ตอนที่ 180
ซานหลิง
เฉินฟ่านมองไปยังเมิ่งฮ่าว และหัวเราะเสียงดังออกมา จิตใจเต็มไปด้วยความสุข มันและเมิ่งฮ่าวกลายเป็นลำแสง พุ่งตรงไปยังศิษย์สำนักกูตู๋เจี้ยนคนอื่นๆ
เมื่อบุรุษแซ่หลี่เห็นเมิ่งฮ่าว เข้ามาใกล้พร้อมกับเฉินฟ่าน มันก็ขมวดคิ้ว
“ศิษย์น้องของข้าคุ้นเคยกับท่านอาจารย์ และต้องการที่จะไปเยี่ยมท่าน” เฉินฟ่านพูดเสียงราบเรียบเพื่ออธิบาย “มันจะกลับไปยังสำนักพร้อมกับพวกเรา”
บุรุษแซ่หลี่ไม่พูดจา มันแค่หันหลังกลับ และกลายเป็นลำแสงหลากสีพุ่งขึ้นไปในท้องฟ้า
“ศิษย์น้อง หลังจากที่พวกเรากลับไปถึงสำนัก ข้าจะไปวิงวอนให้อาจารย์รับเจ้าเป็นศิษย์ เจ้าก็จะได้กลายเป็นศิษย์น้องของสำนักกูตู๋เจี้ยน มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด ข้าไม่เคยร้องขอสิ่งใดๆ จากอาจารย์มาก่อน ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ท่านจะเห็นด้วยถึงเก้าในสิบส่วน แน่นอนว่า ข้าหวังว่าท่านไม่เพียงจะยินยอมรับเจ้าไว้เป็นศิษย์แค่ในนามเท่านั้น พลังฝึกตนของท่านอยู่ในขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง ดังนั้น ถึงแม้จะเป็นแค่ศิษย์ในนามของท่าน แต่ก็ยังคงมีตำแหน่งสูงในสำนักกูตู๋เจี้ยน” ดูเหมือนเฉินฟ่านจะวางแผนอนาคตให้กับเมิ่งฮ่าวไว้อย่างละเอียดรอบคอบ
เมิ่งฮ่าวลังเลอยู่ชัวครู่ จากนั้นก็กล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้าคิดว่ามันคงไม่จำเป็น จริงๆ แล้ว ข้ามีเรื่องที่จำเป็นต้องทำอยู่”
“ศิษย์น้อง!” เฉินฟ่านพูด สีหน้ามันทันใดนั้นก็เคร่งขรึมขึ้น “ข้าเข้าใจดีว่า เจ้าไม่ต้องการจะเข้าสังกัดสำนักอื่น ข้าก็เคยรู้สึกเช่นเดียวกันนี้มาก่อน ข้าต้องการเป็นศิษย์เพียงแค่สำนักเดียว ในตลอดชีวิตของข้า แต่…พวกเราก็เป็นผู้ฝึกตน สำนักเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินแดนด้านใต้ ใครก็ตามที่ไม่เป็นสมาชิกของสำนัก ก็จะเป็นผู้ฝึกตนเร่ร่อน เมื่อพูดถึงระดับพลังฝึกตน ผู้ฝึกตนเร่ร่อนก็ก้าวหน้าไปด้วยความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง หลายปีผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ โดยที่ได้ผลลัพธ์เพียงน้อยนิด”
“เจ้าจำเป็นต้องฟังข้าในเรื่องนี้ สำนักกูตู๋เจี้ยนอยู่ในอันดับหนึ่ง ของสำนักในดินแดนด้านใต้ กองหนุนแห่งเต๋าก็ลึกล้ำจนน่าเหลือเชื่อ มันเป็นสถานที่ซึ่งเราทั้งสองคนสามารถเติบโตขึ้นไปได้”
เมิ่งฮ่าวไม่ตอบ
ขณะที่พวกเขาเดินทางไป เฉินฟ่านก็ยังคงให้คำแนะนำต่อไป ตลอดเส้นทางจนกระทั่งเป็นตอนบ่ายของวันต่อมา ในที่สุด ประตูใหญ่สำนักกูตู๋เจี้ยนก็ปรากฎขึ้นที่เบื้องหน้า สุดท้าย เมิ่งฮ่าวก็พยักหน้า
รอยยิ้มของเฉินฟ่านกว้างขึ้น ขณะที่จ้องไปยังเมิ่งฮ่าวด้วยความอบอุ่นของคนรุ่นที่แก่กว่า มองไปยังเด็กน้อย ถึงแม้ว่า มันจะไม่ได้แก่กว่าเมิ่งฮ่าวมากนัก แต่ในสายตาของมัน เมิ่งฮ่าวก็ยังคงเป็นนักศึกษาหนุ่มที่เพิ่งจะเข้าสังกัดสำนักเมื่อไม่นานมานี้
สำนักกูตู๋เจี้ยนประกอบไปด้วยภูเขาที่ใหญ่โตมหึมา มองเห็นได้จากที่ห่างไกล ภูเขานี้เป็นภูเขาอันดับหนึ่งของทั้งดินแดนด้านใต้ ใหญ่เป็นร้อยเท่าของภูเขาลูกอื่นๆ ทั้งหมด
นามของภูเขาลูกนี้คือ…ภูเขาหนึ่งเดียวดาย!
ที่กำลังลอยอยู่เหนือมันในท้องฟ้า เป็นภูเขาอีกลูก ที่ดูเหมือนจะเป็นภาพสะท้อนของมันในกระจก จากที่ห่างไกล มองดูเหมือนเป็นนาฬิกาทราย ใครก็ตามที่มองไปยังมันในครั้งแรก ก็ต้องตกใจอย่างแน่นอน
นามของภูเขาลูกที่สองนี้คือ…ภูเขากระบี่เดียวดาย!
ภูเขาทั้งสองใหญ่มากจนแทบจะไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดของอีกด้านได้ เมิ่งฮ่าวไม่เคยเห็นภูเขาที่ใหญ่โตเช่นนี้มาก่อนในชั่วชีวิต เขาต้องสั่นสะท้านอยู่ในใจเมื่อมองเห็นพวกมันอย่างช่วยไม่ได้
ถ้ามันมีเพียงแค่สองภูเขานี้ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด แต่…ในจุดกึ่งกลางของภูเขาทั้งสอง เป็นกระบี่เล่มใหญ่มหึมา แทงทะลุภูเขาทั้งสองลูกลงไปในพื้นดิน
ด้ามกระบี่ยื่นออกมาจากภูเขา แทงทะลุขึ้นไปในท้องฟ้า
ลำแสงของดวงตะวันยามเช้ามากมายนับไม่ถ้วน กระจายเต็มพื้นที่บริเวณนั้น ทำให้เกิดความรู้สึกราวกับเป็นดินแดนแห่งสวรรค์อย่างแท้จริง
เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จากการที่ได้เห็นสำนักชิงหลัว และสำนักกูตู๋เจี้ยน ทำให้ตอนนี้ เขาได้เห็นสองสำนักใหญ่ แห่งดินแดนด้านใต้แล้ว สำนักชิงหลัวมีอิทธิพลอย่างที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ ความครั่นคร้ามอันเกิดมาจากพลังที่ทำให้ทุกคนต้องก้มหัวให้
แต่สำหรับสำนักกูตู๋เจี้ยน อาจจะไม่ทำให้ทุกคนต้องก้มหัวให้ แต่ต้องหวาดกลัวพวกมันแทน!
“ข้าสงสัยนักว่า สำนักใหญ่อื่นๆ จะเป็นเช่นไร…” เมิ่งฮ่าวคิดกับตัวเอง ขณะที่เขาจ้องไปยังสำนักกูตู๋เจี้ยน
กลุ่มคนทั้งหมดบินไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่พวกมันเข้าไปใกล้ภูเขาหนึ่งเดียวดาย พวกมันก็เข้าไปถึงพื้นที่ซึ่งถูกป้องกันไว้ด้วย เกราะที่ส่องแสงเป็นสีสันออกมาอย่างสวยงาม ด้านหน้าขึ้นไป บุรุษแซ่หลี่มองกลับมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสายตาที่เย็นชา จากนั้นมันก็ส่งเสียงแค่นอย่างเย็นชาออกมา และหายตัวเข้าไปในแสงนั้น
เมิ่งฮ่าวมองไปอย่างเรียบเฉยขณะที่มันจากไป ในความคิดของเขา บุรุษผู้นั้นเป็นคนที่มองไม่เห็นสิ่งลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ภายในอย่างแท้จริง ถ้าเฉินฟ่านไม่ได้หยุดเขาไว้ก่อนหน้านี้ บุรุษผู้นั้นถ้าไม่บาดเจ็บก็คงต้องตายไป ซึ่งคงต้องขึ้นกับอารมณ์ของเมิ่งฮ่าวในตอนนั้น
“ไม่ต้องเป็นห่วง” เฉินฟ่านกล่าว เห็นได้ชัดว่ามันกังวลใจต่อเมิ่งฮ่าว “เมื่อไหร่ที่ท่านอาจารย์รับเจ้าเป็นศิษย์ในนาม ศิษย์พี่หลี่ก็ไม่กล้ามารบกวนเจ้าอีก” มันส่งยิ้มปลอบใจมาให้ จากนั้นก็ดึงเมิ่งฮ่าวผ่านเข้าไปในเกราะหลากสีของแสง มันหยิบเอาแผ่นหยกออกมา เกิดแสงหมุนวนไปรอบๆ คนทั้งสอง ส่องประกายออกมา จากนั้นพวกเขาก็หายตัวไป
เมื่อพวกเขาปรากฎตัวขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาก็มาอยู่ที่เชิงเขาหนึ่งเดียวดาย บรรยากาศเต็มไปด้วยภาพของดอกไม้บาน และเสียงนกร้อง มองเห็นลำธารไหลริน มีศิษย์สำนักกูตู๋เจี้ยนไม่มากนักเดินไปมา เมื่อพวกมันเห็นเฉินฟ่าน แต่ละคนก็ประสานมือคารวะให้
เฉินฟ่านนำเมิ่งฮ่าวไปยังลานหน้าบ้าน “ศิษย์น้อง” มันกล่าว “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปแสดงความเคารพต่อท่านผู้อาวุโส จากนั้น ข้าก็จะไปหาท่านอาจารย์ ข้าอาจจะไม่ได้กลับมา จนกระทั่งตกกลางคืน เจ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่ไปก่อน หรือจะเดินไปรอบๆ ก็ได้ แต่อย่าไปไกลมากนัก เมื่อข้ากลับมา พวกเราจะได้นั่งพูดคุยกันตลอดคืน” มันจับไหล่เมิ่งฮ่าว จากนั้นก็หมุนตัวไป และบินเข้าไปในลำแสงหลากสีนั้น
เมิ่งฮ่าวมองมันจากไป จากนั้นก็มองไปรอบพื้นที่บริเวณนั้น เขาเปิดประตูรั้ว และเข้าไปในบ้าน มันถูกตกแต่งอย่างมีรสนิยมเป็นอันมาก ถึงแม้จะไม่ฟุ่มเฟือย แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปล่งประกายความลึกซึ้งออกมา โดยเฉพาะม้วนภาพมากมายที่ถูกสะสมไว้ เมิ่งฮ่าวเลือกตำราโบราณมาหนึ่งเล่ม และนั่งลงขัดสมาธิอ่านมันไป
หลังจากเวลาผ่านไป เขาก็วางม้วนตำราโบราณนั้นลง และท่าทางครุ่นคิดก็ส่องประกายอยู่ในดวงตา
“บางทีข้าน่าจะเข้าสังกัดสำนักกูตู๋เจี้ยน…” เขาคิดไป ขมวดคิ้วไปด้วย นี่ไม่ใช่ทางเลือกแรกของเขา แต่ก็แน่นอนว่าสำนักชิงหลัวต้องไม่ปล่อยให้เรื่องของผีโต้งผ่านไปได้อย่างง่ายดาย การเข้าสังกัดสำนักกูตู๋เจี้ยนอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่เลวร้ายมากนัก
ดวงตาของเขาสาดประกายความดื้อรั้นออกมา ขณะที่คิดไปถึงสำนักจื่อยิ่น การขจัดพิษในร่าง ไม่ใช่เป็นเหตุผลเดียวที่เขาต้องการจะทำ “ข้ายังคงโน้มเอียงไปยังสำนักจื่อยิ่น” เขาคิด “ข้าต้องการเรียนรู้ลมปราณม่วงบูรพาอย่างแท้จริง…” ด้วยวิชานั้น เขาก็จะสร้างแกนสีม่วง ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของขั้นสร้างแกนลมปราณได้
“ยิ่งไปกว่านั้น, ข้าต้องการจะเรียนรู้วิชาปรุงยา ข้าไม่อาจจะพึ่งพาคนอื่นปรุงยาให้ข้าอยู่ตลอดเวลา ข้าต้องปรุงเม็ดยาด้วยตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดยาแกนสมบูรณ์…” เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่นตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดเป็นเวลานาน จนในที่สุด เวลาเย็นก็มาถึง แสงตะวันสาดส่องมาจากด้านนอก เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และไม่เห็นเฉินฟ่านกลับมา จึงตัดสินใจก้าวเท้าออกไปจากตัวบ้าน เพื่อมองดูภูเขาหนึ่งเดียวดายสักเล็กน้อย
ดวงตะวันที่กำลังตกลงไป สาดแสงไปบนภูเขา ทำให้มองดูค่อนข้างมืดสลัว กลุ่มหมอกเริ่มพุ่งขึ้นมาอยู่รอบๆ ภูเขา และขณะที่เมิ่งฮ่าวมองดูอย่างละเอียด ม่านตาเขาก็หดเล็กลง
ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นหญิงสาวสวมใส่ชุดเขียวสลับฟ้า ลอยลงมาจากเส้นทางบนภูเขาหนึ่งเดียวดายนั้น
การปรากฎตัวของหญิงสาวนางนี้ ทำให้ความมืดสลัวในพื้นที่รอบๆ บริเวณนั้นกระจ่างสดใสขึ้นมาในทันใด เสียงผู้คนคุกเข่าลงไปบนพื้น และเสียงนอบน้อมของพวกมันก็ได้ยินมา
“นั่นเป็นศิษย์พี่ซานหลิง”
“เป็นศิษย์พี่ซานหลิงจริงๆ ด้วย ข้าได้ยินมาว่า ทุกวันที่เก้าของทุกเดือน เวลาสนธยา นางจะลงมาจากภูเขาเพื่อเก็บหยดน้ำค้าง…”
“ขอคารวะ ศิษย์พี่ซานหลิง”
เสียงเหล่านั้นดังลงมายังเมิ่งฮ่าว เขามองไปขณะที่หญิงสาวค่อยๆ ลอยลงมาจากภูเขาอย่างช้าๆ และจิตใจของเขาก็เต้นรัวในทันที เสียงของแผ่นหยกผนึกอสูรดังขึ้นมาในศีรษะ
“หินของภูเขาลูกที่เก้าตกลงมา และกลายเป็นภูเขาลูกใหม่ ภูเขา (山= ซาน) มีวิญญาณ (灵 = หลิง) และวิญญาณก็คืออสูร เจตจำนงของมันไม่ได้เป็นของโลกแห่งนี้ ถ้าเจ้าได้เผชิญหน้ากับมัน…ถ้ามันดี ก็ยินยอมให้มันเปลี่ยนไป, ถ้ามันชั่วร้าย ให้ผนึกและทำลายมัน เจ้าต้องเลือกเองหลังจากที่ได้ตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้ว”
เสียงนั้นดังก้องอยู่ในจิตใจของเมิ่งฮ่าว เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ สักพักเพื่อตั้งสติ เขาคุ้นเคยกับความแปลกประหลาดของแผ่นหยกผนึกอสูร มองไปยังหญิงสาว และสายตาของเขาก็เปล่งแสงแปลกๆ ออกมา
ผู้ฝึกตนกลุ่มใหญ่ได้บินมา และโค้งตัวไปยังหญิงสาวนางนั้น พร้อมกับพูดเสียงนอบน้อมออกมา หนึ่งในคนกลุ่มนั้น ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากบุรุษวัยกลางคนแซ่หลี่ ซึ่งโค้งตัวไปที่หญิงสาวด้วยความสุภาพ
ในตอนที่สายตาของเมิ่งฮ่าวตกไปกระทบที่ตัวหญิงสาว นางก็มองลงมาที่เขา และดูเหมือนจะหยุดชะงักอยู่กลางอากาศเล็กน้อย ความคมกล้าเต็มอยู่ในดวงตา ขณะที่นางมองมายังเมิ่งฮ่าว
คนทั้งสองสบสายตากันไม่กี่อึดใจ คิ้วของหญิงสาวก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย จากนั้น นางก็มองไปทางอื่น และมุ่งหน้าต่อไปยังที่ห่างไกล นางจากไป แต่บุรุษแซ่หลี่ สังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ของคนทั้งสอง
มันยังสังเกตเห็นคิ้วที่ขมวดขึ้นของซานหลิงอีกด้วย มันส่งเสียงเย็นเยียบอยู่ในลำคอ จากนั้นร่างของมันก็แวบขึ้น และพุ่งตรงลงมายังเมิ่งฮ่าว
ทำให้ศิษย์สำนักกูตู๋เจี้ยนที่อยู่รอบๆ บริเวณนั้นเกิดความสนใจขึ้น เพียงชั่วพริบตา บุรุษแซ่หลี่ก็ลอยอยู่บนลานบ้านที่เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ มันมองลงมา แสงอันเย็นชาส่องอยู่ในดวงตา
“เจ้าอีกแล้ว!” มันพูดเสียงเย็นชา “ครั้งแรกเจ้าไม่ประมาณตน ตอนนี้เจ้าก็กล้าไม่แสดงความเคารพต่อศิษย์พี่ซานหลิงแห่งสำนักกูตู๋เจี้ยน! เจ้ามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใดกัน?!” คำพูดของมัน ทำให้ศิษย์ที่อยู่รอบบริเวณนั้น ต่างก็มองมายังเมิ่งฮ่าว
“คนผู้นี้เป็นใคร?”
“มันดูคุ้นๆ แต่ข้าไม่คิดว่าจะเคยเห็นมันมาก่อน…”
“ข้าจำมันได้ นั่นเป็นแขกที่ศิษย์พี่เฉินพามาเมื่อตอนบ่ายนี้ ศิษย์พี่หลี่ต้องการอะไรจากมัน?”
สีหน้าของเมิ่งฮ่าวยังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่เขามองขึ้นไปยังท่าทางหยิ่งผยองของคนแซ่หลี่
“ความหมายตรงๆ ของท่านคืออะไร, ใต้เท้า?” เมิ่งฮ่าวพูดเสียงราบเรียบ
“ไม่ว่าเจ้ามาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด, เจ้าก็อยู่ในสำนักกูตู๋เจี้ยนแล้ว จากการแสดงออกของเจ้า ข้าคิดว่าจำเป็นต้องช่วยศิษย์พี่ของเจ้าสั่งสอนบทเรียนแก่เจ้าบ้าง” เห็นได้ชัดว่า มันไม่ได้สนใจจะสั่งสอนบทเรียนใดๆ ให้แก่เมิ่งฮ่าว มันรู้สึกไม่ดีกับเขาตั้งแต่ตอนแรก และเมื่อไปรวมกับการขมวดคิ้วของซานหลิง ทำให้มันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีมากขึ้น มันยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้น พลังของวงจรอันยิ่งใหญ่แห่งพื้นฐานลมปราณก็ระเบิดออกมา
“ไร้สาระ” เมิ่งฮ่าวพูดเสียงราบเรียบ มือของคนแซ่หลี่ตกลงมา ภาพลวงตาของกระบี่เล่มใหญ่มหึมาก็ปรากฎขึ้น มันพุ่งลงมายังเมิ่งฮ่าว ระเบิดพลังของวงจรอันยิ่งใหญ่แห่งพื้นฐานลมปราณออกมา
ดวงตาเมิ่งฮ่าวแวบแสงเย็นชาออกมา และเขาก็ยกมือขึ้น เขาไม่ได้มีความรู้สึกดีใดๆ ให้กับคนผู้นี้ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำสิ่งใดจริงๆ มีดบินสีดำเล่มเล็ก ก็พุ่งตรงมาที่พวกเขา และกระแทกเข้าไปในภาพกระบี่ของบุรุษแซ่หลี่
เสียงระเบิดดังกึกก้องออกมา และภาพกระบี่ก็แตกออกเป็นชิ้นๆ ใบหน้าบุรุษแซ่หลี่แวบขึ้น ขณะที่เฉินฟ่านพุ่งเป็นลำแสงหลากสีตรงมา
“ศิษย์พี่หลี่, ท่านยังคงตามมาราวีศิษย์น้องข้า ด้วยพลังฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณเทียม ท่านคิดว่าจะสามารถทำให้ข้าต้องเสียหน้าได้? ข้าเป็นหนึ่งในเจ็ดบุตรกระบี่เดียวดาย ท่านคิดว่าท่านเป็นใคร?”