Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 577

ตอนที่ 577

พันธมิตรอสูรผู้ถูกตามใจ

เพียงชั่วพริบตา เวลาสิบกว่าวันก็ผ่านไป ศิษย์ยอดเขาสี่ค่อยๆ สังเกตเห็นว่า ปรมาจารย์น้อย อันธพาลผู้ถูกตามใจอันดับหนึ่ง ได้มีนิสัยเปลี่ยนไปเมื่อเร็วๆ นี้อย่างไม่คาดคิด เขาไม่ได้ก้าวเท้าออกไปจากยอดเขาสี่เลยแม้แต่น้อย

เขามักจะใช้เวลาทั้งวันในการได้รับความรู้แจ้งจากเวทแห่งเต๋า หรืออาจจะไปฝึกฝนร่างกายอยู่ในถ้ำโลกันต์ อันที่จริงความผิดปกตินี้ทำให้ศิษย์ยอดเขาสี่ต่างก็รู้สึกตื่นตระหนก แม้แต่เคออวิ๋นไห่ก็แทบไม่อยากจะเชื่อ แต่หลังจากที่เฝ้าสังเกตดูเคอจิ่วซืออยู่สองสามครั้ง ก็มองเห็นรอยยิ้มที่พึงพอใจอยู่บนใบหน้าของเคออวิ๋นไห่

เมิ่งฮ่าวจมอยู่ในการฝึกฝนพลังฝึกตนโดยสิ้นเชิง เขาไม่สนใจเรื่องราวภายนอกใดๆ แม้แต่การตื่นขึ้นมาของผู้ฝึกตนอื่นๆ แห่งดาวหนานเทียนที่เหลือทั้งหมด

การกลั่นสกัดร่างกายทำให้เขามีความแข็งแกร่งมากขึ้นพร้อมกับแต่ละวันที่ผ่านไป ในตอนนี้ เขาคงอยู่ในวิญญาณดวงแรก แต่ความแข็งแกร่งของร่างกายก็เทียบเท่ากับ ตอนที่เข้าไปในวิญญาณดวงที่สองความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้เมิ่งฮ่าวตระหนักว่าเขามาถูกทางแล้ว!

“ถ้าข้าไปถึงจุดที่ร่างกายในวิญญาณดวงแรก แข็งแกร่งเท่ากับตอนที่อยู่ในวิญญาณดวงที่เจ็ด ถึงแม้ว่าข้าไม่ได้เปลี่ยนพื้นฐานฝึกตน ร่างกายของข้าก็อาจจะบรรลุถึงจุดเดียวกับ…วิญญาณดวงที่เจ็ด!” จิตใจเขาเต้นรัวอย่างรวดเร็ว มีความรู้สึกว่าในตอนนี้ การฝึกฝนร่างกายในอาณาจักรที่สองนี้ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญเทียบเท่ากับการฝึกฝนวิชาเวท

เป็นโอกาสอันน่าเหลือเชื่อที่มีให้เฉพาะตัวเขาเองเท่านั้น ในอดีตที่ผ่านมา ไม่เคยมีผู้ฝึกตนคนใดจะมีโอกาสได้ครอบครองโชคชะตาเช่นนี้ในอาณาจักรที่สอง

เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และแสงเจิดจ้าก็สาดประกายอยู่ในดวงตา

ไม่กี่วันมานี้ เขาและสวี่ชิงได้ใช้เวลาทำความเข้าใจรู้แจ้งในสามร้อยเวทแห่งเต๋า แน่นอนว่าทั้งสองต่างก็มุ่งเน้นไปที่วิชาเวทที่แตกต่างกัน เมื่อเมิ่งฮ่าวสรุปได้ว่าเขาไม่อาจจะรู้แจ้งในวิชาใด เขาก็จะเปลี่ยนเป็นอีกวิชาหนึ่งในทันที

ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา เมิ่งฮ่าวได้อ่านดูหมดทั้งสามร้อยวิชา จนสุดท้ายก็เหลืออยู่แค่สามวิชา ที่เขาเลือกจะมุ่งความสนใจไปเรียนรู้ หนึ่งเป็นเวทกลืนภูเขา สองเป็นเวทกลายอสูรสวรรค์ และสุดท้ายก็คือ…

เวทแยกวิญญาณของเคอจิ่วซือ!

“เวทกลืนภูเขาเป็นวิชาที่ฝึกฝนทั้งภายในและภายนอก แต่จุดหลักก็คือการฝึกฝนร่างกาย ด้วยการฝึกฝนเช่นนั้นไปจนถึงจุดสูงสุด คนผู้นั้นก็จะสามารถกลายเป็นเซียนมนุษย์!”

“สำหรับเวทกลายอสูรสวรรค์ ซึ่งอยู่ในลำดับที่เก้าสิบหก…เป็นวิชาเวทที่น่ากลัวยิ่งซึ่งต้องใช้วิญญาณอสูร ด้วยการหลอมรวมวิญญาณอสูรเข้าไปในร่าง ก็จะสามารถกลายเป็นอสูรอันยิ่งใหญ่ มีอยู่ถึงสิบเก้าระดับ แต่ละระดับก็สามารถแปลงกายเป็นอสูรที่แตกต่างกันในสวรรค์และปฐพี!”

“สำหรับเวทแยกวิญญาณ…มันเป็นเต๋าที่ไม่มีวันตาย!” ดวงตาเมิ่งฮ่าวสาดประกายด้วยแสงแปลกๆ แน่นอนว่าสามเวทแห่งเต๋านี้ เวทแยกวิญญาณเป็นวิชาที่ลี้ลับมากที่สุด จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่หนึ่งในวิชาเวททั้งสามพันของสำนักเซียนอสูร แต่เป็นสิ่งที่เคออวิ๋นไห่ได้รับมาเนื่องจากความโชคดีบางอย่างของตัวเอง จากพื้นฐานฝึกตนและความรู้ของมัน ทำให้รู้ว่าวิชานี้สามารถถือได้ว่าเป็นของวิเศษอันล้ำค่า แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับมันในแง่ของการฝึกตน จึงเป็นเหตุผลที่ทำไมมันถึงได้แนะนำให้กับเคอจิ่วซือ

เวทแยกวิญญาณทำให้คนผู้หนึ่งสามารถฝึกฝนวิญญาณที่ไม่มีวันตายได้ การเกิดใหม่แห่งสวรรค์และปฐพีไม่อาจจะทำลายวิญญาณเช่นนี้ลงได้ ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจะตายไป ไม่ว่าจะผ่านมาแล้วกี่ปีก็ตามที ร่างกายเลือดเนื้อก็จะถือกำเนิดขึ้นมาใหม่

นี่เป็นวิชาที่…ต่อต้านสวรรค์!

ยิ่งเมิ่งฮ่าวมีความเข้าใจวิชาต่างๆ เหล่านี้มากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งตระหนักว่าสำนักเซียนอสูรนี้ช่างน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ตลอดช่วงสิบวันที่ผ่านมา เขาใช้เวลาสังเกตดูศิษย์ของสำนักเซียนอสูรบางคน ขณะที่พวกมันฝึกฝนพลังฝึกตน ในช่วงเวลานั้น เขาก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของภาพศักดิ์สิทธิ์

อันที่จริง บางวิชาของสามร้อยเวทแห่งเต๋าก็มีกลิ่นอายเช่นนี้ เมื่อเขาตรวจสอบอย่างละเอียด ก็เห็นได้ชัดว่าเมื่อฝึกฝนถึงระดับหนึ่งก็จำเป็นต้องใช้รอยสักภาพศักดิ์สิทธิ์

การค้นพบนี้ช่วยยืนยันข้อสงสัยของเมิ่งฮ่าวจากเมื่อหลายปีก่อน ดูเหมือนว่าสัตว์ปีศาจภาพศักดิ์สิทธิ์แห่งทะเลทรายตะวันตก จะมีต้นกำเนิดมาจากสำนักเซียนอสูร

ความตกตะลึงของเมิ่งฮ่าวมีแต่จะเพิ่มขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เขาเรียนรู้เกี่ยวกับสำนักเซียนอสูรได้มากขึ้น เขาเพ่งสมาธิไปที่การฝึกฝนเวทกลืนภูเขา และมุ่งเน้นไปที่เวทกลายอสูรสวรรค์ สำหรับเวทกลายอสูรสวรรค์ เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะได้รับความรู้แจ้งโดยละเอียด ถึงแม้จะสังเกตเห็นถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างวิชานี้ กับเวทกลายเจ็ดวิญญาณของเขาก็ตามที

สำหรับเวทแยกวิญญาณ มันเป็นวิชาที่น่าตกใจยิ่ง แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่เขาไม่อาจจะได้รับความรู้แจ้งได้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุด เมิ่งฮ่าวก็อยู่ในอาณาจักรที่สองนานถึงหนึ่งเดือน ในช่วงเวลานั้น สวี่ชิงไม่ได้ออกมาจากถ้ำแห่งเซียนเลย นางจมอยู่ในการได้รับความรู้แจ้งในเวทแห่งเต๋าโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งในที่สุด เมิ่งฮ่าวก็ล้มเลิกการฝึกวิชาเวทแยกวิญญาณ และเวทกลายอสูรสวรรค์ และไปมุ่งเน้นที่การฝึกฝนเวทกลืนภูเขาแทน

เมิ่งฮ่าวยังได้ใช้เวลาเข้าไปในถ้ำโลกันต์ ซึ่งเขาได้ทำการกลั่นสกัดร่างกายอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขาสามารถอยู่ข้างในถ้ำโลกันต์ได้นานถึงสามสิบลมหายใจ ในตอนนี้ร่างกายเขามีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

อันที่จริง เมื่อผู้ที่ถูกตามใจคนอื่นๆ ซึ่งเคยถูกลงโทษพร้อมกับเมิ่งฮ่าว ได้มาเยี่ยมเยียนบนยอดเขาสี่ พวกมันต่างก็รู้สึกประหลาดใจจากการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ที่เกิดขึ้นในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาของเขา

“หลังจากที่โดนลงโทษ ข้าก็คิดได้” เมิ่งฮ่าวกล่าว “ถ้าร่างกายข้ามีความแข็งแกร่งเพียงพอ บางทีการลงโทษนั้นก็อาจจะไม่ทำให้ข้าบาดเจ็บมากนัก” เมื่อเขาเห็นสีหน้าแปลกๆ ของกลุ่มผู้ที่ถูกตามใจ เขาก็กระแอมไอออกมาและจากนั้นก็กล่าวต่อด้วยความสัตย์ซื่อ “ข้ามีความรู้สึกว่าต้องมีสักวัน ที่ข้าอาจจะต้องพบกับการถูกฟาดโบยห้าครั้ง บางทีอาจจะเป็นหกหรือมากกว่านั้น ถ้าข้าไม่ฝึกฝนให้ร่างกายของข้าแข็งแกร่งเพียงพอ ก่อนที่เรื่องเช่นนั้นจะเกิดขึ้น ข้าก็คงจะถูกฟาดจนตายไปอย่างแน่นอน” เมื่อได้ยินเช่นนี้ กลุ่มคนที่ถูกตามใจอื่นๆ ต่างก็ดูเหมือนจะจมอยู่ในห้วงความคิด เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่เมิ่งฮ่าวกล่าวมา พวกมันรู้สึกว่าสมเหตุสมผลยิ่ง

สักพักหลังจากนั้น เมิ่งฮ่าวก็เรียกสวี่ชิง ทั้งสองพร้อมกับกลุ่มคนที่ถูกตามใจ ออกไปจากยอดเขาสี่เป็นครั้งแรกในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอก เสียงกระหึ่มก็ได้ยินมา และดอกบัวสีขาวก็ปรากฏขึ้นในอากาศ

เมื่อศิษย์คนอื่นๆ บนยอดเขาต่างๆ มองเห็นดอกบัว พวกมันก็ก้มศีรษะลงด้วยความระมัดระวังตัว คนทั้งหมดต่างก็รู้ว่ากลุ่มอันธพาลที่เงียบมาหนึ่งเดือน ตอนนี้กำลังจะปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง

เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ในฝูงชน สบตาทักทายกับสหายต่างๆ ที่ใกล้เข้ามา ไม่นานนักก่อนที่เขาจะถูกห้อมล้อมไว้ด้วยกลุ่มคนนับร้อย พวกเขาบินผ่านสำนักเซียนอสูรไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะลอยออกไปในสายลม เมื่อคนอื่นๆ เห็นว่าสวี่ชิงอยู่ด้วยกับเมิ่งฮ่าว พวกมันก็ส่งยิ้มอย่างเข้าใจออกมา และทุกคนก็ให้ความสนใจต่อนางมากเป็นพิเศษ

ในที่สุด กลุ่มคนทั้งหมดก็เข้าไปใกล้ภูเขาเตี้ย ที่เป็นส่วนหนึ่งของยอดเขาเจ็ดแห่งสำนักเซียนอสูร ภูเขาลูกนี้เป็นเขตหวงห้ามอย่างไม่เป็นทางการ ที่อยู่ภายในสำนัก

มันไม่ใช่เขตหวงห้ามที่เป็นทางการ อันที่จริง นี่เป็นสถานที่ซึ่งกลุ่มผู้ที่ถูกตามใจของสำนักได้ยึดครองไว้ เพื่อเป็นสำนักงานใหญ่ของพวกมัน หลังจากนั้น มันก็กลายเป็นเขตหวงห้าม ตามที่ศิษย์แห่งสำนักเซียนอสูรเข้าใจ

บนยอดเขาเตี้ยลูกนี้ มีวิหารที่โอ่อ่าหรูหราอยู่แห่งหนึ่ง เมิ่งฮ่าวนั่งลงในตำแหน่งที่ทรงเกียรติ ถูกห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มคน บางคนก็ไปนั่งอยู่ในตำแหน่งตามลำดับของบรรพบุรุษตระกูล ในที่สุดก็มีคนนั่งอยู่ประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบคน พวกมันหัวเราะและพูดคุยนินทาเกี่ยวกับสำนัก สนใจเรื่องราวที่อยู่ภายนอกด้วยกัน

ข้างกายเมิ่งฮ่าว นั่งไว้ด้วยบุรุษหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา พร้อมกับปีกสีดำ ซึ่งกำลังโอบกอดศิษย์หญิงสาวที่มีรอยยิ้มอยู่ “จิ่วซือ” มันกล่าว “น้องชายข้ารู้มาว่ายังมีศิษย์สายในบางคน ต้องการที่จะเข้าร่วมกับพันธมิตรอสูรของพวกเรา ข้าบอกว่าให้นำพวกมันมาในวันนี้เพื่อให้พวกเราได้เห็นหน้า ถ้าไม่มีปัญหาอันใด พวกเราก็จะยอมให้พวกมันเข้าร่วมได้”

เมิ่งฮ่าวไม่ค่อยคุ้นเคยกับพันธมิตรอสูรนัก เขารู้จากความทรงจำของเคอจิ่วซือว่า เป็นแค่การรวมตัวกันของผู้ที่ถูกตามใจทั้งหลาย สมาชิกทุกคนที่มาเข้าร่วมต้องยินดีที่จะทำตามข้อเรียกร้องของผู้ที่ถูกตามใจ

แน่นอนว่าต้องมีการจ่ายค่าเข้าร่วมนั้น เมื่อคิดว่าการกระทำเช่นนี้ถูกดำเนินการโดยส่วนตัวของผู้ถูกเลือกเอง

สำนักเซียนอสูรได้หลับตาลง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ จนกว่าพวกมันจะสร้างความวุ่นวายให้มากเกินไป นอกจากนี้ผู้อาวุโสของกลุ่มผู้ถูกตามใจทั้งหมดนี้ ต่างก็มีรากฐานอันลึกล้ำอยู่ในสำนัก ถึงแม้พวกมันจะทำสิ่งที่ไร้สาระมากมาย แต่ก็ยังมีความจงรักภักดีมากกว่าศิษย์ธรรมดาทั่วไปมากนัก

เมิ่งฮ่าวพยักหน้าตอบรับคำพูดของบุรุษหนุ่มผู้นั้น เขายกจอกสุราขึ้นมาดื่ม ที่นั่งอยู่ข้างกายเขาก็คือสวี่ชิง ซึ่งกำลังมองไปรอบๆ ยังฝูงชนด้วยความระมัดระวังตัว นางยังคงแทบไม่อยากจะเชื่อถึงตัวตนที่เมิ่งฮ่าวได้ครอบครองนี้

เวลาผ่านไปไม่นานนัก ก่อนที่ศิษย์ซึ่งปรารถนาจะเข้ามาร่วมกับพันธมิตรอสูรได้มาถึง พวกมันเดินผ่านเข้ามาในวิหารด้วยท่าทางสั่นไปทั้งตัว มองไปยังกลุ่มผู้ถูกตามใจที่อยู่รอบๆ ด้วยความวิตกกังวล หลังจากที่ยื่นส่งของกำนัลแรกเข้าที่นำมาให้อย่างรวดเร็ว พวกมันก็ประสานมือและโค้งตัวลงให้กับทุกคน

กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเดินเข้ามา หลังจากเวลาผ่านไปเล็กน้อย เมิ่งฮ่าวมองเห็นกลุ่มผู้ฝึกตนสามคน เป็นสองบุรุษและหนึ่งหญิงสาว ทั้งสามดูเหมือนจะกระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เมิ่งฮ่าวก็บอกได้ว่านั่นเป็นความกระวนกระวายใจที่เสแสร้งแกล้งแสดงออกมา ลึกลงไปในดวงตาพวกมัน สัมผัสได้ถึงความดูถูกรังเกียจต่อทุกคนที่พวกมันมองไป และเมิ่งฮ่าวก็สามารถรับรู้ได้

ทันทีที่เขามองเห็นพวกมัน เมิ่งฮ่าวก็เริ่มหัวเราะออกมา จนถึงตอนนี้คนทั้งสามก็มองเห็นว่า ที่กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งมากที่สุด ท่ามกลางกลุ่มคนผู้ถูกตามใจ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นเมิ่งฮ่าวเมื่อพวกมันมองเห็นเขา ศิษย์สายในทั้งสามก็เริ่มตัวสั่นสะท้าน และดวงตาพวกมันก็เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

พวกมันจดจำเมิ่งฮ่าวได้ และเมิ่งฮ่าวก็จดจำกลิ่นอายแห่งวิญญาณของพวกมันได้เช่นกัน

หญิงสาวในกลุ่มสามคนนี้ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเป็นจี้เซี่ยวเซี่ยว หนึ่งในพวกมันเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเมิ่งฮ่าว แต่ก็ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับจี้หมิงเฟิง เมิ่งฮ่าวแน่ใจว่ามันก็คือสมาชิกของตระกูลจี้เมิ่งฮ่าวรู้สึกประหลาดใจขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้เห็นคนสุดท้าย เขาขบคิดอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะจดจำได้ว่ามันคือใคร ซ่งอวิ๋นซู นั่นเอง

มันไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเป็นเต้าจื่อตระกูลซ่งแห่งดินแดนด้านใต้ ในช่วงที่ตระกูลซ่งคัดเลือกบุตรเขย เมิ่งฮ่าวได้ตำแหน่งที่หนึ่ง และกลายเป็นว่าที่สามีของบุตรสาวอันเป็นที่รักของตระกูลซ่ง, ซ่งเจี๋ย ถึงแม้เขาไม่เคยจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่หลังจากที่ได้เห็นซ่งอวิ๋นซูในวันนี้ ก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่าบุรุษผู้นี้คือใคร

“น่าสนใจนัก” เมิ่งฮ่าวกล่าว ดวงตาสาดประกายด้วยความเย็นชา “ใครจะไปคิดว่า ข้าจะมาพบกับพวกเจ้าทั้งสามในที่แห่งนี้ได้?!”

ข้างกายเมิ่งฮ่าว สวี่ชิงยิ้มออกมา ขณะที่นางมองไปยังกลุ่มคนทั้งสาม

คนทั้งสามไม่เคยจะคาดคิดว่า พวกมันจะมาเผชิญหน้ากับเมิ่งฮ่าวในสถานที่แห่งนี้ สีหน้าสลดลงในทันที ตัวตนของเมิ่งฮ่าวทำให้พวกมันต้องประหลาดใจโดยสิ้นเชิง พวกมันตระหนักดีถึงความหมายที่เมิ่งฮ่าวนั่งอยู่ในตำแหน่งเช่นนั้น ว่าเขาคือใคร

อย่างไรก็ตาม พวกมันก็ยังตกใจและไม่อยากที่จะเชื่อไปมากกว่านั้นอีก เมื่อพบว่ารูปร่างหน้าตาของเมิ่งฮ่าวไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

“มัน…มันได้ครอบครองตัวตนของศิษย์ชั้นยอด!” จี้เซี่ยวเซี่ยวคิด ดวงตาเบิกกว้าง “เคอจิ่วซือ! มันได้เคอจิ่วซือเป็นร่างอาศัย นั่น…นั่นเป็นไปไม่ได้! ศิษย์ชั้นยอด! นั่นเป็นร่างอาศัยที่มีอยู่แต่ในตำนานเท่านั้น!” นางเริ่มหอบหายใจขณะที่จิตใจกำลังหมุนเคว้งคว้าง

ข้างกายนางเป็นสมาชิกอีกคนของตระกูลจี้ มันไม่รู้จักเมิ่งฮ่าว แต่ก็รู้ว่าบุคคลที่กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งนั้น ต้องเป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในตำนานของสำนัก, เคอจิ่วซือเท่านั้น จิตใจมันสั่นสะท้านขณะที่ตระหนักว่าเมิ่งฮ่าว ก็เป็นบุคคลภายนอกเหมือนกับมัน

นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้มันตกตะลึงได้แล้ว แต่ที่น่าตกใจมากไปกว่านั้นก็คือว่า ฉับพลันนั้นมันก็นึกขึ้นได้ว่าเคอจิ่วซือได้สังหารศิษย์หลักแห่งยอดเขาแรกไปเมื่อเกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

ทันใดนั้น มันก็เริ่มรวบรวมชิ้นส่วนปริศนาเข้าด้วยกัน…

“มันสังหารจี้หมิงเฟิง!” มันร้องอยู่ในใจ “แย่แล้ว! ถ้ามันรู้ว่าข้ารู้เรื่องนี้ มันก็คงจะสังหารข้าเพื่อปิดปาก!!” สีหน้าสมาชิกตระกูลจี้สลดลง อันที่จริง มันอยากจะให้จี้หมิงเฟิงตกตายไปมากเกินกว่าใครๆ แต่ก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้

ซ่งอวิ๋นซูยืนอยู่ที่นั่นด้วยความงุนงง ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเมิ่งฮ่าวไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ทันใดนั้นมันก็เริ่มสงสัยว่า สิ่งที่มันกำลังมองเห็นอยู่นี้ใช่เป็นความจริงหรือไม่ แต่จากนั้นเมิ่งฮ่าวก็หัวเราะขึ้น สีหน้าเช่นนั้นก็ทำให้ซ่งอวิ๋นซู นึกไปถึงภาพของบุคคลที่กลายมาเป็นน้องเขยมันเมื่อปีนั้น, เมิ่งฮ่าว

“ศิษย์ชั้นยอด…มันเป็น…ศิษย์ชั้นยอดจริงๆ!!”

——————–

หมายเหตุ 1. ผมขอเปลี่ยนชื่อ 宋云书 ซ่งอวิ๋นซู แทนซ่งหยุนซู นะครับ เนื่องจากสำเนียงจีน คำว่า 云 (อวิ๋น = เมฆ) จะออกเสียงควบกล้ำที่คล้ายกับคำว่า หยุน ของไทย 2. ซ่งอวิ๋นซู คือ เต้าจื่อแห่งตระกูลซ่ง เริ่มปรากฏตัวในภาค 2 ช่วงการชุมนุมที่ตระกูลซ่ง ตอนที่ 192 : การละเล่นกับหานเป้ย

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!