บทที่ 131 : ตัวเลือกอันเป็นที่สุด
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็เต็มไปด้วยความยินดีเมื่อเขาเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อ
ตามกฎนั้น ศิษย์สายในธรรมดามีโอกาสเพียงครั้งเดียวในการเข้าไปยังตำหนักกลวง ทว่าบัดนี้จ้าวเฟิงเป็นเพียงศิษย์สายนอก ไม่ใช่ศิษย์สายใน
นั่นหมายความว่าเขามีโอกาสที่จะเข้าไปยังตำหนักกลวงก่อนศิษย์สายในบางคน และเมื่อเด็กหนุ่มกลายเป็นศิษย์สายใน เขาก็จะมีโอกาสเข้าไปยังตำหนักกลวงอีกครั้ง
ข้อได้เปรียบที่ได้รับนั้นเหลือเชื่อนัก
“กฎนี้ถูกตั้งขึ้นโดยผู้ก่อตั้งสำนัก ศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งมีสิทธิที่จะเข้าไปครั้งหนึ่ง” ผู้คุมกฎชิวแย้มยิ้มบาง
ผู้ก่อตั้งสำนัก!
จ้าวเฟิงคิดในใจว่าผู้ก่อตั้งสำนักนั้นได้ให้หนทางแห่งชีวิตแก่เหล่าศิษย์สายนอกที่ไม่มีพรสวรรค์มากมายแล้ว
อย่างไรก็ตามสำนักนั้นให้ความสำคัญแก่พรสวรรค์มากที่สุด และเหล่าศิษย์สายนอกนั้นล้วนเป็นผู้ที่ไม่ได้มีพรสวรรค์สูงนัก
ก่อนหน้า ซุนหยวนเฮาได้มีกายผันแปร และหลิวเยว่เอ๋อร์มีกายจิตวิญญาณระดับสูง ทว่าทั้งสองได้ถูกรับเข้าเป็นศิษย์สายในโดยตรง
หลังจากเอ่ยลาผู้คุมกฎชิว จ้าวเฟิงก็ตรงไปยังตำหนักกลวงพร้อมด้วยตราของเขา
ตำหนักกลวงนั้นเป็นพื้นที่ต้องห้ามของสำนัก และศิษย์สายในรวมทั้งผู้คุมกฎล้วนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้โดยง่าย
ไม่กี่ลี้เบื้องหน้า เด็กหนุ่มได้เห็นหอสูงกึ่งโปร่งแสงใกล้ปลายผา ดวงตาของจ้าวเฟิงกวาดสำรวจทว่าไม่อาจค้นพบได้ว่ามันสร้างขึ้นด้วยวัสดุอันใด แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน วัสดุนั้นต้องมีราคาสูงอย่างมาก
ผู้คุมกันยืนเรียงแถวสองฝั่งของทางเข้า ไม่ว่าพวกเขาคนใดก็ล้วนแล้วแต่เข้าสู่นภาที่สามของขอบเขตก่อกำเนิดปราณ พลังฝึกตนของพวกเขาล้วนสูงกว่าเจ้าเมืองกว่านจวิน
“นี่คือสถานที่สำคัญของสำนัก ไปซะ!”
ผู้คุ้มกันตวาดขณะที่ปลดปล่อยจิตกดดันออกมาซึ่งทำให้จ้าวเฟิงหายใจลำบาก
ผู้คุ้มกันคนอื่นเองก็เต็มไปด้วยความเหยียดหยามเช่นกัน พวกเขาเห็นว่าบนร่างของจ้าวเฟิงนั้นเป็นเพียงเสื้อผ้าของศิษย์สายนอก และผู้ฝึกตนขั้นเก้าในขอบเขตแห่งการรวบรวมนับได้ว่าเป็นเพียงมดปลวกในสายตาพวกเขา
ฟึ่บ!
จ้าวเฟิงนำตราของตำหนักกลวงออกมา สีหน้าของผู้คุ้มกันที่เอ่ยตวาดเมื่อครู่เปลี่ยนแปลงไปในทันที
“เชิญ”
กลุ่มของผู้คุมกันได้ส่งเด็กหนุ่มเข้าไปด้านในตำหนักด้วยสายตา
“ยากที่จะเชื่อว่าเด็กนั่นคือศิษย์สายนอกอันดับหนึ่ง”
เหล่าผู้คุ้มกันต่างประหลาดใจ
เมื่อเข้าไปด้านในตำหนัก จ้าวเฟิงได้มีความรู้สึกราวกับว่าเขาได้ก้าวเข้าไปในอีกมิติเพราะด้านในนั้นเต็มไปด้วยสีสัน
เขานั้นได้เรียนรู้เรื่องค่ายกลแล้ว และเขารู้สึกได้ถึงการคงอยู่ของพวกมันภายในตำหนักกลวงแห่งนี้
พลังของค่ายกลนั้นไม่มีรูปร่างหรือสีสัน ทว่ามันได้ปกป้องสถานที่แห่งนี้มากว่าพันปี ก่อนหน้าที่เขาจะได้เปิดดวงตาซ้ายเพื่อสำรวจค่ายกลของตำหนัก น้ำเสียงแหบชราก็ดังขึ้นในสมองของเขา
“ส่งตราของเจ้ามา”
ฟุ่บ!
จ้าวเฟิงโยนตราของเขาออกไป
“ตราระดับบรอนซ์ เจ้าเลือกวิชามนุษย์ระดับกลางได้หนึ่งวิชา”
เสียงนั้นหายไปก่อนที่ขั้นบันไดจะปรากฏขึ้นเบื้องหน้าจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มก้าวขึ้นไป
โลกที่อยู่สุดปลายของขั้นบันไดนั้นเต็มไปด้วยม่านหมอกและแผ่นหยกจำนวนนับไม่ถ้วนที่ล่องลอยไปมา แผ่นหยกทุกๆ แผ่นนั้นปรากฏรูปภาพและคำจำนวนหนึ่งพร้อมด้วคำอธิบาย คำแนะนำ และข้อกำหนดของวิชา
“ฝ่ามือมังกรหวน… หมัดจ้าวราชันย์… คู่มือไร้วายุ… เพลงดาบเพลิงแผดเผา…”
จ้าวเฟิงกวาดตาผ่านวิชานับร้อยนับพันและได้คัดลอกคำอธิบายของพวกมันลงในสมอง
ไม่ช้าเด็กหนุ่มก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาทั้งหมดเล็กน้อย ส่วนมากสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นนภาที่สี่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณหรือสูงกว่าได้ และอันที่ดีกว่าสามารถฝึกได้สู่นภาที่ห้า
วิชามนุษย์ระดับต่ำนั้นมักฝึกคนผู้หนึ่งจนเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณและวิชามนุษย์ระดับกลางสามารถฝึกคนผู้หนึ่งจนเข้าสู่นภาที่สี่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้
วิชามนุษย์ระดับสูงสามารถฝึกคนผู้หนึ่งจนเข้าสู่นภาที่เจ็ดในขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ และวิชาส่วนน้อยสามารถฝึกจนเข้าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
วิชามนุษย์ระดับสุดยอดย่อมสามารถฝึกคนผู้หนึ่งจนเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงได้อย่างแน่นอน และมันเป็นวิชาที่เป็นสมบัติที่แท้จริงของสำนัก
สำหรับวิชาระดับจิตวิญญาณนั้น มันล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนท่าไม้ตายของสำนัก และไม่มีผู้ใดที่มีระดับต่ำกว่าผู้อาวุโสที่มีสิทธิฝึกฝนพวกมัน และผู้ที่มีระดับต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจะรู้สึกว่ามันยากที่จะเข้าใจ
“เจ้าต้องเลือกวิชาภายในครึ่งชั่วโมง สิ่งที่เจ้าต้องทำนั้นมีเพียงกำแผ่นหยกไว้และเพ่งสมาธิลงไปในนั้นเพื่อที่จะได้รับวิชา”
บุคคลผู้เป็นเจ้าของน้ำเสียงชรานั้นดูเหมือนจะรู้ว่าจ้าวเฟิงนั้นไม่ได้เข้าใจในกฎของตำหนักกลวงจริงๆ
“เข้าใจแล้ว”
จ้าวเฟิงรู้สึกแปลกเมื่อเสียงนั้นมักจะปรากฏอยู่ในศีรษะของเขา เพราะว่าในโลกมนุษย์นั้น เมื่อคนผู้หนึ่งพูดจากระยะที่ไกล มันจะดังขึ้นข้างใบหู ทว่าเมื่อคิดว่าที่นี่คือสำนัก ทุกสิ่งก็ล้วนอธิบายได้
ไม่ช้า จ้าวเฟิงก็ได้กวาดตามองวิชาทั้งหมดและจดจำอันที่เขาต้องการไว้
ทุกสิ่งนั้นเป็นเพราะดวงตาซ้ายของเขา ศิษย์ผู้อื่นจะพบว่ามันนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะอ่านแผ่นหยกทั้งหมดในเวลาสั้นๆ เช่นนี้
หลังจากที่อ่านมัน จ้าวเฟิงได้ตัดวิชาที่มีข้อกำหนดในพลังฝึกตนออกไป เช่นอันที่กำหนดให้ผู้ฝึกต้องอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณจึงจะฝึกได้
จากนั้นเขาจึงเลือกวิชาที่มีพลังมากและล้ำลึกกว่า
เมื่อทำเช่นนี้ เขาจึงมีวิชากว่า 100-200 ที่เหมาะสมกับคำว่าวิชาชั้นยอด
วิชาชั้นยอดเหล่านี้ล้วนเป็นวิชามนุษย์ระดับกลาง ทว่าพวกมันมีระดับที่สูงกว่า โชคร้ายที่จ้าวเฟิงเลือกได้เพียงหนึ่งเท่านั้น
หลังจากคิดอยู่เป็นเวลานาน เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะเลือกวิชาโจมตี
“ฝ่ามือมังกรหวน ฝ่ามือกลายเป็นมังกรที่สามารถบดขยี้ภูเขา เมื่อฝึกจนเข้าขั้นสูง เงามังกรจะปรากฏซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้แก่คู่ต่อสู้ ต้องการพลังภายในที่หนานแน่นและแข็งแกร่ง”
“เจ็ดดรรชนีพิฆาต แบ่งออกเป็นเจ็ดระดับ เป็นการโจมตีเป้าหมายเดียวที่ทรงพลัง ต้องการการควบคุมโดยสมบูรณ์”
“เพลงดาบเพลิงแผดเผา ดาบคล้ายเปลวไฟ เมื่อเข้าสู่ขั้นสูง ทุกๆ การวาดดาบสามารถสร้างเปลวเพลิงแผดเผาที่จะกำราบเหล่าผู้ฝึกตนที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่านภาที่สี่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ…”
จ้าวเฟิงมองไปยังวิชาโจมตีที่มีพลังเหนือกว่าขีดจำกัดของธรรมชาติ
ตัวอย่างเช่น เพลงดาบเพลิงแผดเผาสามารถสร้างเปลวไฟได้จากความว่างเปล่า นี่นับเป็นพลังที่มนุษย์สามารถทานทนได้หรือ?
แน่นอนว่าจ้าวเฟิงไม่ได้คิดจะใช้อาวุธอื่น เพราะดวงตาของเขานั้นเหมาะกับธนูมากกว่า
การพึ่งพาอาวุธนั้นไม่ใช่ความคิดที่ดีเพราะหากอาวุธนั้นพังลงเล่า? ความแข็งแกร่งของเขาย่อมลดลงอย่างรุนแรง
นอกจากนั้น เมื่อคนผู้หนึ่งทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณแล้ว การโจมตีระยะไกลนับเป็นเรื่องปกติ และข้อได้เปรียบของอาวุธระยะประชิดไม่ได้มากมายนัก
เด็กหนุ่มมองไปยังวิชาเหล่านี้ชั่วครู่ ก่อนที่วิชาที่แตกต่างจะปรากฏขึ้นในสมองของเขา
“ฝ่ามือวายุอัสนี มีพลังของสายฟ้าและสายลม ใช้สายลมในการสร้างไฟฟ้า เมื่อฝึกฝนจนเข้าขั้นสุดยอดสามารถเรียกสายฟ้าได้ แต่อาจเป็นเพราะมันเป็นเพียงวิชาที่ไม่สมบูรณ์ จึงไม่มีผู้ใดสามารถฝึกจนเข้าขั้นสุดยอดได้”
คำเตือน วิชานี้อันตรายอย่างมากและมีบันทึกว่าผู้ฝึกตนที่ฝึกวิชานี้ได้ถูกฟ้าผ่าตาย
ฝึกฝนอย่างระวัง!
คำเตือนสุดท้ายดูเหมือนจะเพิ่งเพิ่มเข้ามา เพราะร่องรอยนั้นยังใหม่อยู่
“ฝ่ามือวายุอัสนี เป็นเจ้า”
จ้าวเฟิงเพียงเลือกวิชานี้ และเป็นหนึ่งในวิชาที่อันตรายที่สุด
เขาได้ฝึกฝนวิชาดรรชนีดารามาก่อน และเด็กหนุ่มเข้าใจว่ายิ่งมันอันตรายในการฝึกฝนเท่าใด พลังของมันก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัวขึ้นเท่านั้น
ฝ่ามือวายุอัสนีนั้นเป็นเช่นเดียวกัน และศิษย์ของสำนักจันทร์สลายย่อมไม่กล้าที่จะฝึกฝนมัน นอกจากนั้น ไม่มีผู้ใดต้องการที่จะเสียโอกาสอันล้ำค่าของพวกเขาเพื่อที่จะพนันในวิชาที่ไม่รู้จักวิชาหนึ่ง
ทว่าจ้าวเฟิงกล้า!
อย่างแรก เขามีโอกาสอีกครั้งในการเข้ามายังตำหนักกลวง
อย่างที่สอง เพราะไม่มีผู้ใดกล้าที่จะฝึกฝนวิชานี้ มันย่อมหมายความว่าพลังของมันน่าสะพรึงกลัวนัก
จ้าวเฟิงได้เห็นประวัติของสำนักมาแล้ว และเหล่าบุคคลในตำนานเหล่านั้นมักจะฝึกวิชาเหล่านั้นที่ไม่มีผู้ใดสามารถฝึกได้ และในที่สุดก็ได้ขึ้นไปยังจุดสูงสุด
หากเขาเลือกวิชาที่ผู้อื่นก็สามารถฝึกฝนได้อย่างง่ายดายเช่นกัน เช่นนั้นแล้วสิ่งใดที่แตกต่างระหว่างเขากับผู้อื่นกัน?
“เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าจะเลือกฝ่ามือวายุอัสนี? ข้าเตือนเจ้า วิชานี้ยากที่จะฝึกฝนและกระทั่งอันตรายกว่าวิชามนุษย์ระดับสูงบางวิชา” น้ำเสียงชราดังก้องขึ้น
“ขอรับ” จ้าวเฟิงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
น้ำเสียงเช่นนั้นทำให้เจ้าของเสียงชรานั้นนิ่งงันไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นผู้ที่เลือกวิชาอันตรายเช่นนี้ด้วยความมั่นใจเพียงนี้
คนเหล่านี้สามารถเอ่ยได้เพียงว่า ‘จองหอง’
“ฮ่าฮ่า มีผลลัพธ์เพียงสองอย่างสำหรับผู้ที่ฝึกฝนฝ่ามือวายุอัสนี ผลลัพธ์แรกคือคนผู้นั้นไม่อาจเข้าสู่ขั้นสุดยอดได้ และระหว่างที่ฝึกฝนเส้นเอ็นได้บาดเจ็บหรือร่างกายส่วนร่างกลายเป็นใช้ไม่ได้ไป ผลลัพธ์ที่สองนั้นคืออัจฉริยะที่มีความสามารถในการเข้าใจสูงส่งเรียนรู้มัน ถูกฟ้าผ่า และตาย เป็นอย่างหลังที่นับว่าน่าเศร้านัก”
เจ้าของน้ำเสียงชราหัวเราะแผ่วเบาและไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
2 ผลลัพธ์ อย่างแรกคือไม่อาจเข้าสู่ขั้นสุดยอด ในขณะที่อย่างที่สองคือผู้ฟ้าผ่าตาย
หากเป็นผู้อื่น พวกเขาย่อมรู้สึกหวาดกลัวและกังวล ทว่าจ้าวเฟิงนั้นไม่ได้ฟังเสียงนั้นจะได้เพ่งความสนใจของเขาลงไปในแผ่นหยก
วิ้งงง
แสงปรากฏขึ้นจากแผ่นหยกพร้อมกับดึงสติของจ้าวเฟิงเข้าไปภายในโลกที่เต็มไปด้วยสายลมและสายฟ้า
ภาพของร่างร่างหนึ่งได้ปรากฏขึ้น ฝึกฝนวิชาฝ่ามือในโลกของวายุและอัสนี
พลังของวิชานั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะมันหลอมรวมเข้ากับสายฟ้าและบดขยี้ภูเขาที่หนักกว่าห้าหมื่นกิโลกรัมเป็นผง
“เป็นพลังที่น่ากลัวอันใดเช่นนี้!”
จ้าวเฟิงตัดลอกภาพนั้นลงในสมองด้วยดวงตาซ้ายของเขาโดยสัญชาตญาณ
หลังจากนั้น รายละเอียดของวิชาก็ได้เข้าสู่สมองของเด็กหนุ่มทีล่ะเล็กทีล่ะน้อย
แผ่นหยกได้มีรายละเอียดที่สามารถดูได้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่เป็นเพราะจ้าวเฟิงได้คัดลอกภาพทั้งหมดลงในดวงตาซ้าย เขาจึงสามารถทำความเข้าใจมันได้ทีหลัง
ภายใต้พลังของค่ายกล รายละเอียดของฝ่ามือวายุอัสนีได้หลอมรวมเข้าสู่สมองของจ้าวเฟิงอย่างช้าๆ และเด็กหนุ่มได้จดจำมันในทันที จากนั้นเขาจึงเริ่มสำรวจแผ่นหยกเช่นเดียวกับม่านหมอกด้วยดวงตาซ้ายของเขา
พื้นที่ที่เต็มไปด้วยม่านหมอกที่เขายืนอยู่นั้นถูกสร้างขึ้นโดยค่ายกลขนาดยักษ์ที่คงอยู่มากว่าพันปี และจ้าวเฟิงกำลังคิดว่าค่ายกลนี้สามารถทำลายได้หรือไม่ หรือมันจะมีช่องว่างใดๆ หรือไม่?
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงเปิดดวงตาซ้ายของเขา แสงสีครามได้ปรากฏบนลูกตาของเขาขณะที่เขากวาดตามองไปรอบด้าน
ภายใต้สภาวะสุดยอดการมองเห็น ภาพและเส้นได้ปรากฏขึ้นซึ่งเป็นโครงร่างของค่ายกล
คัดลอก!
จ้าวเฟิงคัดลอกโครงร่างของค่ายกลลงในดวงตาซ้ายของเขา
“ข้าจะทำความเข้าใจมันยามที่ข้ากลับไป”
จ้าวเฟิงคิดพร้อมกับที่แสงจากแผ่นหยกเบื้องหน้าไปดับลง ในเวลาเดียวกัน แผ่นหยกรอบด้านก็ได้ดับแสงลงเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงจึงได้ข้อมูลของวิชาฝ่ามือวายุอัสนีและโครงร่างของค่ายกลออกไปจากตำหนักกลวง
ก่อนที่เขาจะจากไป เขาได้ยินน้ำเสียงชรานั้นเอ่ยเตือน
“วิชาในตำหนักกลวงไม่อาจเผยแพร่ได้ หรือมิเช่นนั้นพลังฝึกคนของคนผู้นั้นจะถูกทำลาย จำไว้ด้วย…”