บทที่ 132 : ฝ่ามือวายุอัสนี
จ้าวเฟิงไม่สนใจที่จะฟังเสียงนั้นและออกจากตำหนักกลวงไป หลังจากที่เขาจากไป เสียงหัวเราะที่ส่อประกายความโกรธก็ดังขึ้นจากภายในตำหนัก
“เป็นเด็กเวรที่จองหองอันใดเช่นนี้… เขากล้าเมินข้าได้อย่างไร…”
ตั้งแต่ที่จ้าวเฟิงเข้าไปยังตำหนักกลวง เด็กหนุ่มไม่ได้ฟังเสียงนั้นจริงๆ และกระทำตามอำเภอใจในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกต้อง ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้นำคำเตือนของเสียงนั้นมาใส่ใจ
จากสายตาของจ้าวเฟิงนั้น คนผู้หนึ่งเพียงแค่ต้องเชื่อฟังกฎของเสียงนั้นเท่านั้น
ความคิดของเขานั้นถูกต้อง ทว่าเขาไม่รู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในสำนัก กระทั่งศิษย์สายในก็ยังต้องยำเกรง
“ผู้อาวุโสหนึ่ง มันเป็นเพียงศิษย์สายนอกโง่งม ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเสียเวลากับเขา” ชายชราด้านในตำหนักหัวเราะ
เขาคือผู้อาวุโสที่คุ้มกันตำหนักกลวง แต่ผู้อาวุโสหนึ่งได้มาที่นี่ในวันนี้เพื่อตรวจสอบประจำวัน เขาเห็นจ้าวเฟิงเลือกวิชาอันตราย ดังนั้นจึงเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี ทว่าอีกฝ่ายกลับเมินเขาแทน
“หืม? ศิษย์สายนอก? หากข้าจำได้ถูกต้อง มีเพียงศิษย์สายนอกอันดับหนึ่งที่มีสิทธิเข้ามาที่นี่”
ผู้อาวุโสหนึ่งประหลาดใจเล็กๆ
ผู้ก่อตั้งสำนักนั้นได้สร้างกฎนี้ขึ้นเมื่อนานามาแล้ว และมันยังคงอยู่ตราบจนวันนี้ และผู้อาวุโสหนึ่งเองก็รับรู้ถึงเจตนาของมัน
ยิ่งคนผู้หนึ่งมีพรสวรรค์มากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งก้าวไปในเส้นทางแห่งการฝึกตนได้มากเท่านั้น ดังนั้นแล้วสำนักจึงได้ให้ความสำคัญกับพรสวรรค์อย่างมาก ทว่าพรสวรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้คนผู้หนึ่งไปได้ไกล ดังนั้นผู้ก่อตั้งสำนักจึงได้สร้างกฎนี้ขึ้นเพื่อช่วยผู้ที่ไม่ได้มีพรสวรรค์มากมาย
หลังจากกลับไปยังสวนของเขา จ้าวเฟิงก็เริ่มทำความเข้าใจฝ่ามือวายุอัสนีในสมอง
ฝ่ามือวายุอัสนีนั้นเป็นวิชาโจมตีซึ่งเหมาะสมกับกระทั่งผู้ฝึกตนขั้นนภาที่หกในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ จากเพียงแค่ส่วนนี้ ทุกคนย่อมสามารถบอกได้ว่ามันเหนือกว่าวิชามนุษย์ระดับกลางอื่นๆ มากนัก จ้าวเฟิงได้ให้ความสนใจกับคำอธิบายที่มีคำว่า ‘วิชาโบราณอันไม่สมบูรณ์’ ของมันเป็นพิเศษ
วิชาจากอดีตกาลนั้นมีความแตกต่างกับปัจจุบัน และเสียงชรานั้นได้บอกเขาว่าวิชานี้นั้นกระทั่งยากที่จะฝึกฝนกว่าวิชามนุษย์ระดับสูง ดังนั้นจากการคำนวณของจ้าวเฟิง ระดับของวิชานี้ไม่อาจธรรมดาเช่นวิชามนุษย์ระดับกลางได้…
เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาและเริ่มทำความเข้าใจภาพจากร่างเล็กในโลกแห่งสายลมและสายฟ้าผู้ที่สามารถเรียกสายฟ้าได้
“น่ากลัวนัก!”
จ้าวเฟิงมองภาพนั้นและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
ฝ่ามือวายุอัสนีนั้นแบ่งออกเป็น 6 ระดับ
ระดับแรก: เรียนรู้ – ทำความเข้าใจพลังแห่งลม
ระดับที่สอง: พื้นฐาน – กลิ่นอายอัสนีและวายุเริ่มก่อตัว
ระดับที่สาม: ขั้นต่ำ – ฝ่ามืออาจมีเสียงของสายฟ้า และผู้ฝึกจะพบว่ายากที่จะหาผู้ต่อกรได้ในขั้นต่ำกว่านภาที่สี่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
ระดับสี่: ขั้นสูง – มีความสามารถในการทำให้ร่างของคู่ต่อสู้ชา การเคลื่อนไหวเชื่องช้าลง
ระดับห้า: ขั้นสุดยอด – ใช้สายลมเรียกสายฟ้า พลังเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
ระดับหก: ขั้นหลอมรวม – เมื่อมีพายุ มีโอกาสที่จะเรียกเมฆสายฟ้าทั้งเก้า เมื่อเรียกได้สำเร็จ ผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงจะสลายหายไป และผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงต้องกังวล
ระดับหกนั้นควรใช้เมื่อเข้าสู่นภาที่หกในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ทว่ามันมีโอกาสที่จะเรียกเมฆสายฟ้าทั้งเก้าที่สามารถทำให้พลังของคนผู้หนึ่งเพิ่มขึ้นนับสิบเท่าได้
“ระดับหกนับว่าวิปลาสนัก เมื่อเรียกเมฆสายฟ้าทั้งเก้าได้สำเร็จ กระทั่งผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังต้องระวัง”
หัวใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน
เขายืนยันว่าวิชานี้ไม่ใช่วิชามนุษย์ระดับกลางหลังจากที่ทำความเข้าใจมัน
แน่นอนว่าแม้ระดับหกจะวิปลาสนักและพลังของคนผู้หนึ่งจะเพิ่มขึ้นนับสิบเท่า อันตรายก็ได้ปรากฏขึ้นอย่างมากเช่นกัน เพียงแค่ข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจทำให้ผู้ใช้กลายเป็นฝุ่นไปได้
บุคคลที่สร้างวิชานี้ขึ้นมานั้นเสียสติ และผู้ที่ฝึกฝนวิชานี้ก็นับว่าเสียสติเช่นกัน แต่เพราะจ้าวเฟิงได้เลือกมัน เขาจึงไม่เสียใจที่ทำเช่นนั้น แต่เขากลับให้ความสนใจและพยายามที่จะทำความเข้าใจมันแทน
ฝ่ามือวายุอัสนีนั้นใช้สายลมในการสร้างไฟฟ้า ดังนั้นแล้วลมจึงเป็นพื้นฐานของวิชานี้
สำหรับเรื่องนี้นั้น จ้าวเฟิงมีพื้นฐานที่ดีเพราะเขาได้ทำความเข้าใจสามกระบวนท่าแรกของกระบวนท่าวายุทั้งสี่ซึ่งมีธาตุลมเป็นแก่นแท้
ส่วนกระบวนท่าสุดท้าย กระบวนท่าตัดวายุเพลิง คนผู้หนึ่งสร้างไฟโดยใช้สายลม ซึ่งทำให้พลังทำลายของมันเพิ่มขึ้นไปยังระดับใหม่
ด้วยกระบวนท่าวายุทั้งสี่เป็นพื้นฐาน จ้าวเฟิงได้เรียนรู้มันสำเร็จและเริ่มเข้าสู่ระดับสอง
“ฮี่ฮี่ฮี่… ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของข้าจะถูกต้อง วิชานี้เหมาะกับข้า”
จ้าวเฟิงไม่คิดว่าเขาจะประสบความสำเร็จเพียงนี้ ตามที่เสียงชรานั้นเอ่ยไว้ ฝ่ามือวายุอัสนีนั้นยากที่จะเรียนรู้กว่าวิชามนุษย์ระดับสูงบางวิชา และเมื่อคนผู้หนึ่งพยายามที่จะเรียนมันในระดับแรก พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 เดือน บางครั้งกระทั่งเป็นปี ทว่าด้วยกระบวนท่าวายุทั้งสี่เป็นพื้นฐาน เด็กหนุ่มได้เรียนรู้มันสำเร็จอย่างง่ายดาย ทว่ามันกลับช้าลงเมื่อถึงระดับสอง
ระดับสอง กลิ่นอายของวายุและอัสนี
จ้าวเฟิงนั้นมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งใน ‘ลม’ ทว่าไม่มีพื้นฐานในด้านของ ‘สายฟ้า’
เขาปิดเปลือกตาลงก่อนที่ภาพในโลกแห่งสายลมและสายฟ้าจะปรากฏขึ้น
ด้วยภาพนี้ในสมอง จ้าวเฟิงสามารถเข้าสู่ระดับสองได้อย่างง่ายดาย และราวๆ สองวันต่อมาเขาก็แทบจะเข้าใจระดับสองทั้งหมด ทว่าระดับสามนั้นไม่อาจทำความเข้าใจได้ในระยะเวลาใกล้ๆ
เขาใช้เวลาที่เหลือในตำราค่ายกลทั้งเจ็ดที่ผู้เฒ่าจางได้ให้เขา และในเจ็ดเล่มนั้น เหลือเพียงแค่หนึ่งเล่ม
ตำราสุดท้ายนี้เป็นเล่มที่ยากที่สุดในทั้งเจ็ด และมีเพียงความเข้าใจที่ได้รับจากภาพมัจฉามายาที่ทำให้เขาสามารถทำความเข้าใจมันได้ และในวันนี้จ้าวเฟิงได้เข้าใจตำราทั้งเจ็ดในที่สุด
และมันเป็นเวลานี้ที่เขาตระหนักว่าวันนี้คือวันสุดท้าย
“เกือบไปแล้ว!”
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจยาวเหยียด เพราะเขาได้ใช้เวลาในการทำความเข้าใจฝ่ามือวายุอัสนี ทำให้เขาเกือบลืมข้อตกลงที่ให้ไว้กับผู้เฒ่าจาง
เป้าหมายสำคัญในปัจจุบันของเขานั้นคือการเข้าสู่ขอบเขตก่อกำนิดปราณด้วยร่างกาย
เด็กหนุ่มวิ่งไปยังตำหนักภารกิจสำนักและเข้าพบรองหัวหน้าตำหนักจาง
“เจ้าเข้าใจตำราค่ายกลทั้งเจ็ดแล้วหรือ?” รองหัวหน้าตำหนักจางเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ”
จ้าวเฟิงเอ่ยรับ
จากนั้นผู้เฒ่าจางจึงเอ่ยถามคำถาม 15 คำถาม หนึ่งยากหนึ่งง่ายของแต่ล่ะเล่ม และเพื่อที่จะตอบคำถามสุดท้าย คนผู้หนึ่งต้องรวมความรู้จากตำราทั้งเจ็ดเข้าด้วยกัน มีเพียงใช้ดวงตาซ้ายในการคิดอย่างต่อเนื่องจึงทำให้จ้าวเฟิงตอบคำถามนั้นได้
หลังจากที่เด็กหนุ่มให้คำตอบ ผู้เฒ่าจางก็ถอนหายใจและจ้องไปยังจ้าวเฟิงราวกับเขาเป็นสัตว์ประหลาด
“เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าไม่เคยเรียนรู้เกี่ยวกับค่ายกลมาก่อน?” ผู้เฒ่าจางเอ่ยอย่างพ่ายแพ้
“ภาพมัจฉามายานับหรือไม่?”
จ้าวเฟิงส่งเสียง ‘ฮี่ฮี่’ ออกมา ผู้เฒ่ากวนเองก็ได้เอ่ยถามสิ่งที่คล้ายคลึงกันมาก่อน
แก้มของรองหัวหน้าตำหนักจางกระตุกเล็กๆ ก่อนหน้าเขาคืออัจฉริยะที่สามารถจดจำทุกสิ่งที่เขาเห็นได้เช่นกัน และเขามีชื่อเสียงไม่น้อยในสิบสามจักรวรรดิ แต่เมื่อเทียบกับพรสวรรค์ของจ้าวเฟิงแล้ว เขาคิดว่าเขานั้นเป็นเพียงแค่ขี้หมา
“เจ้าเรียนรู้พื้นฐานของค่ายกลแล้ว นับแต่วันนี้ เจ้าจะไปช่วยในการคุ้มกันและบำรุงรักษาค่ายกลของสำนัก แน่นอนว่ามันรวมทั้งค่ายกลกลั่นจิตวิญญาณในบ่อพันบุปผาด้วย…” ผู้เฒ่าจางเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ในวันเดียวกัน จ้าวเฟิงได้เริ่มข้องเกี่ยวกับค่ายกล สำนักจันทร์สลายมีค่ายกลจำนวนมากที่ครอบคลุมไปทั่วเทือกเขา และเมื่อเวลาผ่านไป พลังของค่ายกลเหล่านั้นก็อ่อนลง หรือช่องว่างได้ปรากฏขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงต้องบำรุงรักษาและซ่อมแซมมันอยู่เสมอ
จ้าวเฟิงติดตามผู้เฒ่าจางหรือสมาชิกของตำหนักภารกิจสำนักบางคนไปยังสถานที่ที่มีค่ายกลอยู่
“หมอกในวันทดสอบนั้นก็ถูกสร้างขึ้นโดยค่ายกล และเหตุผลที่ตำหนักยอดนภาลอยได้ก็เป็นเพราะค่ายกลเช่นกัน” จ้าวเฟิงเริ่มที่จะเข้าใจ
ในโลกของสำนัก มันมีหลายสถานที่ที่ต้องการความช่วยเหลือของยา ค่ายกล และผู้เชี่ยวชาญเครื่องกล
ในวันนี้ จ้าวเฟิงได้รับคำสั่งจากรองหัวหน้าตำหนักจางให้ไปยังบ่อพันบุปผา ในฐานะของสมาชิกตำหนักภารกิจสำนักและผู้ช่วยของผู้เฒ่าจาง เด็กหนุ่มได้มาตรวจสอบว่ามีสิ่งใดผิดปกติกับค่ายกลในที่แห่งนี้หรือไม่
เมื่อคิดว่าวิชากำแพงเงินของเขาเริ่มที่จะเข้าใกล้ขั้นสุดยอดของระดับเก้าแล้ว เด็กหนุ่มก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ดวงตาซ้ายของเขากลายเป็นแหลมคมพร้อมกับแสงสีครามบางเบาปรากฏขึ้นบนนั้น ทำให้เขาสามารถมองผ่านน้ำสีเขียวใสไปได้
จ้าวเฟิงกลืนน้ำลาย ทว่าไม่ได้กระทำการผลีผลามใดๆ
อย่างแรก เขาต้องดูก่อนว่าค่ายกลกลั่นจิตวิญญาณมีปัญหาใดหรือไม่ ค่ายกลกลั่นจิตวิญญาณนี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหลายคน และความช่วยเหลือของผู้เชี่ยวชาญค่ายกล ทว่าจ้าวเฟิงเองก็ได้จดจำโครงร่างของค่ายกลด้วยสายตาของเขา เขาคนเดียวสามารถทำงานของคนหลายคนให้สำเร็จได้
ในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา จ้าวเฟิงได้ค้นพบช่องว่างของค่ายกลของสำนักจำนวนมาก เขาได้ช่วยเหลือตำหนักภารกิจสำนักอย่างมาก และได้รับคำชื่นชมจากรองหัวหน้าตำหนักจาง
“หืมมม มีช่องว่าง 2 ช่องและ 13 จุดอ่อน”
จ้าวเฟิงผงกศีรษะและจดจำจำนวนลงในสมองเพื่อที่เขาจะได้รายงานกลับไปยังผู้เฒ่าจาง
ในเวลาเพียงแค่ทำน้ำชาหนึ่งถ้วย เด็กหนุ่มก็ได้ทำหน้าที่ของเขาเสร็จสิ้น และหลังจากนั้น เขาจึงเลียริมฝีปากก่อนจะนำตราของเขามาเปิดค่ายกลและเข้าไปด้านใน แต่เมื่อคิดถึงมันแล้ว หากเขาเข้าไปด้านในบ่อพันบุปผาด้วยตราของเขา เสียงที่ดังขึ้นย่อมไม่น้อยและเขาเป็นเพียงศิษย์สายนอกที่ไม่มีสิทธิที่จะเข้าไป
จ้าวเฟิงตัดสินใจที่จะทำตัวต้อยต่ำอีกหน่อยและเข้าไปยังบ่อพันบุปผาด้วยหนึ่งในช่องว่าง
“วู้ววว”
จ้าวเฟิงชโลมร่างของเขาในน้ำและรู้สึกได้ถึงพลังงานเย็นเยียบประการหนึ่งที่แพร่กระจายไปทั่วร่างจากสายน้ำนั้น
เด็กหนุ่มปิดเปลือกตาและจมทั้งร่างลงในน้ำ
ตึก! ตึก!
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงเสียงเต้นตุบจากดวงตาซ้ายอีกครั้ง พลังงานที่เขาดูดซึมได้ได้เพิ่มมากขึ้น
“ประสิทธิภาพของมันไม่มากเท่ายาชำระไขกระดูก แต่ว่ายาวนานกว่า…”
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป โดยไม่รู้ตัว เขาเกือบจะเผลอหลับในบ่อน้ำและได้เข้าสู่สถานะ ‘แกล้งตาย’ คล้ายกับยามที่เขาฝึกวิชากลืนวนาลัย…
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ร่างกายของเขาได้ผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนซึ่งทำให้ความเร็วในการดูดซึมพลังงานรวดเร็วขึ้น