ตอนที่ 18
คนส่วนใหญ่เลือกขี่ม้า ช่างดูสง่างามและน่าเกรงขาม แต่เสิ่นชิงชิวนั้น 1.เพราะขี่ม้าไม่เก่ง ไม่อยากร่วงลงมาคอหักตาย 2.ไม่ชอบที่สายลมแสงแดด สายฝนกลางแจ้งทำให้เขารู้สึกสบายตัวไม่พอ สง่างามไม่พอ เลยเข้าไปนั่งในรถม้าท่ามกลางสายตาจ้องมองของทุกคน
ที่นั่งด้านในรถม้านั้นมีผู้เข้าไปนั่งอยู่ก่อนแล้ว พอเห็นเขาเอาพัดด้ามจิ้วเลิกม่านรถเข้ามา ผู้ที่อยู่ในรถก็กล่าวเหยียดหยามทันที “ผู้ชายตัวโตๆคนหนึ่งจะมาแย่งชิงที่นั่งกับข้าหรือ”
หญิงสาวผู้นี้คิ้วตางามหมดจด มวยผมเป็นทรงเมฆเหิน เอวอ้อนแอ้น อกอวบอิ่ม นางคือฉีชิงชีเจ้ายอดเขาเซียนซูเฟิงนั่นเอง
ฉีชิงชีกับเสิ่นชิงชิวในนิยายดั้งเดิมไม่สนิทกัน ทั้งไม่ค่อยติดต่อคบหาอะไรกันเท่าไรนัก แต่สองสามปีมานี้ เสิ่นชิงชิวต้องร่วมงานกับนางเป็นครั้งคราว ทำให้รู้ว่านางเป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา ปากร้าย คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เลยคบหากันมาได้ไม่เลยทีเดียว
เสิ่นชิงชิวใช้พัดด้ามจิ้วโบกเป็นนัยให้นางขยับที่ให้ พลางกล่าวหน้าตาเฉย “ข้าเป็นคนป่วย”
ฉีชิงชีขยับที่ให้เขานั่งแต่โดยดี ปากยังคงกัดไม่ปล่อย “สำออยเหลือเกิน! เรี่ยวแรงเป็นเด็กน้อยอ้อนแอ้นแบบนี้ ไหนเลยจะคล้ายผู้ฝึกวิชาเซียนระดับจินตาน คงไม่ใช่ว่าอีกประเดี๋ยวจะมีคนมาปรนนิบัติเจ้ากินของว่างหรอกนะ”
เสิ่นชิงชิวพลันนึกขึ้นได้ “จริงด้วย ขอบใจศิษย์น้องหญิงที่ช่วยเตือน” ว่าแล้วก็เอาด้ามพัดเคาะที่ผนังรถม้า
ครู่ต่อมาม่านรถถูกคนเลิกขึ้น ลั่วปิงเหอถามยิ้มๆ “ซือจุน ของว่าง น้ำ หรือว่าปวดเอวขอรับ”
ม้าขาวปลอดทั้งตัวสะบัดแผงคออย่างคึกคักกระปรี้กระเปร่า หนุ่มน้อยรูปงามโดดเด่นเกินใคร ภายใต้แสงตะวันสาดส่อง ช่างดูเจิดจ้าจับนัยน์ตาอย่างมาก
เสิ่นชิงชิวบอกว่า “อาจารย์อาฉีของเจ้าอยากกินของว่างแน่ะ”
ลั่วปิงเหอล้วงของว่างที่ห่ออย่างประณีตออกมาจากอกเสื้อยื่นส่งให้ทันที เห็นชัดว่าเตรียมเอาไว้พร้อม
เขากล่าวต่อ “ซือจุนมีคำสั่งใดอีก ก็เรียกข้านะขอรับ” จากนั้นจึงค่อยเอาม่านลง
หลิ่วชิงเกอกระตุ้นม้าเดินผ่านไป แค่นเสียงดังเฮอะทีหนึ่ง
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “นั่นย่อมแน่นอน” เขาก้มหน้าแก้ห่อกระดาษออก “ขนมหนวดมังกร* ไม่เลว” จากนั้นหันไปยื่นขนมให้ฉีชิงชี “กินไหม”
(ขนมหนวดมังกร หรือที่คนไทยเรียก ขนมไหมฟ้า ทำจากแป้ง น้ำผึ้งและถั่วหลายชนิด)
ความรู้สึกของฉีชิงชีในเวลานี้ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดอย่างที่สุด
นางคิดว่าหลักๆน่าจะนึกเคียงนั่นแหละ ที่ศิษย์ทั้งละเอียดรอบคอบและพลังทิพย์สูงส่งเช่นนี้กลับเป็นศิษย์ของเสิ่นชิงชิวไปเสียได้
แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย นางไม่รู้หรอกว่า มีคำที่บรรยายความรู้สึกได้เป๊ะกว่านั้น นั่นคือ ‘แสลงตา’
ฉีชิงชีไม่มองเสิ่นชิงชิวที่หยิบขนมหนวดมังกรขึ้นมากิน ด้วยยังกระฟัดกระเฟียดไม่จบ “ขนาดหมิงเยียนยังขี่ม้าเลย”
ขอแค่ทำให้เสิ่นชิงชิวรู้สึกกระดากอายขึ้นมาบ้างก็ถือเป็นชัยชนะแล้ว
พอดีกับที่เสิ่นชิงชิวไม่มีอะไรจะทำ เลยมองออกไปข้างนอก จริงด้วยหลิ่วหมิงเยียนมีผ้าโปร่งคลุมหน้า สะพายกระบี่ ‘สุ่ยเส้อ’ (สีน้ำ) นั่งตัวตรงเป็นสง่าบนหลังม้า สายลมโชยอ่อนพัดเสื้อผ้าเนื้อเบาพลิ้วให้กระพือน้อยๆ ดูราวกับเทพธิดาที่กำลังลอยละล่อง
ภาพนี้ช่างงามจับตาจับใจ เสิ่นชิงชิวอดมองซ้ำไม่ได้ กล่าวพลางถอนใจ “งามตรึงตาตรึงใจโดยแท้”
ฉีชิงชีแหวใส่หน้าเขา “ห้ามจ้องศิษย์รักข้าตาเป็นมันแบบนั้นนะ”
บทสนทนานี้ไปเข้าหูลิ่วปิงเหอที่อยู่ใกล้พอดี เขาหน้างอขึ้นมาเดี๋ยวนั้น แต่เสิ่นชิงชิวไม่ได้สังเกตสีหน้าเขา ตั้งหน้าตั้งตากินขนมพลางมองมาทางนี้พลาง เขาทำท่าราวกับกำลังอยู่ในโรงหนัง กินป็อปคอร์น ดื่มโคล่า รอว่าเมื่อไหร่หนังตัวอย่างจะฉายจบ แล้วหนังจริงจะได้เริ่มเสียทีอย่างไรอย่างนั้น
นั่นคือหลิ่วหมิงเยียนเชียวนะ! นางเอกกับพระเอกเข้าฉากด้วยกันแล้ว พอเฉียดใกล้กันมันก็ต้องมีสปาร์กกันบ้างแหละ
ลั่วปิงเหอเห็นซือจุนมัวแต่มองหลิ่วหมิงเยียนไม่วางตา มือก็กุมบังเหียนแน่นเข้าจนเห็นข้อกระดูกปูดโปน
งามตรึงตาตรึงใจหรือ
หน้ายังเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำ ต่อให้งามแค่ไหนยังจะงามสู้ข้าได้รึ
ลั่วปิงเหอไม่ได้หลงตัวเองเลยจริงๆ แต่เขาตระหนักดีว่าหน้าตาตัวเองเป็นอย่างไร ไม่เคยนึกโอ่อวดลำพอง ทว่าก็ไม่เคยเหยียบตัวเอง เพื่อถ่อมตนอย่างเสแสร้งเช่นกัน
ผ่านไปครึ่งค่อนวันก็ไม่เห็นเสิ่นชิงชิวมีทีท่าจะละสายตาเสียที ลั่วปิงเหออดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาตวัดแส้กระตุ้นเบาๆ ม้าขาวก็เร่งฝีเท้าไปข้างหน้าจนตีคู่กับม้าของหลิ่วหมิงเยียน
ลั่วปิงเหอยิ้มบางๆกล่าวทักทายว่า “ศิษย์น้องหลิ่ว”
หลิ่วหมิงเยียนตกตะลึงผินหน้ามาเล็กน้อยกล่าวตอบอย่างมีมารยาท “ศิษย์พี่ลั่ว”
โอ้วๆๆๆๆๆ เอาแล้ว เอาแล้ว!
ชีวิตนี้ในที่สุดก็มีวันที่ได้เห็นฉากพระเอกนางเอกในนิยายขี่ม้าคลอคู่กันไปด้วยตาตัวเอง เสิ่นชิงชิวแอบตื่นเต้น ยื่นหน้าออกไปอย่างอดไม่อยู่
ลั่วปิงเหอมองด้วยหางตา เห็นว่าเสิ่นชิงชิวไม่เพียงไม่ยอมละสายตา กลับยิ่งมองมาทางนี้อย่างจริงจังขึ้นไปอีก ขีดดำเรียงแถวขึ้นเต็มหน้าผาก จุกแน่นในอกขึ้นมาถึงคอหอย ทางหนึ่งหัวร่อต่อกระซิกกับหลิ่วหมิงเยียน ทางหนึ่งแอบเร่งม้าของพวกเขาทั้งสองให้เร็วขึ้นอย่างแนบเนียน ในที่สุดก็ออกมาห่างขนาดที่ว่าหากเสิ่นชิงชิวไม่ชะโงกออกมาจากรถม้าเกือบหมดตัวก็ไม่มีทางมองเห็นเด็ดขาด
เสิ่นชิงชิวได้แต่เก็บสายตากลับไปอย่างผิดหวัง
ลืมไปได้อย่างไร ตอนพระนางเขาจู๋จี๋กัน เคยมีก้างขวางคอหรือผู้คนมามุงดูให้เกะกะเสียที่ไหนเล่า แต่เจ้าเด็กน้อยโตแล้วจริงๆ จะจีบกันก็รู้จักหลบรู้จักเลี่ยงไม่ให้ผู้ใหญ่เห็น หรือในที่สุดก็เข้าสู่วัยต่อต้านแล้ว
………………………………………..
ณ หุบเขาทางตัน
หุบเขาทางตันกินเนื้อที่ครอบคลุมเทือกเขาที่ยาวติดต่อกันเจ็ดลูก แลดูเขียวครื้มเป็นทิว ในนั้นมีทั้งคลื่นน้ำวน น้ำตก หินประหลาด เหวลึก เขาสูง ภูมิประเทศสลับซับซ้อน ภูมิประเทศที่นี่เมื่อเข้าไปแล้วจะให้ความรู้สึกว่า ‘ถูกต้อนให้จนมุม’ สมกับชื่อของมัน แต่วนไปวนมาสักครู่ก็จะเห็นทางออกอย่างปุปปับซึ่งทำให้รู้สึกว่าสวรรค์ไม่ตัดสิ้นหนทางคน หากมองด้วยสายตาของเสิ่นชิงชิวแล้ว นับว่าเหมาะสมสำหรับการรวมกลุ่มผจญภัยหรือเอาไว้ปลูกบ้านอยู่เสียจริง
บรรดาน้องใหม่ที่เข้าร่วมการแข่งขันถูกจัดให้ยืนเข้าแถวเป็นหมวดหมู่อย่างมีระเบียบ ล้อมแท่นหินธรรมชาติขนาดใหญ่หน้าทางเข้าหุบเขาเอาไว้
กำลังสำคัญที่เข้าร่วมงานคือสี่สำนักใหญ่ โดยมีชางฉยงซานเป็นผู้นำ ตามมาติดๆด้วยวัดเจาหัว(งามอร่าม) อารามเทียนอี(เป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์) แล้วก็วังฮ่วนฮวา(วังบุปผามายา)
ในสี่สำนักนี้ ชางฉยงซานความสามารถหลากหลายมากที่สุด ในบรรดายอดเขาทั้งสิบสอง แต่ละยอดเขาต่างโดดเด่นไปคนละแขนง สามารถเอามาใช้ได้หลายทาง ส่วนวัดกับอารามนั้นย่อมจะเป็นฐานที่มั่นของบรรดาหลวงจีนและนักพรต ขณะที่วังฮ่วนฮวาค่อนข้างซับซ้อนหน่อย สำนักนี้สอนแนวคิดหลากหลาย เชี่ยวชาญวิชาค่ายกลพิสดาร ติดต่อคบหากับคนธรรดาทั่วไปค่อนข้างมาก วิชาคาถาของพวกเขาอยู่ระดับใดไม่กระจ่างชัด แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งไม่เคยเป็นที่กังขา ก็คือสำนักนี้ได้ชื่อว่าร่ำรวยมากที่สุด งานชุมนุมใหญ่แต่ละครั้งสำนักนี้ออกเงินให้มากที่สุดเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีสำนักขนาดกลางและเล็กอีกนับไม่ถ้วนเข้าร่วมงาน ดังนั้นจำนวนผู้คนที่มารวมตัวกันที่หุบเขาทางตัน เพื่อเข้าร่วมชิงชัยจึงมากกว่าพันคน
ปากทางเข้าหุบเขาที่ก่อนหน้านี้มีแต่ความเงียบสงบ จู่ๆมีผู้คนนับพันหลั่งไหลเข้ามา สัตว์ป่าที่ไม่เคยเห็นคนพากันแตกตื่น ถือเป็นความคึกคักในหลายรูปแบบ
ทางเข้าหุบเขาทั้งสี่ด้านได้สร้างแท่นสูงเอาไว้แล้ว เพื่อให้เหล่าซิวซื่อ* ที่ไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันใช้เป็นอัฒจันทร์สำหรับชม ธงหลากสีอันเป็นสัญลักษณ์ของแต่ละสำนักโบกสะบัดท้าแรงลมอยู่บนแท่น ส่วนตำแหน่งสูงสุดบนอัฒจันทร์จัดไว้สำหรับผู้นำระดับสูงของแต่ละสำนัก กลุ่มคนของชางฉยงซานที่มีเยวี่ยชิงหยวนเป็นผู้นำล้วนนั่งอยู่บนที่สูง
(ซิวซื่อ คือ คำเรียกชาวยุทธ์ผู้ฝึกวิชาเซียน แปลตามตัวอักษรได้ว่า นักรบผู้ฝึกตน)
หลังจากเสิ่นชิงชิวนั่งลง ผู้เฒ่าผมขาวโพลน กิริยาท่าทางสง่างามที่นั่งติดกับเขากล่าวทักทายคนของชางฉยงซานทุกคนไม่มีเว้น รวมทั้งหันมาผงกศีรษะให้เขา “เสิ่นเซียนซือ”
นี่คือกงจู่* เฒ่า หรือประมุขของวังฮ่วนฮวา หรืออีกนัยหนึ่งคืออาจารย์ของแม้แท้ๆลั่วปิงเหอนั่นเอง เสิ่นชิงชิวคารวะตอบด้วยท่าทางของคนที่มามุงดูเชื้อพระวงศ์ผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่
(กงจู่ แปลว่า เจ้าของวัง)
ไม่นาน ศิษย์ของวังฮ่วนฮวาผู้หนึ่งก็ขึ้นไปบนแท่นศิลา เมื่อจ่ายเงินมากที่สุดจะให้ผู้สนับสนุนหลักเป็นผู้เลือกคนมาเป็นพิธีกรดำเนินรายการก็ไม่มีตรงไหนไม่เหมาะสม ผู้คนที่อยู่ใต้แท่นนับพันค่อยๆพากันเงียบเสียงตั้งใจฟังเขาประกาศเรื่องต่างๆเกี่ยวกับงานชุมนุม
คนผู้นี้พื้นฐานกำลังภายในสูง ลมหายใจหนักแน่นเปี่ยมพลัง คนที่อยู่บริเวณปากทางเข้าหุบเขารวมทั้งผู้ที่อยู่บนอัฒจันทร์สูงสามารถได้ยินเสียงเขาอย่างครบถ้วนชัดเจน
“งามชุมนุมใช้เวลาเจ็ดวัน หลังจากที่ทุกท่านเข้าหุบเขาไปแล้ว จะร่ายเขตอาคมขนาดใหญ่ขึ้นครอบคลุมพื้นที่หุบเขาทางตันทั้งหมดภายในเจ็ดวัน ผู้เขาร่วมงานชุมนุมทุกคนที่อยู่ในหุบเขาจะถูกตัดขาด ไม่สามารถติดต่อกับผู้ที่อยู่นอกเขตอาคม ไม่อาจรับรู้สถานการณ์ภายนอก แต่ผู้ชมล้วนสามารถรับรู้สถานการณ์ภายในหุบเขาได้โดยผ่านเหยี่ยวภูตที่จะคอยบินอยู่เหนือน่านฟ้าของหุบเขา ปีศาจกว่าร้อยชนิดได้ถูกนำไปปล่อยไว้ในหุบเขาแล้ว รวมทั้งสิ้นเกือบห้าพันตน จับได้หนึ่งตน จะได้ลูกประคำหนึ่งเม็ดที่อยู่บนตัวพวกมัน ปีศาจแต่ละตนมีระดับชั้นต่างกัน ปราณทิพย์ที่อยู่ในลูกประคำก็แตกต่างกันทุกท่านล้วนสวมสร้อยทองที่ข้อมือกันแล้วใช่หรือไม่”
ผู้ที่อยู่ด้านล่างของแท่นสูงชูมือขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน แสดงสร้อยทองที่อยู่บนข้อมืด ดูเป็นภาพที่อลังการทีเดียว
พิธีกรกล่าวต่อ “หลังจากได้ลูกประคำมา ให้เอามาร้อยเข้าที่สร้อยทอง ผลงานของทุกท่านจะปรากฏบนป้ายจัดลำดับที่อยู่ตรงนี้ทันที”
ตารางจัดลำดับถูกแขวนอยู่ตรงหน้าแท่นสูง ถึงแม้มีมากถึงแปดแผ่น แต่สายตาของผู้คนทั้งหมดทั้งมวลย่อมจับที่รายชื่อร้อยลำดับแรกบนป้ายประกาศรายชื่อทองคำแผ่นที่หนึ่ง หรือไม่ก็แค่สิบคนแรกอยู่แล้ว ดังดำที่ว่า บุ๋นไม่มีที่หนึ่ง บู๊ไม่มีที่สอง* ก็เพราะเหตุนี้
(บุ๊นไม่มีที่หนึ่ง บู๊ไม่มีที่สอง อุปมาว่า การประลองยุทธ์นั้น ตัดสินแพ้ชนะกันได้เห็นชัดง่าย ขณะที่ประลองบุ๋นวัดว่าใครเก่งกว่ากันยาก)
สุดท้ายคนของวังฮ่วนฮวาได้กล่าวย้ำด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ห้ามไม่ให้มีการต่อสู้แย่งชิงลูกประคำระหว่างสำนัก! หากพบว่ามีการลอบทำร้ายใช้วิธีต่ำทรามแย่งชิงลูกประคำของผู้อื่น จะเพิกถอนสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานชุมนุมของคนผู้นั้นทันที และจะถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมงานชุมนุมอีกเป็นเวลาสามสมัย”
สามสมัยก็เท่ากับสิบสองปี
ผู้เข้าร่วมชุมนุมหน้าใหม่ที่มีทั้งปลาและมังกรปะปนกันเหล่านี้ มีมากที่อายุยังเยาว์ ไม่เคยผจญโลกภายนอก แต่ก็มีไม่น้อยที่เป็นพวกรอบจัด เล่นแง่ตีเนียนล้มลุกคลุกคลานมาแล้วหลายปี หากไม่มีการตั้งกฎห้ามต่อสู่ งานชุมนุมคงเละเทะวุ่นวายไปหมด ถึงขั้นเอาชีวิตเลยทีเดียว กฎนี้จึงมีความจำเป็นมาก
เสิ่นชิงชิวว่างจัดจนคันไปถึงกระดูก ทำทีเหมือนมองลงไปข้างล่างอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ใจลอบไปถึงไหนต่อไหนแล้ว แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหญิงสาวสองสามคนที่นั่งอยู่ข้างเจ้าสำนักท่านหนึ่งกระซิบกระซาบกัน
“นั่นเป็นศิษย์สำนักไหนกัน หล่อเหลาเอาการทีเดียว”
ชุดขาวนั่นเหมาะกับเขาจริงๆ หล่อไม่แพ้ศิษย์พี่กงอี๋เลย”
“แต่ศิษย์พี่กงอี๋ไม่เพียงหล่อเหลาเกินใคร พลังทิพย์ยังสูงส่งยิ่ง จะเอามาเปรียบได้อย่างไร”
“จุ๊ๆ เจ้านี่ได้ยินคนพูดถึงศิษย์พี่กงอี๋ว่าด้อยหน่อยเป็นไม่ได้เทียวนะ จะต้องรีบค้านหัวชนฝาทันที ยอมรับมาเถอะ!”
ยะ…ยอมรับอะไร เจ้าพูดอะไรของเจ้า แน่จริงพูดอีกทีซิ”
ตามมาด้วยอาการแง่งอนทุบตีกันให้วุ่นวาย แล้วหัวร่อต่อกระซิกกัน เสิ่นชิงชิวฟังแล้วรู้ทันทีว่าเป้าหมายของการซุบซิบนินทาของพวกนางนั้นคือลั่วปิงเหอที่อยู่ในชุดขาว ดูบริสุทธิ์สูงส่งท่ามกลางฝูงชนนั่นเอง
อันที่จริงไม่เพียงพวกนางเท่านั้นที่กำลังแอบซุบซิบ ในบรรดาศิษย์ที่อยู่ด้านล่างของแท่นอัฒจันทร์ สาวๆจำนวนไม่น้อยพากันลอบมองลั่วปิงเหอแล้วหน้าแดงแก้มเรื่อกันเป็นทิวแถว
ถึงพยายามกดเสียงให้เบาที่สุด ทว่าผู้ฝึกวิชาเซียนที่นั่งกันอยู่ตรงนั้นเป็นบุคคลระดับไหนแล้ว ประสาทสัมผัสล้วนเฉียบคมอย่างที่สุด ไหนเลยจะไม่ได้ยิน แต่สาวๆเหล่านี้อายุยังน้อยเลยไม่ทันระวังตัว ถูกคนได้ยินเรื่องที่กระซิบกระซาบกันจนหมด ยังดีที่พวกผู้อาวุโสแต่ละท่านล้วนเห็นแก่หน้า เจ้าสำนักผู้นั้นที่ทำเป็นเอามือป้องหน้าผากก้มหน้าพักผ่อน แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และไม่หันไปมองด้วย
มีคนกระแอมขึ้นสองทีเพื่อทำลายบรรยากาศอันกระอักกระอ่วนนี้กล่าวยิ้มๆ “สหายพรตทุกท่าน คราวนี้พวกเราก็ลองมานับกัน เหมือนอย่างครั้งก่อนดูสักตั้ง งานชุมนุมเซียนคราวนี้จะมีหน้าใหม่คนไหนแจ้งเกิดหรือไม่”
เสิ่นชิงชิวตื่นตัวขึ้นมาทันที
คำว่า ‘ลองมานับ’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงคำนวณจริงจัง แต่เป็น…แทงเดิมพัน
พูดให้ชัดคือ วางเดิมพันลงบนตัวเด็กใหม่ที่เห็นว่าเข้าท่า
ผู้ฝึกวิชาเซียนก็ต้องมีสิ่งบันเทิงใจกันบ้าง อีกอย่างสิ่งเอามาเดิมพันก็ไม่ใช่เงินทองที่เป็นข้าวของรสนิยมต่ำพรรค์นั้น หากแต่เป็นของวิเศษเอย ศิลาทิพย์เอย ไปจนถึงจำนวนศิษย์ที่จะส่งไปอบรมกับสำนักของฝ่ายตรงข้าม ถึงไม่ได้เดิมพันกันด้วยของสำคัญอะไร แต่นับว่าเป็นกิจกรรมหนึ่งที่กลายเป็นประเพณีของงานชุมนุมเซียนไปเสียแล้ว
เจ้าสำนักใหญ่ๆ ที่สุภาพสำรวมอย่างเยวี่ยชิงหยวนแม้ถือตัว ไม่เล่นอะไรแบบนี้ แต่แน่นอนว่าต้องมีคนอื่นที่อยากร่วมสนุกด้วย ไม่นานนักบนอัฒจันทร์ก็มีการพนันขันต่ออย่างครึกครื้นหลายสิบกอง คนไม่น้อยวางเดิมพันข้างศิษย์ที่โดดเด่นของสำนักตัวเอง อย่างเช่นฉีชิงชีที่ใส่ชื่อหลิ่วหมิงเยียนว่าจะเป็นผู้ชนะ
เสิ่นชิงชิวเดิมพันว่าลั่วปิงเหอจะเป็นที่หนึ่งด้วยศิลาทิพย์ 5,000 ก้อนแบบไม่ต้องคิดเลย
เดิมพันหนักขนาดนี้เรียกเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที แม้แต่เยวี่ยชิงหยวนยังละการสนทนากับเจ้าอาวาสแห่งวัดเจาหัวหันมามอง เสิ่นชิงชิวเห็นเขาทำท่าอ้ำอึ้งก็กล่าวว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ข้าแค่แทงเล่นๆเพื่อกระตุ้นปิงเหอสักหน่อยเท่านั้น”
หลิ่วชิงเกอหัวเราะหยัน “แทงเล่น? ชิงจิ้งเฟิงของเจ้าขุดจนทะลุจะเจอศิลาทิพย์สักพันก้อนไหม”
เสิ่นชิงชิวอึ้ง ไม่มีจริงๆนั่นแหละ!
เดิมพันกันที่นี่แค่เขียนอักษรสองสามตัวก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย แล้วค่อยจ่ายทีหลัง ไม่ต้องแสดงหลักทรัพย์ ทุกคนล้วนเป็นผู้มีหน้ามีตา ไม่ต้องกลัวหนีหนี้ เขามั่นใจอยู่แล้วว่าไม่มีทางเสียแน่นอนจึงกล้าวางเดิมพันไว้สูง ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้วว่าเขามีทรัพย์สมบัติเท่าไรกันแน่
เยวี่ยชิงหยวนคงกลัวว่าจะเป็นที่ขายหน้าแก่คนนอกจึงรับเข้ามาไกล่เกลี่ย “เอาน่า เบาๆหน่อย ต้องมีอยู่แล้วซิ”
ฉีชิงชีสอดปากแบบเข็มเดียวเห็นโลหิต “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านจะออกให้หรือเจ้าคะ”
เยวี่ยชิงหยวน “ออกให้ซิ”
หลิ่วชิงเกอ “แพ้ใครจ่าย”
เยวี่ยชิงหยวน “ข้าเอง”
เสิ่นชิงชิว “ชนะใครได้”
เยวี่ยชิงหยวน “เจ้าซิ”
ตกลงกันเสร็จ ทุกคนออกพอใจยกเว้นหลิ่วชิงเกอ ขณะที่เสิ่นชิงชิวไปลงชื่อในใบเดิมพันอย่างกระดี้กระด๊า
เหล่าซิวซื่อต่างพากันพึมพำว่าเหตุใดไม่เคยได้ยินชื่อลั่วปิงเหอมาก่อน ความจริงก็ไม่แปลก ลั่วปิงเหอในเวลานี้ทำตัวเรียบๆไม่โฉ่งฉาง ไม่เอาดีเข้าตัว สะสางภารกิจทำความดีเสร็จก็จากไปอย่างเงียบเชียบมาตลอด ชื่อเสียงเรียงนามไม่ปรากฏ ดังนั้นจึงไม่เป็นที่รู้จัก คนส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องราวเลยเหมาเอาดั่งที่เสิ่นชิงชิวว่า ก็แค่เผื่อได้รางวัล และหวังกระตุ้นลูกศิษย์ตัวเองเท่านั้น
ส่วนด้านล่างของแท่นอัฒจันทร์ หลังจากบรรดาหน้าใหม่กล่าวคำปฏิญาณตนเป็นเสียงเดียวเสร็จ ก็เริ่มเข้าสู่สนามแข่งอย่างเป็นทางการ
เพราะมีคนเป็นจำนวนมาก จึงได้กำหนดทางเข้าไว้สิบสองจุด ปล่อยเข้าไปเป็นกลุ่ม คละปนกันหลายสำนัก บรรดามือใหม่ก้าวเข้าสู่เขตอาคมหุบเขาทางตัน เริ่มต้นการผจญภัยด้วยความตื่นเต้นและประหม่า ขณะที่บนอัฒจันทร์เหล่าผู้อาวุโสที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงแล้ว พอวางเดิมพันรอบแรกเสร็จ ก็สงบจิตสงบใจนั่งพูดคุยสัพเพเหระ แทะเม็ดกวยจี๊กันไปพลางๆ
ภายใจสนามประลอง มีเหยี่ยวภูตที่ควบคุมสั่งการโดยผู้เชี่ยวชาญร้อยกว่าตัว ที่กรงเล็บมีห่วงเงินฝังแก้วผลึกใสเป็นพิเศษ สามารถเก็บภาพเหตุการณ์และผู้คนทั้งหมดจากมุมสูง แล้วส่งภาพมายังฉากแก้วผลึกที่ติดตั้งไว้หลายจุดหน้าอัฒจันทร์ ให้ผลไม่ต่างอะไรกับอุปกรณ์มอนิเตอร์เลย
มีใครบางคนยิ้มหน้าบาน “จริงๆด้วย กงอี๋เซียวเข้าสนามก็คว้าที่หนึ่งมาเลย”