บทที่ 11: จ้าวพยัคฆ์หัวเขียว
ฟุ่บ
เงารางๆ ของลูกธนูปรากฏขึ้นแทนที่หลังจากที่มันพุ่งแหวกอากาศไปยัง ‘อินทรีจิกโลหะ’ ที่อยู่กลางอากาศ ศรนี้มีพลังของวิชาศรฝนอุกกาบาตอยู่และถูกยิงด้วยดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่ม
“กี๊ซซซซ”
เสียงกรีดร้องแหลมอย่างกราดเกรี้ยวสามารถได้ยินจากอินทรีตัวนั้น ร่างของมันพุ่งเข้าหาจ้าวเฟิงพร้อมด้วยลูกธนูที่อยู่ในท้อง
“ไม่ดีแล้ว!”
เมื่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าของเด็กหนุ่มก็แปรเปลี่ยนไปในขณะที่เร่งรีบใช้ท่าเท้านภาลอยล่องเพื่อหลบหนีทันที
แม้ว่าธนูของเขาจะโดนเป้าหมาย ทว่ามันไม่ใช่จุดตายของมัน
ปฏิกิริยาตอบสนอง ความเร็วในการบิน และพลังป้องกันของมันนั้นเหนือกว่าสัตว์อสูรทั่วไปนัก สามารถเทียบเท่ากับสัตว์ปีศาจได้ ดังนั้นแล้วธนูดอกนั้นจึงไม่ได้สร้างความเสียหายมากมายแก่มัน
ปึก!
จ้าวเฟิงนั้นราวกับนกที่บินอย่างคล่องแคล่วผ่านไปในป่า แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ดวงตาซ้ายของเขาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่อสูรอินทรีที่บินตามเขามาอย่างไม่ลดละ
ฟุ่บ
ไม่นานศรอีกหนึ่งดอกก็ถูกยิงออก ทว่าแม้ว่าธนูดอกนี้จะโดนที่คอของมัน แต่มันไม่สามารถแทงทะลุผ่านขนของมันไปได้
“คอมักจะเป็นจุดอ่อนของสัตว์อสูรทั่วไป ดูจากที่มันไม่สามารถแทงทะลุเข้าไปได้แล้ว พลังป้องกันของเจ้านกนี่นับว่าวิปริตยิ่ง”
จ้าวเฟิงรู้สึกจนตรอก แต่บัดนั้นเองที่อินทรีนั้นได้ร่วงลงที่พื้นดิน นั่นเป็นเพราะว่าลูกธนูของเด็กหนุ่มได้อาบยาพิษไว้และบัดนี้พิษนั้นได้กระจายไปทั่วร่างของมันจนตายตกไป
เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจโล่งอกก่อนจะเผยความยินดีบนใบหน้า อินทรีจิกโลหะนี้มีค่าราวๆ 700-800 เงินเลยทีเดียว ยิ่งเมื่อรวมเข้ากับงูลายทอง ตอนนี้เด็กหนุ่มมีเงินเกิน 1000 เงินแล้ว เขาไม่เคยร่ำรวยเช่นนี้มาก่อนตลอดชีวิตที่ผ่านมา
“ทว่าเงินที่ข้ามีในตอนนี้ยังไม่อาจซื้อทรัพยากรมีค่าอันใดได้” แม้ว่าจ้าวเฟิงจะตื่นเต้น แต่เขาก็เยือกเย็นลงอย่างรวดเร็ว
สามวันถัดไป ร่างของเด็กหนุ่มก็ยังคงวิ่งวนไปรอบๆ ป่าเมฆาคล้อย ทุกคราที่เขาน้าวสายธนู เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจะดังตามมาหลังจากนั้น
“ตะขาบพิษ 5 ตัว พิษร้ายแรงอย่างมาก สามารถใช้ผลิตไวน์และเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายผู้ดื่มได้ ราคา 200 เงิน…”
“นกวายุเขียว ความแข็งแกร่งอยู่ที่ราวๆ ขั้นสามแห่งผู้ฝึกตนขั้นสุดยอด ราคา 900 เงิน…”
“หมูป่าจุดดำ ความแข็งแกร่งใกล้เคียงขั้นสาม ราคา 400 เงิน…”
เพื่อที่จะฆ่าสัตว์อสูรให้ได้มากที่สุด จ้าวเฟิงได้ใช้ท่าเท้านภาลอยล่องและศรฝนอุกกาบาตอย่างเต็มประสิทธิภาพเท่าที่จะทำได้
ด้วยการกระทำเช่นนั้น นภาลอยล่องก็ถูกฝึกจนกระทั่งเข้าสู่ระดับต่ำ ความเร็วของเขานั้นเรียกได้ว่ามากกว่าผู้ฝึกตนขั้นสามของพรรค ใกล้เคียงกับขั้นสี่
ส่วนศรฝนอุกกาบาตนั้นถูกฝึกสู่ขั้นสุดยอดของระดับสูงอย่างง่ายดาย
จ้าวเฟิงคิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่าเขาอาจจะเกิดมาเพื่อเป็นนักธนู หากบัดนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับอินทรีจิกโลหะอีกครั้ง เพียงแค่ศรดอกเดียวเขาก็สามารถฆ่ามันได้
สามวันที่ผ่านมานั้นเขาได้รับประโยชน์มาก เขาฆ่าอินทรีจิกโลหะเพิ่มอีกสองตัว เช่นเดียวกับสัตว์อสูรชนิดต่างๆ อีก 7-8 ตัว
“ตอนนี้ซากสัตว์อสูรที่ข้ามีนั้นราคารวมกันราวๆ 3000-4000 เงินแล้ว”
ใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความพึงพอใจในขณะที่จัดกระเป๋าใบใหญ่สองกระเป๋า
ในระหว่างเดินทางกลับนั้น เขาก็ยังคงใช้ดวงตาซ้ายของเขาในการล่าเหยื่อ เพราะสายตาของเขาถูกบดบังด้วยต้นไม้ ดังนั้นเขาจึงไม่มั่นใจว่าจะมีเป้าหมายไหนที่หลุดรอดไปจากสายตาเขาหรือไม่หากไม่ใช้มัน
โฮกกกกก
ในตอนนั้นเอง เสียงคำรามทรงพลังก็ดังขึ้นจากทิศเหนือของป่า เสียงคำรามนี้ทำให้แก้วหูของเด็กหนุ่มสั่นสะท้านอย่างเจ็บปวด
“สัตว์อสูรตัวใดกัน? ทรงพลังนัก”
จ้าวเฟิงรีบใช้นัยน์ตาซ้ายมองไปทางต้นเสียง ห่างจากจุดที่เขาอยู่ 4-5 ไมล์ มีร่างของพยัคฆ์หัวเขียวขนาดราวๆ 5 เมตรยืนอยู่
พยัคฆ์หัวเขียวนั้นตัวใหญ่กว่าเสือทั่วไป และมีกลิ่นอายของการทำลายล้าง เสียงคำรามของมันทำให้สิ่งมีชีวิตในระยะ 10 กิโลเมตรต้องตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง
ข้างหน้ามันนั้นปรากฏร่างของเด็กหนุ่มราวๆ 5-6 คนที่มีขั้นผู้ฝึกตนอยู่ที่ขั้นสองถึงสามกำลังวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัว
“ทุกคนแยกกัน!”
ผู้นำของกลุ่มเป็นเด็กหนุ่มที่มีแผลเป็นบนใบหน้า เขามีอายุราว 15-16 ปีและอยู่ในขั้นสามแห่งผู้ฝึกตน เขาถือดาบยาวไว้ในมือขณะแกว่งมันเพื่อตัดต้นไม้โดยรอบ หวังจะขัดขวางสิ่งที่ตามมาด้านหลัง
ตูม!
อสูรพยัคฆ์วาดอุ้งเท้าของมันไปยังต้นไม้ที่ล้มลงจนไม้นั้นกระจายเป็นเสี่ยง
“ความแข็งแกร่งของสัตว์ปีศาจนับว่าอันตรายนัก” จ้าวเฟิงคิด
เมื่อสัตว์อสูรได้พัฒนากลายเป็นสัตว์ปีศาจ มีเพียงผู้ฝึกตนขั้น 4 หรือสูงกว่าเท่านั้นที่จะสามารถรับมือได้ และความแข็งแกร่งของจ้าวพยัคฆ์นั้นสามารถฆ่าจ้าวเฟิง 2- 3 คนได้ด้วยการตบเพียงครั้งเดียว
“ซินเฟ่ย! ระวัง!” สียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งตะโกนขึ้น
ร่างของจ้าวพยัคฆ์หัวเขียวได้มุ่งตรงไปยังเด็กหนุ่มหน้าบากซึ่งแข็งแกร่งที่สุด
“พวกนั้นสกุลซินรึ? เป็นศิษย์ของพรรคซินที่เป็นหนึ่งในสามพรรคใหญ่ของเมืองประกายอรุณนั่น?” จ้าวเฟิงมองหาสัญลักษณ์บนเสื้อผ้าของคนกลุ่มนั้นเพื่อยืนยันการคาดเดาของตน
ตูมมม
ทุกที่ที่จ้าวพยัคฆ์หัวเขียวผ่าน ความพินาศก็จะตามไปติดๆ ราวกับไม่มีสิ่งใดขัดขวางความต้องการของมันได้
ผู้เรียนรู้การฝึกตนโดยทั่วไปนั้นอาจตายตกไปเพราะความหวาดกลัว ทว่าจ้าวเฟิงกลับเห็นว่า ‘ซินเฟ่ย’ ผู้นี้แข็งแกร่งยิ่ง เขามีวิชาดาบเช่นเดียวกับท่าเท้าที่เป็นวิชาระดับสูง
“ดาบของซินเฟ่ยผู้นี้สามารถตัดผ่านต้นไม้ได้อย่างง่ายดาย พลังของเขาอาจมากกว่าผู้ฝึกตนขั้นสามทั่วไปกว่า 2 เท่า เขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าจ้าวยี่จาง”
“เร็วเข้า! ช่วยซินเฟ่ย!” ศิษย์ของตระกูลซินสองคนดึงธนูของพวกเขาออกมาและเริ่มโจมตีอสูรเสือ ทว่าการโจมตีของพวกเขาทำได้เพียงสร้างความรำคาญให้กับมันเท่านั้น
พลังป้องกันของพยัคฆ์ตัวนี้สูงยิ่งกว่าอินทรีจิกโลหะอย่างน้อย 2-3 เท่า ดังนั้นทุกการโจมตีจากผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าขั้น 4 นั้นให้ความรู้สึกราวกับสะกิดเท่านั้น
“หากข้าฆ่าจ้าวพยัคฆ์หัวเขียวได้ มันจะมีค่าราวๆ สองหมื่นถึงสามหมื่นเงิน ซึ่งเทียบเท่ากับสัตว์อสูรราวๆ 40 ตัว” จ้าวเฟิงคิดแผนการที่อันตรายขึ้นได้
ปึก! ปึก!
เขาใช้นภาลอยล่องและเข้าไปใกล้ยังสถานที่ต่อสู้ในทันที เมื่อเด็กหนุ่มไปถึง ศิษย์ตระกูลซินทั้งหกล้วนแต่อยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล
“ดาบผ่าวายุ!”
ซินเฟ่ยพุ่งตัวไปในขณะที่ใช้ดาบยาวแทงตรงไปยังหน้าผากของอสูรเสือ
เป็นดาบที่อันตรายอันใดเช่นนี้!
จ้าวเฟิงเห็นทุกการเคลื่อนไหวของดาบนั้น พลังทำลายของมันนั้นสามารถฆ่าผู้ฝึกตนขั้นสามโดยทั่วไปได้ 2 คน เขาไม่อาจแม้แต่จะป้องกันมัน
เขายังรู้สึกได้ถึงพลังบางเบาสีเขียวซีดภายในร่างของซินเฟ่ยซึ่งเป็นสัญญาณของพลังภายในที่กำลังถูกสร้างขึ้น
ฉัวะ!
ดาบนั้นตัดลงไปในศีรษะอันใหญ่โตของจ้าวพยัคฆ์ได้ราวๆ ครึ่งนิ้ว ทว่าผู้ลงมือกลับต้องกระอักเลือดออกมา
พลังทำลายของดาบนั้นใกล้เคียงกับการโจมตีของผู้ฝึกตนขั้นสี่ มันสามารถทำให้อสูรปีศาจบาดเจ็บได้!
โฮกกกก
จ้าวพยัคฆ์หัวเขียวคำรามและมุ่งไปยังซินเฟ่ยด้วยความเร็วสูง
ซินเฟ่ยนั้นเข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นสามแห่งผู้ฝึกตน เขาใช้วิชาระดับสูงในการหลบการโจมตีของอสูรพยัคฆ์ ทว่าการโจมตีก่อนหน้าสูบพลังของเขาไปมาก ทำให้เขาเกือบจะตายตกภายใต้อุ้งเท้าของอสูร
“ดาบผ่าวายุ!”
ร่างเลือดท่วมของซินเฟ่ยขยับอีกครั้งด้วยการโจมตีเดิม ทิ้งรอยเลือดไว้บนศีรษะของจ้าวพยัคฆ์ ก่อนที่ร่างของเขาจะกระเด็นลอยออกไปอีกครั้ง
โฮก!
จ้าวพยัคฆ์อ้าปากกว้างพร้อมพุ่งตรงไปยังซินเฟ่ยที่เหนื่อยอ่อนและไม่อาจหลบการโจมตีนี้ได้
“ซินเฟ่ย!” เด็กหนุ่มคนอื่นตะโกนขึ้น ทว่าในตอนนั้นเอง
ฟุ่บ
ลูกศรดอกหนึ่งพุ่งผ่านอากาศ ทะลุฝ่าพุ่มไม้และใบไม้ ปักเข้าที่ร่างของอสูรพยัคฆ์
โฮกกกกก
ตอนนั้นเองที่จ้าวพยัคฆ์ส่งเสียงร้องโหยหวน สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งในบริเวณนั้นร่างสั่นสะท้านขึ้น
ศิษย์ตระกูลซินเงียบเสียงลงราวกับเป็นใบ้ ตาจับจ้องไปยังร่างใหญ่อสูรปีศาจที่ตาข้างหนึ่งถูกลูกธนูปักจนบอด…
แม้ว่าพลังป้องกันของมันจะสูง แต่ดวงตาก็นับเป็นส่วนที่มีพลังป้องกันอ่อนด้อย
เพราะร่างใหญ่ของอสูรพยัคฆ์หมุนไปรอบๆ เพื่อหา ‘คนร้าย’ ทำให้ซินเฟ่ยสามารถหนีรอดออกมาได้
ทว่าหลังจากที่มันค้นหาไปรอบๆ แล้ว ไหนล่ะร่องรอยของคนร้ายนั่น?
“เกือบไปแล้ว!”
จ้าวเฟิงซ่อนอยู่เบื้องหลังลำต้นสูงใหญ่ของต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งห่างจากจ้าวพยัคฆ์นั้นเพียง 100 เมตร
ในขณะที่อสูรปีศาจกำลังพยายามหาคนร้าย ศิษย์ตระกูลซินก็เริ่มวิ่ง
ทว่าเมื่อพยัคฆ์นั้นไม่อาจหาคนร้ายที่ว่าพบ มันจึงเริ่มโจมตีด้วยความรุนแรงและหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่า
“อ๊ากกกกก”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากหนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นสองของศิษย์ตระกูลซินที่ถูกกระชากเป็นส่วนๆ ภาพนั้นทำให้จ้าวเฟิงที่หลบอยู่ไม่ไกลหนาวเยือก
เพียงแค่ศิษย์ตระกูลซินอีกคนเข้าใกล้ความตาย…
ฟุ่บ
ศรอีกดอกก็บินแหวกอากาศและปักเข้าที่ดวงตาอีกข้างของอสูรปีศาจ
โฮก!
จ้าวยัคฆ์หัวเขียวคำรามและปิดดวงตาของมันลง ศรดอกนั้นทำได้เพียงสร้างรอยบนเปลือกตาของมันเท่านั้น
“เฮ้อ…”
จ้าวเฟิงถอนหายใจพร้อมส่ายศีรษะ
มันไม่ใช่เพราะทักษะธนูของเขาไม่สูงพอ แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายนั้นระมัดระวังอย่างมาก ทำให้เป็นการยากที่จะใช้วิธีเดิมได้ผล
“ดาบผ่าวายุ!”
ซินเฟ่ยใช้ช่วงเวลานั้นรวบรวมพลังและโจมตีไปยังจุดเดิม
“โอกาสดี”
ดวงตาของจ้าวเฟิงเปล่งประกายวาบในขณะที่หยิบลูกธนูออกมาและยิง ทุกครั้งที่เขายิง มันจะพุ่งไปยังบาดแผลที่ศีรษะของอสูรพยัคฆ์
ในที่สุด การโจมตีของอสูรพยัคฆ์ก็ถดถอยลง อย่างแรกนั้นเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของมัน อย่างที่สองเป็นเพราะธนูนั้นอาบยาพิษ
ในตอนนั้น อสูรพยัคฆ์ได้หันหลังกลับและวิ่งลึกเข้าไปในป่าเมฆาคล้อย
“ตามไป!”
เหล่าศิษย์ตระกูลซินกัดฟันและทุ่มสุดตัวเพื่อที่จะฆ่าอสูรตัวนั้นเพื่อล้างแค้นให้กับสหายของพวกเขา
แม้ว่าอสูรพยัคฆ์นั้นจะบาดเจ็บหลายที่ ความเร็วของมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนขั้นสองและสามจะสามารถตามทันได้ มีเพียงซินเฟ่ยเท่านั้นที่สามารถตามมันทัน ทว่าเขาล้าอย่างมากและไม่มีแรงเหลือมากนัก
“ฮ่าฮ่าฮ่า! โอกาสดีอันใดเช่นนี้… เจ้าจะวิ่งไปไหนกัน?”
จ้าวเฟิงหัวเราะขณะใช้ท่าเท้านภาลอยล่องตามอสูรที่บาดเจ็บไปจนทันอย่างง่ายดาย
ในสายตาของเขา อสูรพยัคฆ์นี้ได้กลายเป็นกองเงินราคา สองถึงสามหมื่นเงินไปเสียแล้ว…