายเป็นเถ้าธุลีไป จากนั้นก็เริ่มกระจัดกระจายออกไป ทำให้แรงกดดันที่กำลังกดทับลงมาบนร่างเมิ่งฮ่าวจางหายไป และตะเกียงวิญญาณสีโลหิตก็เริ่มลุกโชนเจิดจ้ามากขึ้น

เนื่องจากขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงแห่งฟ้าดินที่แปลกๆ ก็เกิดขึ้นมาจนถึงจุดนี้ ในทันทีที่ตะเกียงวิญญาณอันโดดเด่นนี้ปรากฏขึ้น คนทั้งหมดสามารถจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน รวมทั้งกลุ่มคนตระกูลเมิ่งและผู้ฝึกตนที่รุกรานเข้ามา

“ตะเกียงราชัน! นั่นคือตะเกียงราชัน!!”

“เมื่อจุดตะเกียงวิญญาณในอาณาจักรโบราณ ตะเกียงดวงสุดท้ายที่ถูกจุดขึ้นมาก็คือตะเกียงราชัน!”

“เมื่อไหร่ที่ตะเกียงราชันปรากฏขึ้น ก็หมายความว่า…การจุดตะเกียงวิญญาณได้จบลงแล้ว!!”

“ตะเกียงวิญญาณสามสิบสองดวง สวรรค์! ในบันทึกโบราณไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน นี่ต้องเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ!!” ในช่วงของการต่อสู้ระหว่างเมิ่งฮ่าวและเซียวอี้หาน สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง สำหรับกลุ่มคนที่คิดว่าเมิ่งฮ่าวสามารถจุดตะเกียงวิญญาณได้มากมายเช่นนี้

ตอนนี้พวกมันคิดไปถึงตะเกียงวิญญาณสีโลหิตอยู่ชั่วขณะ และตระหนักว่ามันคืออะไร พวกมันเริ่มหอบหายใจและร้องอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เกิดเป็นเสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น และขุนเขาทะเลที่แปดก็สั่นสะเทือนไปทั่ว

การก้าวเข้าไปในอาณาจักรโบราณของเมิ่งฮ่าว ทำให้ขุนเขาทะเลที่แปดต้องสั่นสะเทือนไปทั่ว ยิ่งไปกว่านั้นย้อนกลับไปในขุนเขาทะเลที่เก้า กลุ่มคนตระกูลฟางทั้งหมดต่างก็รู้สึกว่าโลหิตของพวกมันกำลังเดือดพล่าน ขณะที่พลังอันอ่อนโยนกำลังปะทุขึ้นมาในเส้นลมปราณของแต่ละคน

เมื่อปรมาจารย์แข็งแกร่งขึ้น สมาชิกในสายโลหิตทั้งหมดก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นเดียวกัน!

ตัวเมิ่งฮ่าวเองได้กลายเป็นแหล่งกำเนิดของสายโลหิตตระกูลฟางไปแล้ว!

ย้อนกลับไปในขุนเขาทะเลที่แปด เมิ่งฮ่าวกำลังสั่นสะท้าน จากตอนที่ตะเกียงวิญญาณสีโลหิตปรากฏขึ้น เขารู้สึกได้ว่ามันมีความแตกต่างไปจากตะเกียงวิญญาณอื่นๆ ทั้งหมด มันมีการเชื่อมต่อกับสายโลหิตของเขา และ…แทบจะรู้สึกราวกับว่าตนเองได้กลายเป็นตะเกียงไป ในทำนองเดียวกัน ตะเกียงก็สามารถจะกลายเป็นร่างเขาด้วยเช่นกัน!

ในทันทีที่มันปรากฏขึ้น เปลวไฟของตะเกียงวิญญาณดวงอื่นๆ ก็สว่างจ้ามากขึ้น และอาการบาดเจ็บของเมิ่งฮ่าวก็หายไปในทันที ในสภาวะการจุดตะเกียงขึ้นมานี้ เขาได้รับการปกป้องเป็นพิเศษจากฟ้าดิน!

อย่างไรก็ตามเมิ่งฮ่าวยังรู้สึกได้เช่นกันว่า พลังแห่งฟ้าดินที่กำลังไหลเข้าไปในตะเกียงวิญญาณตอนนี้กำลังจางหายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเหมือนกับที่กลุ่มฝูงชนได้คาดเดาไว้ ตะเกียงวิญญาณดวงล่าสุดนี้…จะเป็นดวงสุดท้ายของเขา!

แต่เมิ่งฮ่าวก็ไม่ค่อยจะเชื่อมากนัก เขารู้สึกได้ว่าถึงแม้ตะเกียงสีโลหิตจะปรากฏขึ้นมาแล้ว แต่ก็น่าประหลาดใจยิ่ง…ที่ยังมีตะเกียงวิญญาณอีกดวงกำลังจะโผล่ขึ้นมาจากภายในร่างตนเองด้วย!

“ดังนั้นตะเกียงวิญญาณสีโลหิตนี้จะไม่ใช่ตะเกียงราชันของข้า ตะเกียงราชันที่แท้จริงยังคงอยู่ข้างใน กำลังรอการจุดติดขึ้นมา…”

“ถ้าข้าต้องการจุดตะเกียงราชันให้ติดขึ้นมาจริงๆ ข้าก็จำเป็นต้องมีพลังมากกว่านี้ ต้องมีแรงกดดันเพื่อบังคับให้มันออกมามากกว่านี้ มิเช่นนั้น…มันก็จะคงอยู่ด้านในตลอดไป!” เมิ่งฮ่าวมีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่า ตะเกียงราชันที่แท้จริงภายในร่าง ต้องเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจจะเข้าใจได้ แม้แต่พลังแห่งฟ้าดินก็ยังไม่อาจจะรับรู้ได้…นั่นต้องเป็นตะเกียงราชันที่แข็งแกร่งมากที่สุดของตนเองอย่างแน่นอน!

ทันใดนั้นเซียวอี้หานก็หยุดชะงักนิ่ง แทนที่จะเข้าไปใกล้เมิ่งฮ่าว มันกลับจ้องมองไปและจากนั้นก็เริ่มหัวเราะขึ้น

“เมื่อตะเกียงราชันของเจ้าปรากฏขึ้น ก็หมายความว่าจะไม่มีตะเกียงวิญญาณโผล่ขึ้นมาอีกแล้ว สามสิบสองดวง อืม…ช่างแข็งแกร่งจริงๆ แต่ข้าก็เฝ้ารอมาโดยตลอดเพื่อให้ตะเกียงราชันของเจ้าปรากฏขึ้น!” ดวงตามันสาดประกายขึ้นด้วยรังสีสังหาร และริมฝีปากก็บิดขึ้นด้วยรอยยิ้มอันเย็นชา ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป และรู้สึกได้ในทันทีว่าพลังแห่งฟ้าดินกำลังจางหายไป มั่นใจว่าเมิ่งฮ่าวไม่อาจจุดตะเกียงวิญญาณเพิ่มขึ้นได้อีก มันสูดหายใจเข้าลึกๆ

ถึงแม้ว่าคนทั้งสองจะอยู่ตรงด้านนอกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว แต่ขณะที่มันสูดลมหายใจเข้าไป ลมพายุขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นอยู่รอบกาย ที่น่าตกใจมากไปกว่านั้นก็คือว่าเศษส่วนของพลังแห่งฟ้าดินที่เมิ่งฮ่าวนำไปจุดตะเกียงวิญญาณเริ่มถูกดูดเข้าไป ราวกับว่ามันไม่อาจจะต่อต้านพลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากเซียวอี้หาน

พลังอันไร้ขอบเขตถูกเซียวอี้หานดูดเข้าไป ก่อตัวเข้าด้วยกันเป็น…ลูกธนูหนึ่งดอก!

เป็นลูกธนูที่ไร้สีสัน มองไม่เห็นสิ่งใดๆ นอกจากสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ก็ประกอบไปด้วยพลังอันน่ากลัว

ต่อมาใบหลิวสีดำสิบใบที่อยู่บนพื้นใกล้กับคฤหาสน์บรรพชนตระกูลเมิ่งก็เริ่มสั่นไปมา และกระจายเป็นเสียงหึ่งๆ ขึ้น จากนั้นพวกมันก็ลอยขึ้นไปในอากาศ มีขนาดเล็กลงอย่างรวดเร็วขณะที่เข้ามาใกล้เซียวอี้หาน จนมีความยาวแค่สามฉื่อ และหมุนวนไปรอบๆ ร่างมัน จนกลายเป็น…คันศรสีดำ!

บุรุษหนุ่มยื่นมือซ้ายออกไปคว้าจับคันศรสีดำนั้น ใช้มือขวาดึงสายธนูไปทางด้านหลัง ลูกธนูปรากฏขึ้นในทันที บุรุษหนุ่มง้างคันศรออกไปจนกระทั่งเป็นรูปดวงจันทร์!

“นี่คืออาวุธสังหารของเหล่าฟู เด็กน้อย เจ้าต้องตายในวันนี้!”

ความรู้สึกถึงวิกฤตอันร้ายแรงพุ่งขึ้นมาในจิตใจเมิ่งฮ่าว ราวกับเป็นเสียงกระหึ่มที่ดังก้องอยู่ภายในร่าง บอกให้รู้ว่าต่อไปเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน!

แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เมิ่งฮ่าวก็รู้สึกได้ว่าตะเกียงราชันที่แท้จริงภายในร่าง กำลังเริ่มรวมตัวกันมากขึ้น ราวกับว่ามันกำลังกระหาย…ต่อพลังที่กำลังถูกสร้างขึ้นมาโดยเซียวอี้หาน!

“ตะเกียงวิญญาณดวงที่สามสิบสามนี้…คือตะเกียงราชันของข้า ดังนั้น…”

แววตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้นด้วยความมุ่งมั่น เขามีเวลาไตร่ตรองน้อยมาก แทบจะในทันทีที่เซียวอี้หานดึงสายธนูไปทางด้านหลัง พื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวก็พุ่งทะยานขึ้น พื้นฐานโบราณเต็มอยู่ภายในร่าง และพลังกายเนื้อก็อยู่ในจุดสูงสุด เขาเรียกผีโต้งออกมาก่อตัวเป็นเกราะป้องกัน หยิบเอาอาวุธสงครามออกมา และเรียกไปยังตะเกียงสีโลหิต จากนั้นก็เรียกสุดยอดสะพานออกมา และเดินไปบนสะพานหนึ่งก้าว เพื่อเตรียมเผชิญหน้ากับการโจมตีมาของเซียวอี้หาน!

“ธนูดอกแรก!” เซียวอี้หานกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างเย็นชา ปลดปล่อยลูกธนูออกไป ครั้นแล้วปราณสีเขียวก็เริ่มไหลออกมาจากดวงตา หู จมูกและปากของมัน จากนั้นก็ถูกลูกธนูดูดซับเข้าไป ทำให้รูปร่างที่มองไม่เห็นของมันกลายเป็นสีเขียวไป!

เสียงกระหึ่มดังก้องขึ้น ขณะที่ลูกธนูสีเขียวกลายเป็นลำแสงสีเขียวพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว เหลือไว้แต่ภาพทับซ้อนของต้นไม้ใบหญ้า ซึ่งจากนั้นก็เบ่งบานและเจริญเติบโตขึ้นมา

ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายขึ้น ขณะที่ใช้สองมือตะปบไปที่ลูกธนูที่พุ่งเข้ามา เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องขึ้น เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะหยุดพลังของลูกธนูนั้นไว้ได้ โลหิตพุ่งออกมาจากฝ่ามือ และลูกธนูก็แทงตรงเข้าไปที่หน้าอก!

อย่างไรก็ตามเพราะว่าเมิ่งฮ่าวได้เบี่ยงเบนการโจมตีนั้น ทำให้ตำแหน่งที่ถูกแทงไม่ใช่หัวใจ แต่เป็นแค่ชิ้นเนื้อภายในร่างเท่านั้น ลูกธนูแทงทะลุออกไปพร้อมกับเสียงระเบิดขนาดใหญ่ เวลาเดียวกันนั้นพลังจากต้นไม้ใบหญ้าก็ระเบิดออก และต้นหญ้าสีเขียวก็งอกขึ้นมาจากบาดแผลของเมิ่งฮ่าวในทันที ขณะที่เขากระอักโลหิตออกมา

ดูเหมือนว่าเมิ่งฮ่าวจะได้รับบาดเจ็บ แต่ความเป็นจริงก็คือเขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ปล่อยให้ตนเองได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูดอกนั้นจริงๆ และตั้งใจให้มันแทงเข้ามาในร่าง เมื่อเป็นเช่นนี้ ตะเกียงราชันที่แท้จริง ซึ่งอยู่ด้านในก็เริ่มพลุ่งพล่านปั่นป่วน ขณะที่ดูดซับพลังจากการโจมตีนั้นอย่างบ้าคลั่ง

“ธนูดอกที่สอง!” เซียวอี้หานกล่าวขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ ยิ้มอย่างเย็นชา ดึงสายธนูไปทางด้านหลังอีกครั้ง ครั้งนี้หยดน้ำสีดำไหลซึมออกมาจากดวงตา หู จมูกและปากของมัน ทำให้กลายเป็นลูกธนูสีดำ และมันก็ยิงออกไปในทันที!

ต่อมาก็เป็นธนูดอกที่สาม และจากนั้นก็สี่!

หนึ่งเป็นธนูแห่งความมืดมิด ต่อมาเป็นธนูแห่งแสงสว่าง พวกมันกลายเป็นสองลำแสงพุ่งตรงไปยังเมิ่งฮ่าว

เมิ่งฮ่าวมองไปยังลูกธนูทั้งสามที่กำลังใกล้เข้ามา และดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้น เขารู้สึกได้ว่าตะเกียงวิญญาณดวงสุดท้าย…กำลังจะถูกจุดติดขึ้นมาแล้ว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!