บทที่ 130 : ศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง
“ผู้ท้าประลอง จ้าวเฟิง ชนะ!”
เสียงของผู้คุมกฎชิวดังก้อง ปลุกให้เหล่าศิษย์สายนอกตื่นขึ้นจากความฝัน
โฮวหยวนแพ้!
ความตื่นตะลึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่าศิษย์สายนอก พวกเขารู้สึกว่ามันรวดเร็วจนเกินไป
การโจมตีสุดท้ายของจ้าวเฟิงนั้นทะลุผ่านการป้องกันของโฮวหยวนไปได้อย่างง่ายดาย
ความเร็วและพลังป้องกันของอีกฝ่ายได้ด้อยกว่าจ้าวเฟิง แล้วโฮวหยวนจะมีความมั่นใจใดในการประลองต่อ?
การปะทะครั้งสุดท้ายได้ทำให้สีหน้าของหลินฟ่าน ผู้ครองอันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์สายนอก แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
“เป็นการโจมตีที่น่าสะพรึงอันใดเช่นนี้! มันกระทั่งสามารถคุกคามผู้ฝึกตนขั้นนภาที่หนึ่งในขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้” หลินฟ่านคิดในใจพร้อมกับสำรวจจ้าวเฟิงบนเวทีประลอง
การชนะติดต่อกันสี่ครั้งต่อว่าที่ศิษย์สายใน นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏขึ้นในรอบร้อยปี เพราะจากกฎนั้น คนผู้หนึ่งไม่อาจท้าประลองคนหลายคนได้ต่อเนื่องกัน
ศิษย์สายนอกที่ปรากฏตัว รวมทั้งว่าที่ศิษย์สายในมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความหวาดกลัวและยำเกรง
“จ้าวเฟิงเอาชนะโฮวหยวนได้ ซึ่งหมายความว่าเจียงอวี่เยี่ยนที่ครองอันดับสองย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน”
“ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขากระทั่งอาจเอาชนะหลินฟ่านที่ครองอันดับหนึ่งได้”
ฝูงชนเริ่มพึมพำขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ศิษย์สายนอกยี่สิบอันดับแรกนั้นเป็นที่รู้จักกันในนามว่าที่ศิษย์สายใน และหลินฟ่านได้มีบันทึกไว้ว่าได้เอาชนะผู้ฝึกฝนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
เจียงอวี่เยี่ยนและโฮวหยวนไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่กระทั่งเจียงอวี่เยี่ยนก็ไม่อาจทำลายการป้องกันของโฮวหยวนได้อย่างง่ายดาย
จ้าวเฟิงได้เอาชนะโฮวหยวนอย่างง่ายดายในที่สุด มันแน่นอนแล้วว่าความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มได้อยู่ที่อันดับสอง
“ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!” หญิงสาวเอ่ยอย่างลึกล้ำพร้อมกับมองไปยังจ้าวเฟิงบนเวที
นางคือเจียงอวี่เยี่ยนที่ครองอันดับสอง
หลังจากดูการต่อสู้ระหว่างจ้าวเฟิงและโฮวหยวน เจียงอวี่เยี่ยนก็ได้ข้อสรุปเช่นนี้
ในด้านของความเร็วและการเคลื่อนไหว จ้าวเฟิงสามารถคว้าอันดับหนึ่งไปได้อย่างง่ายดาย ในด้านของการโจมตี เขาก็ครองอันดับหนึ่งเช่นกันเมื่อเขาสามารถทะลวงการป้องกันของโฮวหยวนได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนั้น ร่างกายและพลังของเขายังด้อยกว่าเพียงโฮวหยวน
เมื่อนำทุกสิ่งมารวมกันแล้ว เจียงอวี่เยี่ยนรู้สึกหวาดกลัว นางไม่มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งเช่นโฮวหยวน ดังนั้นหากนางเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่ม นางย่อมพ่ายแพ้อย่างยับเยินเสียยิ่งกว่านี้
แต่…
ทั้งเจียงอวี่เยี่ยนและโฮวหยวนเชื่อว่ามีคนผู้หนึ่งที่มีโอกาสเอาชนะจ้าวเฟิงได้ และคนผู้นั้นคือหลินฟ่าน
“เจ้าแข็งแกร่งมาก นับแต่นี้ เจ้าจะกลายเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งคนใหม่” หลินฟ่านเผยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฝูงชนก็นิ่งอึ้ง
เกิดอันใดขึ้น?
ความสงสัยปรากฏขึ้น ทุกคนล้วนรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของบุรุษหนุ่มผู้นี้
หรือเป็นว่ากระทั่งหลินฟ่านเองก็ไม่แข็งแกร่งเทียบเท่าจ้าวเฟิง?
“หลินฟ่าน เจ้ายังไม่ได้ประลองกับเขาเลย เหตุใดเจ้าจึงให้ฉายาศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งแก่เขากัน?”
โฮวหยวนและเจียงอวี่เยี่ยนต่างรู้สึกไม่เต็มใจ พวกเขาต่างรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นกระทั่งเอาชนะผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ดังนั้นแล้วความแข็งแกร่งของเขาย่อมน่าหวาดหวั่นเสียยิ่งกว่า
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็กวาดตามองไปยังร่างของหลินฟ่านด้วยดวงตาซ้ายของเขา และพลันเข้าใจในทันที
“ฮะฮะฮะ… ข้าไม่ใช่ศิษย์สายนอกอีกต่อไปแล้ว สองวันก่อนข้าได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณและได้ไปยังตำหนักแก่นสวรรค์เพื่อเป็นศิษย์สายใน”
หลินฟ่านหัวเราะเสียงลั่นพร้อมกับที่กลิ่นอายของเขาแพร่กระจายออก สร้างความกดดันแก่ศิษย์สายนอก
ทุกคนตกตะลึงกับข่าวนี้
เขาได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณและกลายเป็นศิษย์สายใน!
มันเป็นความฝันของศิษย์สายนอกทุกคน และหลินฟ่านได้ทำความฝันนี้สำเร็จได้ในที่สุดหลังจากที่ต่อสู้กับเหล่าศิษย์สายนอกมาเป็นเวลานาน
ทุกคนมองไปยังชายหนุ่มด้วยสายตาเข้าใจ
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มเช่นกัน เขารู้สึกว่าหลินฟ่านผู้นี้ที่เขาเพิ่งพบหน้านั้นค่อนข้างนิสัยดี
“จ้าวเฟิง ข้าเชื่อว่าสองสามปีอย่างมาก เราจะเจอกันในฐานะของศิษย์สายใน” หลินฟ่านคาดเดาความสามารถของเด็กหนุ่มไว้อย่างสูง
“ข้าหวังเช่นนั้น” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างถ่อมตน
หลินฟ่านไม่ได้อยู่นานและจากไปโดยทิ้งกลุ่มของศิษย์สายในที่มีความอิจฉาตาร้อนไว้เบื้องหลัง
หลังจากที่หลินฟ่านจากไป จ้าวเฟิงได้กลายเป็นจุดรวมความสนใจของทุกคนอีกครั้ง
“บัดนี้หลินฟ่านผู้นั้นได้กลายเป็นศิษย์สายในแล้ว มิใช่ว่านั่นหมายความว่าจ้าวเฟิงคือศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งคนใหม่หรือ?”
หัวใจของฝูงชนกระตุกด้วยความหวาดกลัว ยำเกรง และหวาดระแวง โดยเฉพาะคนเช่นโฮวหยวน พี่น้องหง และอี้เฟิงอวิ๋น
จ้าวเฟิงกลายเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งคนใหม่แล้วในตอนนี้ มันเป็นผลลัพธ์ที่เด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้คาดไว้เช่นกัน
เขาได้กวาดล้างศิษย์สายนอกทั้งหมดและยืนอยู่บนจุดสูงสุด
การเอาชนะว่าที่ศิษย์สายในสี่คนในรอบเดียวได้สร้างความตะลึงงันเจียงอวี่เยี่ยนที่ครองอันดับสอง และหลินฟ่านเพิ่งจะเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
ปึก!
จ้าวเฟิงพลิ้วกายลงเบื้องหน้าหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่น ทั้งสองต่างรู้สึกตื่นเต้นและไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ข้างๆ ทั้งสองคือองค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียงที่มีอารมณ์ซับซ้อนในแววตาขณะที่นางสำรวจเด็กหนุ่มเบื้องหน้าที่กระทำสิ่งเหนือความคาดหมายของนางอีกครั้ง
บางอย่างทำให้นางรู้สึกว่ายิ่งนางสำรวจจ้าวเฟิงมากเท่าใด นางก็ยิ่งไม่อาจมองอีกฝ่ายได้ทะลุมากเท่านั้น
บัดนี้หลินฟ่านได้ไปแล้ว ในว่าที่ศิษย์สายใน 20 คนมีที่ว่างหนึ่งที่ และมันย่อมมีการต่อสู้เพื่อหนึ่งที่ที่เหลือนั่น
ตามกฎนั้น อันดับของจ้าวเฟิงย่อมเพิ่มขึ้นจากสามเป็นสอง แต่ในตอนนั้นเองที่เจียงอวี่เยี่ยนได้เดินไปยังผู้คุมกฎชิวและเอ่ยบางอย่าง
ผู้คุมกฎชิวผงกศีรษะและเรียกจ้าวเฟิงไป
“เจียงอวี่เยี่ยนบอกว่านางนั้นไม่แข็งแกร่งเท่าเจ้า นับแต่บัดนี้เจ้าจะกลายเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งและได้รับการดูแลที่ดีที่สุด” ผู้คุมกฎชิวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
หืมม?
จ้าวเฟิงมองไปยังหญิงสาวด้วยสายตาสงสัย
“จ้าวเฟิง! ข้ายอมรับว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าในตอนนี้ ทว่ามันย่อมไม่นานที่ข้าจะนำอันดับอันเป็นของข้ากลับคืนมา” เจียงอวี่เยี่ยนเอ่ยอย่างเย็นชาก่อนจะหมุนตัวกลับและจากไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงจึงกลายเป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง และในวันเดียวกันเขาก็ได้ย้ายไปยังอีกสวนหนึ่ง
การดูแลที่อันดับหนึ่งได้รับนั้นเหนือกว่าผู้อื่นนัก
ตัวอย่างเช่น เด็กหนุ่มจะได้รับผลึกเริ่มต้นจำลอง 10 ผลึกทุกๆ เดือน ซึ่งเทียบเท่าได้กับศิษย์สายใน และในเวลาเดียวกัน เขายังได้ทรัพยากรอย่างอื่น
“จ้าวเฟิง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสามารถไปยังสำนักและเลือกวิชามนุษย์ระดับกลางได้ในสามวัน เว้นเสียแต่จะมีผู้อื่นมาท้าประลองเจ้าในช่วงนั้น” องค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียงได้มาบอกเขา
วิชามนุษย์ระดับกลาง?
จ้าวเฟิงนั้นตื่นเต้นและประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ วิชาคลื่นกระเพื่อมของเป่ยโม่ยนั้นเป็นวิชามนุษย์ระดับกลาง และเด็กหนุ่มสกุลเป่ยได้ใช้มันในการเอาชนะพวกเขาทั้งห้าในตอนนั้น
เซี่ยวซุนได้ฝึกฝนคู่มือเพลิงอัสดง และแม้ว่ามันจะยังไม่เข้าสู่ขั้นสูง ความแข็งแกร่งของมันนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เขาเข้าสู่ 10 อันดับแรก ทว่าวิชามนุษย์ระดับกลางนั้นไม่เปิดให้แก่ศิษย์สายนอก
มีเพียงเมื่อคนผู้หนึ่งกลายเป็นศิษย์สายใน พวกเขาจึงจะมีโอกาสได้เรียนรู้วิชามนุษย์ระดับกลาง
แม้ว่าความแตกต่างของวิชามนุษย์ระดับต่ำและระดับกลางจะดูเล็กน้อย ทว่ามันกลับมากกว่าความแตกต่างหนึ่งระดับในขอบเขตแห่งการรวบรวมนัก…
“หากไม่มีปัญหาใดในสามวันข้างหน้า ข้าย่อมสามารถได้รับวิชามนุษย์ระดับกลาง” จ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง
แน่นอนว่าเขายังไม่ได้ลืมเลือนเรื่องของบ่อพันบุปผาไป มันเหมาะสมกับเป้าหมายของเขาในการเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณด้วยร่างกายยิ่งนัก
ดังนั้นแล้ว เด็กหนุ่มจึงใช้เวลาอย่างมากในการทำความเข้าใจตำราค่ายกลทั้งเจ็ดที่ผู้เฒ่าจางได้ให้แก่เขา
เพราะว่าจ้าวเฟิงได้กินยาชำระไขกระดูกไปแล้วสองเม็ด คุณสมบัติของร่างกายเขาจึงเพิ่มขึ้นและวิชากำแพงเงินได้พัฒนาขึ้นอย่างมาก
บางทีในอีก 10 วัน วิชากำแพงเงินของเขาอาจสามารถเข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับเก้าได้
นอกจากการฝึกตน จ้าวเฟิงยังไปเยี่ยมหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่น ทุกที่ที่เขาไป เหล่าศิษย์สายนอกมักจะทักทายเขาอยู่เสมอ
“คารวะศิษย์น้องจ้าว!”
กระทั่งศิษย์บางคนที่มีอายุมากกว่าเขาและมีพรสวรรค์สูงกว่ายังทักทายเขาด้วยความยำเกรง
บัดนี้จ้าวเฟิงได้เป็นศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งและได้บดขยี้ศิษย์สายนอกทุกคนไว้ใต้ฝ่าเท้าของเขา เป้าหมายนี้ได้สำเร็จเร็วกว่าที่เขาคาด
ด้วยการปกป้องของผู้เป็นศิษย์น้อง วันเวลาของหยางชิงชั่นและหนานกงฟั่นจึงผ่อนคลาย
“ศิษย์น้องจ้าว บัดนี้ไม่มีผู้ใดกล้าสร้างความวุ่นวายแก่เราแล้ว”
หยางชิงชั่นมีความสุขอย่างมากเสียจนคิ้วทั้งสองไม่ติดกันอีก
ในทางกลับกัน หนานกงฟั่นกลับรู้สึกกังวลเล็กๆ
“ศิษย์น้องจ้าว ความสามารถของเจ้าก่อนหน้านับว่าโดดเด่นนัก หากมันดึงดูดความสนใจของไฮ่หยุนจะทำเยี่ยงไร?”
“ในฐานะของศิษย์สายนอก ไม่ว่าข้าจะแข็งแกร่งเพียงใด ข้าก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากไฮ่หยุน มีเพียงยามที่ข้ากลายเป็นศิษย์สายในที่ข้าจะเข้าไปอยู่ในสายตาของเขา”
จ้าวเฟิงมั่นใจ เขามั่นใจว่าไฮ่หยุนนั้นไม่แม้แต่จะรับรู้ถึงการคงอยู่ของเขาในบัดนี้ เพราะเขามีเพียงแค่กายจิตวิญญาณระดับต่ำและคนเช่นกวานเฉินย่อมไม่เห็นเขาในสายตา
ไม่ว่าศิษย์ในขอบเขตแห่งการรวบรวมจะแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาก็ยังเป็นเพียงมด
สามวันผ่านไปในพริบตาและไม่มีผู้ใดกล้าที่จะท้าประลองจ้าวเฟิง
เจียงอวี่เยี่ยนและโฮวหยวนที่ครองอันดับสองและสามตามลำดับต่างรู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่ม ดังนั้นแล้วจ้าวเฟิงจึงได้ไปยังตำหนักสำนักนอกและแจ้งความต้องการในการรับวิชามนุษย์ระดับกลางของเขา
คำขอของเขาต้องได้รับการยอมรับจากตำหนักสำนักนอกเพื่อพิสูจน์ว่าจะไม่มี ‘การโกง’ เข้ามาข้องเกี่ยว ทว่าความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงนั้นเป็นของจริงจากชื่อเสียงของเขา
การชนะติดต่อกันสี่ครั้งในวันนั้นได้สร้างความตื่นตะลึงแก่ศิษย์สายนอกทั้งหมด และกระทั่งผู้คุมกฎบางคนยังได้เห็นด้วยตาตนเอง
ส่วนที่สำคัญที่สุดนั้นคือรองหัวหน้าตำหนักได้ยอมรับคำขอท้าประลองของเขาในวันนั้นและดังนั้น คำร้องนี้จึงผ่านไปโดยง่าย
“ตราตำหนักกลวงนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียว ด้วยตราในมือของเรา เจ้าสามารถที่จะเข้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามของสำนัก ตำหนักกลวง ได้”
ผู้คุมกฎชิวยื่นตราสีบรอนซ์ครามให้แก่อีกฝ่าย
ตำหนักกลวง?
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ เพราะเขานั้นเคยได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับตำหนักกลวงมาก่อน
“ตำหนักกลวงนั้นไม่เหมือนหอตำราในโลกมนุษย์ มันเป็นสถานที่ที่ตกทอดมาของสำนัก ตามกฎนั้นศิษย์สายในธรรมดาสามารถเข้าไปยังตำหนักนี้ได้เพียงครั้งเดียวก่อนที่จะเข้าสู่นภาที่สี่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ” ผู้คุมกฎชิวมองไปยังจ้าวเฟิงอยู่พักใหญ่