บทที่ 167 : สร้อยข้อมือช่องว่าง
นรกแห่งความตาย
ภายในมิติสีหม่น สตรีที่เล่นพิณเต็มไปด้วยอารมณ์ ผิวของนางนั้นราวกับหยกและมีรูปร่างสะโอดสะองสมบูรณ์แบบ ทุกๆ รอยยิ้มที่ผลิแย้มเต็มไปด้วยความเย้ายวน
ในสายตาของทุกคน นางคือความสมบูรณ์แบบ กระทั่งภายใต้เสียงตะโกนของหยางก่าน กวานเฉินและคนอื่นๆ ต่างก็ไม่ต้องการที่จะเลยผ่าน ‘รางวัล’ นี้ไป
“งดงามเหลือเกิน แต่แปลกเกินไป…”
หลินฟ่านมีสีหน้านิ่งอึ้งบนใบหน้าพร้อมกับที่ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำเมื่อเขาคิดถึงสายตานิ่งอึ้งของเขาก่อนหน้า ชายหนุ่มเบนสายตาไปด้านข้าง เขาพบว่าสีหน้าของจ้าวเฟิงนั้นเป็นเช่นปกติและไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แม้แต่น้อย
ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งยามนี้ สีหน้าของเด็กหนุ่มผมครามไม่ได้แปรเปลี่ยนไป หลินฟ่านรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะพลังใจของจ้าวเฟิงนั้นแข็งแกร่ง หรือว่าเป็นเพราะเด็กหนุ่มนั้นไม่รู้เรื่องราวราคะ
“หุบปาก!”
หยางก่านสูดลมหายใจลึกและบังคับให้ตนเองไม่มองไปยังสตรีที่งามล่มเมืองนั้น ก่อนที่เขาจะกวาดตามองไปยังกวานเฉินและคนอื่นๆ อย่างเย็นชา
“สตรีผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดาเมื่อปรากฏขึ้นที่นี่ บางทีพวกเจ้าอาจถูกหลอก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนล้วนเข้าใจในสิ่งที่เขาหมายถึง
ตำหนักยอดนภานั้นถูกปิดป้องจากภายนอก และมันจะเปิดขึ้นทุกๆ ห้าปี มันแปลกเกินไปที่จะมีสตรีผู้หนึ่งอาศัยอยู่ได้
เหงื่อเย็นเยียบไหลโชกบนร่างของเหล่าศิษย์ พวกเขาไม่กล้าที่จะเหลือบมองไปยังนางอีกต่อไป
“ศิษย์พี่หลิว ท่านเห็นสิ่งใด?” จ้าวเฟิงเอ่ยไปยังหลิวเยว่เอ๋อร์ด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ
“ข้า…”
ใบหน้าของหลิวเยว่เอ๋อร์แดงก่ำขณะที่นางลนลานเล็กน้อย คนผู้นั้นอยู่อยู่ภายในกระโจมคือภาพที่สมบูรณ์แบบในหัวใจของพวกเขา บุรุษจะเห็นสตรีงดงาม และสตรีจะเห็นบุรุษหล่อเหลา
“รางวัลนี้ใกล้นัก ทว่าข้าแนะนำให้ทุกคนยอมแพ้ การทดสอบแรกจะจบลงในไม่ช้า และจากประสบการณ์ก่อนหน้าในตำหนักยอดนภา มันจะมีรางวัลอยู่หากเราผ่านการทดสอบแรกไปได้” หยางก่านเอ่ยกับทุกคน จากนั้นจึงพลันกลายเป็นประกายแสงสีม่วงพุ่งออกไป
“มีพลังจิตมายาจำนวนมหาศาลในกระโจมนั่นซึ่งหลอกได้กระทั่งข้า หากข้าบินข้ามไปและถูกล่อลวงด้วยพลังจิต…” เป่ยโม่ยเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และจากไปอย่างเด็ดขาด
ทุกคนรู้สึกไม่เต็มใจ ทว่าพวกเขารู้ว่ากระโจมนั้นแปลกจนเกินไป ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงยอมแพ้และไปต่อ กระทั่งบางคนเช่นกวานเฉินก็ได้กัดฟันของเขาและบังคับให้มองเลยออกไป
“ศิษย์น้องจ้าว?”
หลินฟ่านพลันตระหนักได้ว่าจ้าวเฟิงไม่มีทีท่าจะจากไป
“ท่านไปก่อน ด้วยความเร็วของท่านในตอนนี้ ท่านสามารถผ่านการทดสอบแรกได้” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเยือกเย็น
หลินฟ่านประหลาดใจ ทว่าเขาไม่ได้ตั้งคำถามกับคำพูดของอีกฝ่ายและจากไปในทันที มีเพียงจ้าวเฟิงที่ไม่ขยับตัวและเหลืออยู่เป็นคนสุดท้าย
“ศิษย์น้องจ้าว…”
น้ำเสียงที่ดังขึ้นราวกับเสียงมดดังขึ้นจากเบื้องหน้า เมื่อมองไปเด็กหนุ่มจึงพบกับหลันเสี่ยวหยวนที่มองมายังเขาอย่างวิตกกังวล
“ข้าไม่เป็นไร ท่านไปก่อน”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบางขณะที่เขามองไปยังอีกฝ่ายอีกครั้งก่อนจะมองไปเบื้องหน้าอย่างเยือกเย็นอีกครั้ง
กำปั้นของหลันเสี่ยวหยวนกำแน่นเข้าหากันพร้อมกับคิ้วที่ขมวดมุ่นพร้อมกับที่นางมองไปยังเด็กหนุ่มอย่างกังวลว่าอีกฝ่ายอาจถูกล่อลวงโดยสตรีในกระโจม นอกจากนั้น สีหน้าของอีกฝ่ายยังไม่ปรากฏวี่แววว่าเขาจะฟังนางแม้แต่น้อย
ปึก!
ร่างของเด็กหนุ่มพลันทะยานขึ้นสู่อากาศราวกับมัจฉาที่แหวกว่ายในธารา ร่างของเขาลอยไปยังกระโจม
“อย่า!” หลันเสี่ยวหยวนอุทานออกมาอย่างตื่นตะลึง
รางวัลทุกอย่างเต็มไปด้วยอันตราย และภาพของกระโจมนั้นแปลกประหลาดยิ่งนัก พวกเขาไม่อาจมองมันได้ทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงมิกล้าที่จะทดลอง
ฟู่วว ฟู่วว
ลมที่ทรงพลังเหนือนรกพัดโหมขึ้นลง สร้างการโจมตีละลอกแล้วละลอกเล่าแก่จ้าวเฟิง
“โอ้ สวรรค์! ศิษย์น้องจ้าวถูกล่อลวงแล้ว…”
ศิษย์ที่อยู่ใกล้บางคนยังคงอยู่ในระยะที่ยังสามารถเห็นการกระทำ ‘ไร้สติ’ ของเด็กหนุ่มได้
นอกจากหลันเสี่ยวหยวนแล้ว ยังมีหลู่ฮู่ หลิวเยว่เอ๋อร์ และซุนหยวนเฮา
“เป็นวิชาเคลื่อนไหวที่ลึกล้ำอันใดเช่นนี้!”
หนึ่งในสามศิษย์หลัก หลู่ฮู่ ประหลาดใจ ประกายแสงสีครามได้ล้อมรอบร่างของจ้าวเฟิงเอาไว้ ทำให้เขาหลอมรวมเข้ากับสายลมและผ่านช่องว่างที่เล็กจ้อยระหว่างพวกมันได้ไป เขาใช้พลังของสายลมในการผลักร่างของตนเองให้เคลื่อนไปเบื้องหน้าพร้อมๆ กัน
ในเสี้ยวพริบตา จ้าวเฟิงก็ได้ทะยานออกไปนับสิบหลา มันเป็นยามนี้เองที่ภาพของกระโจมนั้นแปรเปลี่ยนไป สตรีแปลกประหลาดผู้นั้นลุกขึ้นและแย้มรอยยิ้มไปยังเด็กหนุ่ม ภาพที่ดึงดูดนั้นได้ทำให้หลู่ฮู่และคนอื่นๆ นิ่งอึ้ง
มันสามารถจินตนาการได้เลยว่าสถานการณ์เลวร้ายอันใดที่จ้าวเฟิงจะเผชิญต่อไป
“ฮี่ฮี่ งดงาม…”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มเหยียดหยามใจกลางอากาศและยังคงวิ่งไปบนอากาศราวกับว่าเขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แม้แต่น้อย
สตรีในกระโจมประหลาดใจเล็กๆ นางไม่ได้คิดว่าเด็กเหลือขอผู้หนึ่งที่ไม่แม้แต่จะเข้าสู่นภาที่สามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณจะสามารถป้องกันภาพลวงตาที่สร้างขึ้นจากพลังจิตของนางได้
ปึก!
จ้าวเฟิงพลิ้วร่างลงบนกระโจมอย่างแผ่วเบา ภาพนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้แก่หลู่ฮู่และคนอื่นๆ นัก
“สามี!”
หญิงสาวผู้นั้นแย้มยิ้มยั่วยวนขณะที่นางเริ่มปลดเปลื้องอาภรณ์ของนางออก เผยให้เห็นผิวขาวราวหิมะภายใต้เสื้อผ้าเหล่านั้นของนาง…
สาวงามที่แปลกประหลาดได้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนาง เผยให้เห็นเรือนร่างสมบูรณ์แบบ
มันเป็นวินาทีที่แทบจะทำให้ผู้คนหยุดหายใจ
“ไสหัวไป!”
ประกายแสงแล่นวูบในดวงตาของจ้าวเฟิงขณะที่เขาวาดขาเตะออก สาวงามที่เพิ่งจะเปลื้องผ้าของนางกระเด็นลอยออกไปและกระแทกเข้ากับเสาพร้อมด้วยเสียง ‘ตูม’
“เจ้า…”
หญิงสาวพ่นโลหิตออกคำโตพร้อมกับที่ใบหน้าของนางที่กลายเป็นขาวซีด
อ๊า!?
ภาพนั้นได้ทำให้ปากของผู้ที่เฝ้ามองอยู่อ้าค้าง จ้าวเฟิงนับว่าโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว
ฟุ่บ!
สาวงามพลันแปรเปลี่ยนไปเป็นควันสีม่วง และในเสี้ยววินาทีต่อมา จิ้งจอกสีม่วงที่สั่นสะท้านอยู่ภายในกรงก็ได้ปรากฏขึ้นแทน
ภาพของจิ้งจอกที่ถูกจับนั้นแปลกประหลาดยิ่งนัก
“นี่คือจิ้งจอกมายา ที่เป็น ‘สัตว์อสูรเหยา’ สัตว์ปีศาจระดับสูง” หลู่ฮู่อุทานออกมา
สัตว์ปีศาจนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัว ทว่าพวกมันไม่มีความคิดเป็นของตนเองและมีสายเลือดของเหยาเพียงเล็กน้อย หรือถูกปนเปื้อนด้วยสารพิษ
สัตว์อสูรเหยานั้นมีปัญญาสูงและมีสายเลือดของเผ่าพันธุ์โบราณ พวกมันมีระดับเหนือกว่าสัตว์ปีศาจ และกระทั่งสามารถฝึกตนได้
จ้าวสัตว์ปีศาจที่นครหลวงกว่านจวินในวันนั้นเป็นสัตว์อสูรเหยาระดับต่ำ และมันเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณ
ในทวีปบุปผาคราม มีสัตว์อสูรจำนวนเพียงเล็กน้อยที่มีพลังที่จะพลิกมหาสมุทรและนำกองทัพสัตว์อสูรที่สามารถทำลายแคว้นสองสามแคว้นได้
แน่นอนว่าโลกของสัตว์อสูรนั้นก็มีกฎของมัน และมันมีความสมดุลประการหนึ่งระหว่างพวกมันกับสำนัก
“จิ้งจอกมายานั้นอาจเทียบเท่าได้กับนภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ”
ดวงตาของหลู่ฮู่ส่องประกายระแวดระวัง
นภาที่ห้าแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ มันได้เหนือกว่าหยางก่านที่มีพลังฝึกตนสูงที่สุดในที่นี้ ทว่าจุดแข็งของจิ้งจอกมายาคือภาพลวงตาที่ถูกสร้างขึ้นจากพลังจิต และกระทั่งหยางก่านก็มิอาจป้องกันพลังจิตนี้ได้ขณะที่ก้าวข้ามนรก
“ไอ้เด็กเวร ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ” จิ้งจอกมายาเอ่ยอย่างเกลียดชังขณะที่มันกัดฟันกรอด
หากไม่เป็นเพราะกรงนี้ มันย่อมสามารถฉีกกระชากร่างของมนุษย์ในนภาที่สองหรือสามแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณเป็นชิ้นๆ ได้อย่างง่ายดาย จ้าวเฟิงไม่สนใจที่จะฟังและตรงไปยังโต๊ะหินใจกลางกระโจม
บนโต๊ะนั้นปรากฏถาดผลไม้ถาดหนึ่ง ไวน์ขวดหนึ่ง สร้อยข้อมือหนึ่งอัน และพิณอีกหนึ่งคัน
เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปและหยิบหนึ่งในผลไม้ขึ้นเพื่อตรวจสอบว่ามันคือสิ่งใด
“นี่ควรเป็นผลไม้จิตวิญญาณม่วงที่ฟื้นฟูพลังกายและพลังจิต”
จ้าวเฟิงหยิบผลไม้ขึ้นอีกสี่ห้าชนิดก่อนจะดมกลิ่นไวน์ในขวด
“ไวน์นี่ควรจะเป็นไวน์จิตวิญญาณระดับต่ำที่สามารถฟื้นฟูพลังของผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้”
อึก!
เด็กหนุ่มจิบมันไปอึกเล็กๆ ก่อนจะรู้สึกได้ในทันทีว่าปราณแท้ พลังจิตและพลังกายของเขาฟื้นฟูขึ้น หลังจากวิ่งมาเป็นเวลาสองวันไม่หยุดยั้งภายใต้แรงกดดันและความเหนื่อยล้า จ้าวเฟิงนั้นได้อยู่ในชายขอบในการเพิ่มพลังฝึกตนของเขาแล้ว
สิ่งสุดท้ายคือสร้อยข้อมือ เด็กหนุ่มคว้ามันและหัวเราะ
“นี่ควรเป็นสร้อยข้อมือช่องว่าง สิ่งของที่แย่ที่สุดที่สามารถเก็บของได้เช่นนี้มีมูลค่าเทียบเท่ากับอาวุธชั้นมนุษย์ระดับสูงแล้ว”
สร้อยข้อมือนี้เป็นสิ่งที่สามารถเก็บสิ่งของได้ และมูลค่าของมันเหนือกว่าสิ่งอื่นๆ บนโต๊ะรวมกันเสียอีก
“อันใดนะ!? สร้อยข้อมือช่องว่าง!?”
ความตื่นตะลึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลู่ฮู่และคนอื่นๆ
“สิ่งของช่องว่างระดับต่ำที่สุดก็เทียบเท่าได้กับอาวุธมนุษย์ระดับสูงแล้ว…”
น้ำเสียงของหลู่ฮู่สั่นสะท้านเล็กๆขณะที่ความโลภได้ปรากฏขึ้นในแววตาของเขา อาวุธมนุษย์ระดับสูงนั้นมีราคาอย่างน้อยหนึ่งล้านผลึกเริ่มต้นจำลอง หรือหนึ่งหมื่นผลึกเริ่มต้นระดับต่ำ นอกจากนั้น สิ่งที่สามารถเก็บสิ่งของอื่นใดนั้นหาได้ยากนัก
จ้าวเฟิงหยิบสร้อยข้อมือขึ้นมาก่อนจะหลอมรวมจิตของเขาเข้าไปภายใน เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงช่องว่าง 1 ลูกบาศก์เมตรด้านใน
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ผลไม้จิตวิญญาณม่วงและขวดไวน์ได้หายไปพร้อมกับที่พวกมันถูกเก็บอยู่ภายในสร้อยข้อมือช่องว่างนั้น
“สิ่งของช่องว่างนั้นนับว่าลึกลับโดยแท้”
จ้าวเฟิงยินดีอย่างมากและจดจำขึ้นถึงยามที่เขาอ่านหนังสือทุกเล่มเพื่อเพิ่มความรู้ของเขาขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ในที่สุด ดวงตาของเขาก็หยุดลงที่พิณที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนที่มันจะถูกเก็บเข้าในสร้อยมือในเสี้ยววินาทีเช่นกัน
พิณนั้นเป็นอาวุธชั้นมนุษย์ระดับกลางซึ่งเด็กหนุ่มเห็นมันตรงๆ ทว่าอาวุธดนตรีนั้นไม่ได้สร้างความสนใจให้เขาหรือทำให้เขาอยากใช้มันแต่อย่างใด ทว่ามันอาจแลกเปลี่ยนได้กับผลึกเริ่มต้นเพื่อจ่ายหนี้ที่เขาติดไว้กับผู้เฒ่าจางได้ และเขาอาจกระทั่งซื้อลูกธนูโหลวฮัวได้หากเขาโชคดีพอ
“ไอ้หนู อย่าได้อวดดีนัก!”
จิ้งจอกมายาคำราม นางนั้นกราดเกรี้ยวกับการเมินเฉยของอีกฝ่ายนัก จิ้งจอกได้ใช้มายาจำนวนมากออกอีกครั้ง ทว่าจ้าวเฟิงนั้นมีพลังต่อต้านที่แข็งแกร่งยิ่งนักและทำให้เขาไม่ได้รับผลใดๆ แม้แต่น้อย
เขาได้เห็นร่างที่แท้จริงของสตรีผู้นั้นตั้งแต่ยามที่กระโจมปรากฏขึ้น ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่แม้แต่จะได้รับผลใดๆ แม้แต่น้อย
ปึก!
ร่างของจ้าวเฟิงนั้นราวกับปลาที่แหวกว่ายผ่านอากาศและกลับมายังถนนสีดำทองในเวลาไม่กี่ลมหายใจ
ปากเล็กของหลันเสี่ยวหยวนอ้าค้างอย่างประหลาดใจ
“ศิษย์น้องจ้าว รางวัลของเจ้ายอดเยี่ยมนัก เจ้าคงไม่เก็บมันไว้แต่เพียงผู้เดียวใช่หรือไม่?”
หลู่ฮู่ส่งเสียง ‘ฮี่ฮี่’ ออกมาและไม่ได้ปิดบังความกระหายอยากบนใบหน้า ปราณแท้ที่มากมายทรงพลังได้โคจรอยู่ในร่างของเขา พร้อมกับที่เขาได้ส่งกลิ่นอายที่ทรงพลังกว่าผู้ฝึกตนในนภาที่สี่ทั่วไปอย่างมหาศาลออกมา
หลู่ฮู่นั้นเป็นหนึ่งในสามศิษย์หลักที่มีจุดเด่นอยู่ที่การเสริมกายา พลังของเขานั้นกระทั่งเหนือกว่ากวานเฉิน
“ท่านกล้าโจมตีข้าหรือ?” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเย็นขณะที่เรือนผมสีครามของเขาพลิ้วไหวไปตามสายลม