ตอนพิเศษ 6
บันทึกในห้วงฝัน
หลังจากล้มตัวลงนอนพักผ่อน ตอนลืมตาก็พบว่าตนเองอยู่ในสถานที่แปลกๆ เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่เป็นครั้งแรก ดังนั้นเสิ่นชิงชิวจึงไม่ตื่นด้วยรู้ว่าตนเข้ามาอยู่ในห้วงฝันของลั่วปิงเหออีกแล้ว ลอยเคว้งคว้างอยู่สักพัก จึงค่อยพลิ้วกายร่อนลงสู่พื้น
ยามย่างเยื้องเบาหวิวประหนึ่งขี่สายลม รอบด้านล้วนอร่ามเรืองรองไปด้วยประกายระยิบระยับแวววาว สไตล์การตกแต่งเลิศหรูอลังการ และไหนจะระเบียงทางเดินยาวเหยียดดูคุ้นตา ร้อยทั้งร้อยก็บอกได้เลยว่าที่นี่คือวังฮ่วนฮวานั้นเอง
เมื่อเดินไปตามระเบียงทางเดินเส้นนี้ สุดทางก็คือตำหนักหลักอันเป็นโถงที่ว่าการของวังฮ่วนฮวา ปกติร่างจริงของลั่วปิงเหอจะมารอเขาอยู่ก่อนแล้วในห้วงฝัน คราวนี้กลับไม่เห็นตัว นับเป็นเรื่องประหลาด
ในห้องโถงมีคนอยู่ เสิ่นชิงชิวมองเงาหลังที่ดูคุ้นตานั่น พอเข้าไปใกล้ก็ยิ่งประหลาดใจ ถามอย่างงุนงง “ศิษย์น้องมู่?”
‘มู่ชิงฟาง’ ที่ยืนตัวตรงอยู่นี้ เป็นภาพมายาที่อยู่ในความทรงจำของลั่วปิงเหอ ดังนั้นย่อมจะไม่ได้ยินที่เขาเรียก ศิษย์น้องคนนี้ ที่ผ่านมาเป็นคนใจเย็นอารมณ์ดีมาโดยตลอด ยามนี้ยืนอยู่ใจกลางห้องโถง สีหน้ากลับไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก
เสิ่นชิงชิวจำได้แล้ว ในยุทธจักรมีข่าวลือว่า หลังจากที่เขาแกล้งตายเพื่อหลบหนีได้ไม่นาน ลั่วปิงเหอเคยไปจับตัวมู่ชิงฟางกลับมาที่วังฮ่วนฮวาบังคับขู่เข็ญเขาให้ ‘รักษา’ ตน ก็นึกรู้ในใจว่าจะต้องเป็นเหตุการณ์ช่วงนั้นอย่างแน่นอน
เงาร่างมืดหม่นสายหนึ่งเดินเฉียดผ่านร่างเขาไปอย่างเงียบเชียบ เสียงของลั่วปิงเหอดังขึ้น “มู่เซียนเซิง” (ท่านมู่)
ในดวงตาของ ลั่วปิงเหอ ผู้นี้ไม่สะท้อนภาพของเสิ่นชิงชิว ไม่ได้รับรู้ว่าเขายืนอยู่ตรงนั้นด้วย นี่ไม่ใช่ลั่วปิงเหอตัวจริงเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น
เสิ่นชิงชิวนึกฉงน หรือว่าเขาจะลอยเข้ามาในห้วงฝันส่วนที่แม้แต่กระทั่งเจ้าตัวก็ไม่อาจกำกับควบคุม
คำเรียกขานและกิริยาท่าทางของลั่วปิงเหอไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่เคารพ มู่ชิงฟางกล่าวว่า “เรียกข้าว่ามู่เซียนเซิง ตกลงแล้วนี่เป็นการยอมรับว่าตนเองเป็นศิษย์ชางฉยงชานหรือว่าไม่ยอมรับกันแน่”
ลั่วปิงเหอตอบ “ยอมรับหรือไม่ยอมรับมันเกี่ยวอะไรด้วย”
มู่ชิงฟางกล่าว “หากไม่ยอมรับ ไฉนในคำพูดจึงยังเรียกศิษย์พี่เสิ่นว่าซือจุนอยู่อีก หากว่ายอมรับ เจ้าก็สมควรจะเรียกข้าว่าอาจารย์อา อีกทั้งเหตุใดถึงได้ทุบตีศิษย์ของชางฉยงซานจนบาดเจ็บ แล้วบังคับข่มขู่พาตัวข้ามาที่นี้เล่า”
ลั่วปิงเหอตอบว่า “ที่เชิญมู่เซียนเชิงมา แน่นอนว่าเพื่อให้มาตรวจดูซือจุนของข้า”
มู่ชิงฟางกล่าวยิ้มๆ “ศิษย์พี่เสิ่นระเบิดตัวเองตายต่อหน้าต่อตาทุกคนที่เมืองฮวาเยวี่ยแล้ว พลังทิพย์สลายสิ้นยามนี้เกรงว่ากระทั่งศพก็เน่าเปื่อยไปนานแล้ว ผู้แช่มู่รู้ตัวว่าไม่มีปัญญาทำให้คนฟื้นขึ้นมาจากความตายได้หรอก”
ฟังที่พวกเขาถามตอบกันยกหนึ่ง เสิ่นชิงชิวก็เหงื่อตก
มู่ชิงฟางหาใช่คนประเภทฝุ่นผงเข้าตาสักนิดก็ไม่ขอทนเหมือนฉีชิงชี กับหลิ่วชิงเกอที่อารมณ์พร้อมจะปะทุได้ทุกขณะ แต่คำตอบในยามนี้ของเขาฟังไม่รื่นหูเลยแม้แต่น้อย แม้รู้ทั้งรู้ว่าเขาจะไม่เป็นไร แต่เขาก็ยังอดที่จะเหงื่อตกเพราะมู่ชิงฟางไม่ได้ ด้วยกลัวว่าเขาจะไปทำให้ลั่วปิงเหอโกรธเข้าจนต้องเจ็บตัวโดยไม่จำเป็น
ดีที่ลั่วบังเหอไม่สนใจ กล่าวเสียงเฉยชาว่า “เชิญมู่เซียนเซิงมาดูๆ หน่อยก็แล้วกัน”
ด้วยความที่ตกเป็นเบี้ยล่าง มู่ชิงฟางจึงต้องจำใจยอมให้ศิษย์ในชุดเสื้อเหลืองกลุ่มหนึ่งคุมตัวเขาไปยังหอฮ่วนฮวา
ภายในหอฮ่วนฮวาหนาวเข้ากระดูก หลังจากที่คนสองคนเดินตามกันข้ามธรณีประตู ประตูใหญ่ก็ปิดสนิททันที เสิ่นชิงชิวรีบตามเข้ามาด้วย
ลั่วปิงเหอรวบม่านผ้าโปร่งที่ห้อยคลุมตั่งมาผูกไว้ มู่ชิงฟางค้อมกายลงไปตรวจอย่างละเอียด เสิ่นชิงชิวก็อยากเข้าไปดูบ้าง แต่เสียดายที่มู่ชิงฟางยืดกายขึ้นเกือบจะทันที แล้วปล่อยม่านลงมาบดบังสายตาเสิ่นชิงชิว ทำเอาเขาหน้ากระตุกทีหนึ่ง
มู่ชิงฟางกล่าวว่า “เจ้าใช้วิธีอะไรคงสภาพศพเขาเอาไว้ได้”
ลั่วปังเหอกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ ว่า “มู่เซียนเซิงเป็นเจ้ายอดเขาเซียนเฉ่าเฟิง จะคงสภาพศพโดยไม่ให้กายเนื้อเสียหายอย่างไร ท่านย่อมรู้ดีกว่าข้า”
ชะงักไปครู่ใหญ่ มู่ชิงฟางที่ตอนแรกทำท่ายืนกรานไม่ให้ความร่วมมือในที่สุดก็ใจอ่อน กล่าวว่า “เจ้าฝืนกรอกพลังทิพย์เข้าร่างศิษย์พี่เสิ่นทุกวันเช่นนี้ นอกจากเป็นการฝืนไม่ให้ร่างกายเขาเน่าเปื่อยกับสิ้นเปลืองพลังทิพย์มหาศาลแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อื่นใดอีก อีกทั้งหากหยุดชะงักแม้เพียงวันเดียว ที่ทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่าทันที ขออภัยที่จะต้องกล่าวเช่นนี้ อย่างไรศิษย์พี่เสิ่นเขาก็…”
ลั่วปิงเหอตัดบทเขาทันควัน “วิชาแพทย์ของเซียนเฉ่าเฟิงเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า อีกทั้งมู่เซียนเซิงยังเป็นถึงเจ้ายอดเขา ข้าเชื่อว่าท่านต้องมีวิธีแน่”
มู่ชิงฟางกล่าวว่า “ไม่มี”
ดื้อดึงเสียขนาดนี้ ความอดทนของลั่วปิงเหอที่เดิมทีก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้วพลันหมดสิ้นในทันที เขาหัวเราะหยัน “ไม่มีวิธีก็คิดหาวิธีขึ้นมา ตราบใดที่ยังคิดไม่ออก ซางฉยงซานนั้น มู่เซียนเซิงก็ไม่ต้องกลับไปแล้ว”
พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อ บานประตูทั้งสองของหอฮ่วนฮวาเปิดออกผาง มู่ชิงฟางตกตะลึงก่อนจะถูกจับโยนออกไป ศิษย์สวมชุดเหลืองที่ยืนรอกันอยู่นานแล้วก็กรูกันเข้ามาคุมตัวเขาไว้ทันที จากนั้นบานประตูก็หุบปิดเข้าหากัน
ลมเย็นยะเยียบม้วนตลบเป็นระลอก เปลวเทียนในหอส่ายสะบัดวูบวาบไปมา
จู่ๆ ลั่วปิงเหอก็ตะโกนเรียกเขา “ซือจุน”
เสิ่นชิงชิวสะดุ้งตกใจก่อนเป็นอย่างแรก
เขานึกว่าลั่วปิงเหอที่อยู่ในความทรงจำนี้เห็นเขาเข้าแล้ว แต่ไม่ช้าก็พบว่า ลั่วปิงเหอเพียงเรียกเขาเฉยๆ เท่านั้น หาได้คาดหวังจะให้ผู้ใดตอบไม่
ลั่วปิงเหอยืนนิ่งอยู่ที่ประตูพักหนึ่ง จึงก้าวช้าๆ มายังข้างกายเสิ่นชิงชิว แล้วนั่งลงที่ข้างตั้ง รวบม่านผูกไว้อีกครั้ง จากนั้นก็จ้องใบหน้าศพนิ่งงัน
อาการนิ่งงันนี้กินเวลาอยู่พักใหญ่ทีเดียว เสิ่นชิงชิวยืนคว้างไม่รู้จะทำอะไรยืนสลับขาก็แล้ว ในที่สุดก็ลงไปนั่งยองๆ ข้างเตียงอย่างอดรนทนไม่ไหว ลั่วปิงเหอจ้องมองศพเขา เขาก็จ้องหน้าลั่วปิงเหอ จ้องๆ อยู่ ลั่วปิงเหอก็ยื่นมือออกมาแก้สายคาดเอวของศพอย่างระมัดระวัง
ขาที่นั่งยองๆ อยู่ของเสิ่นชิงชิวพลิกวูบ
คำว่า ‘ภาพช่างงดงามเกินไปจนไม่กล้ามอง’ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เหมาะเอามาใช้ยามนี้ เพราะศพของเสิ่นชิงชิวที่อยู่บนตั่งนั้น ความจริงแล้วไม่น่ามองเท่าไรนัก
ต่ำกว่าลำคอลงมา มีรอยที่เรียกว่า ‘รอยจ้ำศพ’ เขียวๆ แดงๆ อยู่ทั่วร่าง
ลั่วปิงเหอถอดเสื้อนอกของตัวเอง โอบประคองร่างอันแข็งทื่อเข้ามาในอ้อมอกราวกับกอดตุ๊กตาตัวหนึ่ง หากคนอื่นมาเห็นเข้า คงได้หวาดผวาจนขวัญกระเจิง หรือไม่ก็คิดโยงไปถึงถ้อยคำบางอย่างที่ไม่ค่อยจะน่าฟังนักสะอิดสะเอียนสุดจะทานทน
แต่ความจริงแล้วเขาก็เพียงแค่กอดไว้เท่านั้น ไม่ได้กระทำเกินเลยไปมากกว่านี้แต่อย่างใด
คางของลั่วปิงเหอกดอยู่กับกระหม่อมที่ปกคลุมด้วยเรือนผมดำขลับของเสิ่นชิงชิว มือข้างหนึ่งไล้ต่ำลงไปตามแนวโค้งของสันหลังประหนึ่งจะปลอบประโลม ลูบไปก็ถ่ายเทพลังทิพย์จำนวนมหาศาลเข้าไปด้วยในขณะเดียวกัน รอยบนตัวศพเขียวๆ ม่วงๆ ค่อยๆ หายไป ผิวหนังกลับมาขาวเปล่งปลั่งอีกครั้งหนึ่ง
ท่าทางและการเคลื่อนไหวนี้ ได้ดีดเข้าไปที่เส้นสายบางเส้นในหัวใจของเสิ่นชิงชิวเบาๆ
เขาจำได้แล้ว เหมือนเขาจะเคยกระทำการอย่างเดียวกันนี้กับลั่วปิงเหอมาก่อนเช่นกัน
นั่นเป็นค่ำคืนหนึ่งเมื่อครั้งที่ลั่วปังเหอเพิ่งจะย้ายเข้ามาอยู่ในเรือนไผ่ไม่นาน
คืนนั้นเป็นค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ลมหนาวพัดหวีดหวิวโอบล้อมป่าบนยอดชิงจิ้งเฟิง ใบไผ่นับหมื่นนับพันเสียดสีกันดังแกรกกราก
เสิ่นชิงชวนอนตะแคงอยู่บนเตียง ยังไม่ทันจะหลับ เพียงปิดตาผ่อนคลายเฉยๆ ขณะกำลังผ่อนคลายอยู่ก็แว่วเสียงเอียดอ๊าดที่พยายามจะเก็บงำให้เบาที่สุดมาจากห้องน้อยที่อยู่อีกฟากของฉากกั้น คล้ายกับว่าคนที่อยู่ในห้องนั้นก็กระสับกระส่าย ยากจะข่มตานอนอยู่เช่นกัน
พลิกไปพลิกมาไม่นานนัก เสียงการเคลื่อนไหวก็หยุดกะทันหัน ใครบางคนลงจากเตียงอย่างเบามือเบาเท้า เลิกม่าน แล้วออกไปจากเรื่อนไผ่
ดึกดื่นเที่ยงคืนลั่วปิงเหอกลับไม่หลับไม่นอน ลอบออกไปข้างนอกทำไม
เสิ่นชิงชิวไม่เห็นจะจำได้เลยว่าเนื้อเรื่องช่วงนี้ลั่วปิงเหอมีเหตุจำเป็นอะไรที่จะต้องลักลอบออกไปข้างนอกดึกดื่นเช่นนี้ เขาเกิดอยากรู้ขึ้นมา เลยลุกตามไปดู
พลังฝึกปรือของเขากับลั่วปังเหอนั้นคนละระดับชั้นกันท่าร่างเขาทั้งเบาทั้งรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้ ตอนที่เขาพลิ้วไปอยู่ข้างกายลั่วปิงเหอ อีกฝ่ายจึงไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย
ลั่วปิงเหอมิได้ลอบออกไปไกลนัก ทั้งไม่ได้ไปสถานที่ลึกลับห่างไกลผู้คนเพื่อหาประสบการณ์พิเศษอะไร เขาเพียงแค่เอาเก้าอี้เตี้ยตัวหนึ่งมานั่งอยู่ด้านหลังเรือน ร่างกายท่อนบนของเขาถอดเสื้อออกแล้ว เสื้อถูกพับอย่างเรียบร้อยวางไว้บนขาซ้าย มือขวาเทอะไรบางอย่างใส่ฝ่ามือซ้ายจากนั้นก็ทาไปตามส่วนต่างๆ ทั่วร่างกายทาเสร็จก็นวดคลึงอยู่ครู่หนึ่ง พลางสูดปากเบาๆ
ใต้แสงจันทร์ ร่างกายของเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหก ซึ่งไม่จัดว่าผอมบางเสียทีเดียวแต่ก็มิได้หนา เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำเขียวๆ ม่วงๆ ลมราตรีพัดพาเอากลิ่นหอมจางๆ ของยาเข้ามาปะทะหน้า
เสิ่นชิงชิวส่งเสียงเรียก “ลั่วปิงเหอ”
ผู้ถูกเรียกสะดุ้งโหยง ตะลีตะลานลุกขึ้นจากเก้าอี้ เสื้อที่พับไว้ร่วงลงกับพื้น ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างตกตะลึง “ซือจุน! ท่านไฉนตื่นขึ้นมาขอรับ”
เสิ่นชิงชิวเดินเข้าไปใกล้ “เหวยซือไม่ได้นอน”
ลั่วปิงเหอตอบว่า “เป็นเพราะศิษย์ทำเสียงดังจนซือจุนตื่นหรือ ขอประทานโทษขอรับ ศิษย์กลัวจะไปรบกวนการนอนของซือจุนเข้าจึงได้ออกมา นึกไม่ถึงว่ายังคง…”
ที่แท้เด็กคนนี้กลัวว่าที่ตนพลิกตัวไปมาจะทำซือจุนตื่นจึงได้ออกมาทายาข้างนอกกลางดึกนั่นเอง ท่าทางคงจะเจ็บจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “บนร่างของเจ้าทำไมถึงได้มีแผลมากมายปานนี้”
ลั่วปิงเหอตอบว่า “ไม่ได้เป็นอะไรเลยขอรับ เพียงแต่หมู่นี้ศิษย์ฝึกวิชาไม่ถูกต้อง จึงได้แผลเล็กแผลน้อยมาโดยใช่เหตุ”
เสิ่นชิงชิวดูแผลตามร่างเขาอย่างละเอียด “คนของไป๋จั้นเฟิงมาตามตอแยหาเรื่องเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่”
ลั่วปิงเหอจะตอบว่าใช่ก็ไม่ดี แต่ก็ไม่อยากโกหก เสิ่นชิงชิวมองดูท่าทางนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาของอีกฝ่าย ยิ่งมองก็ยิ่งนึกโมโหขึ้นมา “เหวยซือเคยสอนเจ้าอย่างไร”
ลั่วปิงเหอตอบ “สู้ไม่ได้ก็ให้หนีขอรับ”
เสิ่นชิงชิว “แล้วเจ้าปฏิบัติตามหรือไม่”
“แต่…” ลั่วปิงเหอกล่าว “แต่ทำเช่นนั้น ศิษย์จะทำให้ชิงจิ้งเฟิงต้องขายหน้านะขอรับ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “มองแล้วขัดหูขัดตาก็ทุบตี พวกไป๋จั้นเฟิงทำเช่นนี้แตกต่างอะไรกับพวกนักเลงหัวไม้ที่ตีนเขากัน พูดกันตามจริงแล้ว เป็นชิงจิ้งเฟิงหรือเป็นไป๋จั้นเฟิงกันแน่ที่น่าละอาย? เดี๋ยวเหวยซือจะไปหาหลิ่วชิงเกอตอนนี้เลย หนึ่งปีมี 365 วันถึงแม้เขาสละเวลา 1 วันไปจัดการกับเจ้าเด็กพวกนั้นแล้วก็ตาม ก็ไม่น่ากำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้”
ลั่วปิงเหอ รีบฉุดเขาไว้ “ซือจุนอย่านะขอรับหากทำให้ท่านต้องมีปากเสียงกับอาจารย์อาหลิวเพราะศิษย์ เช่นนั้นข้า…ข้า…”
เขาฉุดไม่อยู่ ขาทรุดกองลงไปกับพื้น พอเห็นเสิ่นชิงชิวชะงักฝีเท้า ก็ระล่ำระลักกล่าว “อีกอย่างจะว่าไปรอยพวกนี้ก็มิใช่เกิดจากพวกศิษย์ไป๋จั้นเชิงทุบตีเสียทั้งหมดหรอกขอรับ ข้าหกล้มตอนฝึกวิชาก็บ่อย ถึงได้มีสารรูปเยี่ยงนี้”
เห็นเขาร้อนรน เสิ่นชิงชิวก็ผ่อนน้ำเสียงลง กล่าวว่า “เรื่องฝึกวิชา ต้องค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับขั้นตอน ทำอะไรต้องดูกำลังของตัวเอง จะดึงดันได้อย่างไร เจ้าเร่งรัดเพื่อให้ประสบความสำเร็จเช่นนี้ หากพื้นฐานไม่ดีขึ้นมามิต้องคับแค้นไปชั่วชีวิตหรือ”
สักวันเขาจะต้องหาวิธีดูว่าจะจัดการกับพวกศิษย์ที่ชอบความรุนแรงของไป๋จั้นเฟิงกลุ่มนั้นอย่างไร ขอยืมมือหลิวชิงเกอนั่นแหละสั่งสอนพวกเขา เอาให้พวกเขากล้าโมโหแต่ไม่กล้าหือไปเลย
ลำดับอาวุโสขั้นเจ็ดกลับบังอาจมายั่วโมโหผู้อาวุโสขั้นสอง ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ทนได้รึ
ลั่วปิงเหอตอบรับไม่เต็มเสียง เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เข้าไปเถอะ”
ลั่วปิงเหอโบกไม้โบกมือ “อย่าเลยขอรับข้าอยู่ข้างนอกน่ะดีแล้วกลับเข้าไปประเดี๋ยวจะทำเสียงดังรบกวนการพักผ่อนของซือจุน”
เสิ่นชิงชิวกระดิกนิ้ว เสื้อบนพื้นของเขาก็ลอยขึ้นมาอยู่ในมือ เขาคลี่เสื้อคลุมไหล่ให้ลั่วปิงเหอ “พักผ่อนอะไรเล่า ในเมื่อเหวยซือได้เห็นเข้าแล้วไหนเลยจะปล่อยเจ้าตากลมหนาวอยู่คนเดียวข้างนอกดึกๆ เช่นนี้ได้”
คนทั้งคู่จึงกลับไปที่เรือนไผ่ ลั่วปิงเหอเดิมทีคิดจะกลับไปที่เตียงของตัวเอง ทว่าเสิ่นชิงชิวกลับเอายาในมือเขามา แล้วทำมือบอกเป็นนัยให้เขาเข้ามานั่งบนเตียงในห้องตน
ลั่วปิงเหอถูกเขาฉุดเข้าไปในห้องด้วยอาการตกตะลึงอ้ำอึ้ง จนกระทั่งเสิ่นชิงชิวเริ่มแกะสายคาดเอวที่เขาเพิ่งจะผูกกลับเข้าไปได้ไม่นาน เขาก็หน้าแดงแจ๋ขึ้นมาทันที รวบคอเสื้อแน่นถอยหลังกรูด “ซือจุน ทะ…ทะ…ทำอะไรขอรับ”
เสิ่นชิงชิวเขย่าขวดยาในมือ “ทายาให้เจ้า แล้วก็คลึงตรงที่มันห้อเลือด”
“ไม่ต้องขอรับ เดี๋ยวข้าทำเอง” ลั่วปิงเหอโผเข้ามาชิงขวดยา มือขวาของเสิ่นชิงชิวพลิกจับข้อมือเขาเอาไว้ ดึงเข้ามาด้านหน้า กล่าวโดยไม่แสดงสีหน้า “เจ้ามองเห็นหลังตัวเองว่ามีตรงไหนเขียวช้ำได้ด้วยหรือ”
ลั่วปิงเหอตัวสั่นเทา “ละเลงให้ทั่วหลังก็ใช้ได้แล้ว”
เขาพยายามชิงขวดยากลับคืนมาอย่างไม่ลดละ ลั่วปิงเหอยามปกติมักยอมโดยไม่มีเกี่ยงงอนสุภาพนุ่มนวล เป็นครั้งแรกที่เสิ่นชิงชิวเห็นเขาอายชนิดหน้าแดงจรดใบหูจนแทบจะหยดออกมาเป็นเลือดเลยทีเดียว ทำเอาเขารู้สึกขำ ในใจคิดว่าท่าทางเจ้าเด็กนี่คงจะรู้สึกว่าโดนคนอื่นทุบตีมาก็ขายหน้าพอแล้ว แถมโดนทุบตีแล้วยังต้องมาให้อาจารย์ทายาให้ก็ต้องยิ่งขายหน้าเข้าไปใหญ่ เขาแอบหัวเราะอยู่ในใจ แต่ตีหน้าทำเป็นเคร่งขรึม เอ็ดเอาว่า “อย่าวุ่นวายไปหน่อยเลย ยาที่เซียนเฉาเฟิงส่งมาให้แต่ละครั้งมีจำนวนตายตัว จะปล่อยให้เจ้าเอามาถลุงเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ข้า…ข้า…”
กระทั่งคำว่า ‘ศิษย์’ ลั่วปิงเหอก็ไม่พูดแล้ว น้ำตาคลอหน่วย กำเสื้อตรงหน้าอกไว้แน่น ยืนตัวสั่นสะท้านเสิ่นชิงชิวจับไหล่เขาให้หันหลังไป ขยับมือสองสามทีก็แหวกเสื้อลงมาได้ แล้วเอายาในขวดใบเล็กทาตามรอยแผลบนหลัง
ความที่ไม่ทันตั้งตัว ลั่วปิงเหอก็สูดปาก “อู้ว” เบาๆ
เสิ่นชิงชิวผ่อนแรงทันที “ข้ามือหนักไปหรือ”
ลั่วปิงเหอส่ายหน้าผมกระจาย เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เช่นนั้นร้องทำไม ลูกผู้ชายอกสามศอก เจ็บเล็กน้อยแค่นี้ก็ทนไม่ไหวเสียแล้ว”
ลั่วปิงเหอกล่าวเสียงเบาหวิวราวกับเสียงยุง “มะ…ไม่ใช่เพราะเจ็บขอรับ…………”
เมื่อวางใจแล้วก็นวดคลึงต่อครู่หนึ่ง เสิ่นชิงชิวลองถ่ายพลังทิพย์จากฝ่ามือให้เขาช้าๆ ลั่วปิงเหอทำเสียง “อ้า!” อีก
เสิ่นชิงชิวกล่าวด้วยความฉงน “ทำไมต้องทำท่าสะดุ้งตกใจปานนี้เจ้าไม่สำรวมกิริยาเช่นนี้ จะนับว่าเป็นศิษย์ชิงจิ้งเฟิงของข้าได้อย่างไร”
ลั่วปิงเหอเสียงสั่น “ขะ…ข้า ศะ…ศิษย์ เดี๋ยวศิษย์ทายาให้เสร็จก็พอ ไม่ต้องให้ซือจุนสิ้นเปลืองพลังทิพย์หรอกขอรับ”
ฝ่ามือขวาของเสิ่นชิงชิวแนบติดกับแผ่นหลังเปล่าเปลือยของเขา แล้วเคลื่อนไหวช้าๆ “เช่นนี้สบายไหม”
ลั่วปิงเหอไม่พูดไม่จา ดูเหมือนกำลังกัดริมฝีปากอยู่
เสิ่นชิงชิวเอามือแตะที่เอวเขาแล้วลูบไล้เบาๆ พลางนึกประหลาดใจ ไม่สบายรึ เป็นไปไม่ได้ จุดชีพจรสองสามจุดนี้ก็ถูกแล้วนี่นา เขาจำได้ไม่ผิดแน่ พลังทิพย์ก็น่าจะพอดี ไม่มากไปไม่น้อยไป รอยห้อเลือดก็หายไปไม่น้อยแล้ว ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเขาไม่สบายตัวอยู่ล่ะ หรือว่าเราจะเป็นมือพิการ* อย่างที่เขาว่ากัน?
(มือพิการ หมายถึง มือที่ทำอะไรก็ไม่ได้ดี)
เขาเอามือออก ลั่วปิงเหอที่นัยน์ตาแดงระเรื่อก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก แต่นึกไม่ถึงว่าครู่ต่อมาก็จะถูกฉุดมือเข้าไปกอดเอาไว้
เสิ่นชิงชิวกอดเขา แล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง
เสียงลั่วปิงเหอราวกับกำลังขาดอากาศหายใจ “…..ซือจุน…..ซือจุน!”
เสิ่นชิงชิวไม่ได้ถอดเสื้อตัวกลางออก แต่มันก็เป็นแค่ปราการบางๆ ชั้นเดียวที่คั่นคนสองคนเอาไว้เท่านั้น เสียงหัวใจเต้นของทั้งคู่จึงประชันกันอย่างชัดเจน เวลาอยู่ในอ้อมกอด พื้นที่ที่สัมผัสกันกว้าง พื้นที่ในการส่งถ่ายพลังทิพย์ก็เลยกว้างไปด้วย เขากล่าวต่อ “ใช้ฝ่ามืออย่างเดียวกลัวว่าจะเร็วไม่พอ รอไปเช่นนี้สักครู่ ให้เหวยซือโคจรชีพจรทิพย์สองสามรอบ บาดแผลบนร่างเจ้าก็น่าจะเกือบหายดีแล้วได้ผลดีกว่าเจ้าทายาเสียอีก”
ลั่วปิงเหอดิ้นอยู่ในอ้อมกอดเขาราวกับเม่นตัวน้อย ซือจุน! ซือจุน! ตัวข้ามีแต่กลิ่นยาทั้งนั้นเลยขอรับ”
เสิ่นชิงชิวถูกเขาเสียดสีจนไฟลุก—– ไฟในที่นี้หมายถึงไฟโทสะ เขาตีก้นลั่วปิงเหอทีหนึ่งเป็นเชิงลงโทษ กล่าวด้วยมาดเคร่งขรึมว่า “เจ้ากระบิดกระบวนทำอะไร”
จะรักษาให้ยังไม่ยอมทำตัวว่าง่ายอีก!
ถูกเขาตีไม่เบาไม่หนักเข้าครั้งหนึ่ง ลั่วปิงเหอก็ตัวแข็งทื่อเป็นไม้กระบองไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังเป็นไม้กระบองที่กำลังทรมานด้วยไฟแผดเผา ไม้กระบองกล่าวว่า “ซือจุน เช่นนี้ไม่ได้……ทะ…..ท่านปล่อยข้าลงไป…”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ลั่วปิงเหอ หากเจ้าเป็นอิงอิง ไม่ต้องทำท่ากระบิดกระบวนอะไร เหวยซือก็ย่อมไม่มีทางทำเช่นนี้เด็ดขาด อีกทั้งเจ้าก็มิใช่สาวน้อยที่ไหน ยังจะมากลัวว่าเหวยซือจะกินเจ้าอีกหรือ”
ได้ฟังดังนั้น ลั่วปิงเหอก็ย่อมจะไม่ดิ้นอีก แต่จุดสนใจกลับเปลี่ยนไป เขาถามว่า “ความหมายของซือจุนก็คือ ทะ…ท่าน จะไม่มีวันทำเช่นนี้กับศิษย์พี่หนิงใช่หรือไม่ขอรับ”
หากวันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นหนิงอิงอิง ต่อให้เสิ่นชิงชิวขวัญกล้ากว่านี้สักร้อยเท่า เขาก็ไม่บังอาจใช้วิธีนี้ไปรักษานางแน่นอน เขาได้แต่แค้นใจที่ไม่อาจให้ฟ้าดินเป็นสักขีพยานต่อความจริงใจและความบริสุทธิ์ใจของตนเองได้ กล่าวอย่างหนักแน่นว่า “แน่นอนว่าไม่”
ลั่วปิงเหอกล่าวอีกว่า “เช่นนั้น หากมิใช่เป็นศิษย์พี่หนิง แต่เป็นศิษย์ชายคนอื่นๆ ได้รับบาดเจ็บ ซือจุนท่านก็จะ…ก็จะทำเช่นนี้”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เจ้าคิดเหลวไหลอะไรของเจ้า ตั้งสมาธิปรับลมปราณไป”
ในที่สุด เม่นน้อยในอ้อมอกก็ยอมอยู่ในโอวาทเสียที เสิ่นชิงชิวเลือกท่าที่สบายที่สุดอย่างพออกพอใจ เอาคางกดกับกระหม่อมเขา ค่อยๆ ขยับมือข้างหนึ่งไล้ไปตามแนวโค้งของสันหลังต่ำลงไปเรื่อยๆ ลูบไล้ไปมาอย่างปลอบประโลม
สบายตัวได้พักหนึ่ง เสิ่นชิงชิวก็กอดเขาต่อไม่ไหว ลั่วปิงเหอตัวร้อนผ่าวราวกับเพิ่งเอาออกมาจากเข่งนึ่ง เหงื่อบนร่างเขาทำเอาเสื้อตัวกลางเนื้อบางของเสิ่นชิงชิวเปียกชุ่มโชกเลยทีเดียว
เสิ่นชิงชิวตกใจใหญ่ คงไม่ใช่ว่าถ่ายพลังทิพย์ให้แค่นี้ทำเอาไข้ขึ้นหรอกนะ?!
เขากำลังจะจับหน้าลั่วปิงเหอให้หันมาเพื่อดูสีหน้า นึกไม่ถึงว่าจะแตะโดนเหงื่อเฉอะแฉะนั้นแทน ร่างในอ้อมกอดอยู่ๆ ก็ดิ้นพรวดพราดราวกับปลาน้อยตัวขาวเผือกที่กำลังขาดน้ำ จนในที่สุดก็หลุดจากอ้อมแขนเขา และร่วงตุบลงไปจากเตียงไผ่
แค่นี้ยังไม่พอยังมีเสียงอเนจอนาถเกินกว่าจะทนฟังไหวตามมาติดๆอย่าง ตึง! โครม!
ขาถีบเก้าอี้ล้ม หัวโขกฉากกั้นลม ลั่วปิงเหอดูราวกับคนเสียสติยักแย่ยักยันลุกขึ้นมาได้ก็ผลุนผลันออกไปจากเรือนไผ่ทันที
เสิ่นชิงชิวเจออาการนี้ของเขาเข้าก็ทำเอาช็อกจนนั่งเหวออยู่บนเตียง จิตใจสับสนวุ่นวายครู่หนึ่ง พอตั้งสติได้ก็รีบกระโจนลงจากเตียงตามไปเดี๋ยวนั้น “ลั่วปิงเหอ?!”
ลั่วปิงเหอวิ่งเตลิดออกไปไกลโขแล้ว วิ่งไปด้วยก็พูดไปด้วย “ซือจุน ข้าขอประทานโทษ!”
เสิ่นชิงชิวขีดดำเรียงขึ้นหน้าเป็นแถว “เจ้าขอโทษเรื่องอะไร ยังไม่กลับมาอีก”
ลมราตรีพัดพาเสียงพูดปนสะอื้นที่อยู่ห่างออกไปของเขามาให้ได้ยิน
“ไม่ได้ขอรับซือจุนตอนนี้ข้าไม่อาจพบท่าน ท่านอย่าเข้ามา ห้ามเข้ามาเด็ดขาด!!!”
เกิดจะเป็นบ้าอะไรขึ้นมาล่ะนี่
พลังฝึกปรือของเสิ่นชิงชิวสูงกว่าเขาไม่ใช่แค่ขั้นเดียว แน่นอนว่าต้องวิ่งเร็วกว่าเขา แต่ไม่รู้ว่าลั่วปิงเหอต่อมอะดรีนาลีนระเบิดหรือว่ายังไง กลับเร็วเสียจนตนตามไม่ทัน
คนทั้งสองวิ่งไล่กันไปพลางตะโกนไปพลาง เพียงไม่นานนักก็ทำเอาคนทั้งชิงจิ้งเฟิงตกใจตื่นไปตามๆ กัน แสงไฟจากเรือนแต่ละหลังสว่างขึ้นทีละสองสามดวง ศิษย์กลุ่มหนึ่งชูตะเกียงแห่กันออกมา “เป็นผู้ใดมาโหวกเหวกโวยวายกลางดึกกลางดื่นรบกวนความสงบของชิงจิ้งเฟิง”
“ข้าว่าเสียงเหมือนซือจุนเลยนะ”
“พูดจาเหลวไหล! ซือจุนจะทำเรื่องเสียกิริยาเยี่ยงนี้ได้อย่างไร”
พูดยังไม่ทันขาดคำ เสิ่นชิงชิวก็วิ่งเฉียดผ่านหน้าศิษย์กลุ่มนี้ไปราวกับลมหอบ ทุกคนเงียบกริบทันที
เสิ่นชิงชิวกังวลว่าลั่วปิงเหอที่วิ่งเตลิดโดยขาดสติเช่นนี้ จะมองอะไรไม่เห็นจนร่วงตกหน้าผาไปจึงเกร็งลมปราณร้องตะโกนขึ้น “หมิงฟาน! หยุดเขาไว้ หยุดลั่วปิงเหอเอาไว้”
หมิงฟานเพิ่งจะคว้าเสื้อมาคลุมไหล่ได้ หิ้วโคมวิ่งเข้ามา พอเห็นถนัดตาก็ร้องเหวอ เจ้าเด็กลั่วปิงเหอกำลังวิ่งเตลิดเปิดเปิงอยู่ข้างหน้า ซือจุนวิ่งตามอยู่ข้างหลัง รังสีสังหารเข้มข้น ภาพนี้ ในที่สุดทุกอย่างก็คืนสู่สภาวะปกติเสียที
เขาร้องอย่างลิงโลดได้ใจ “ซือจุน! ศิษย์มาช่วยท่านแล้ว! จะจับเจ้าเด็กนี่สั่งสอนให้เต็มที่เลย พวกศิษย์น้องเข้ามาเร็ว จัดการมัน!”
บรรดาศิษย์กรูกันเข้ามาโอบล้อมไว้จากทุกทิศทาง ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็ตามลั่วปิงเหอที่วิ่งเตลิดราวกับม้าป่าได้ทัน แต่ไม่ทันที่เขาจะหิ้วคอเสื้อของเจ้าเด็กนี่ขึ้นมา ลั่วปิงเหอถึงตายก็ไม่ยอมสยบพุ่งตัวลงไปข้างหน้าทันที
“ตูม” เสียงน้ำสาดกระจาย ลั่วปิงเหอถึงกับกระโดดลงไปในสระชิงจิ้งของชิงจิ้งเฟิงเองเลยทีเดียว
พอตกลงไปในสระ ก็ดูเหมือนเขาจะได้สติกลับคืนมาแล้ว ลั่วปิงเหอแช่อยู่ในน้ำเย็นเฉียบทั้งตัว ในที่สุดก็หยุดการเคลื่อนไหว
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “หยุดได้แล้วหรือ”
ลั่วปิงเหอก้มหน้าต่ำ ยกสองมือขึ้นปิดหน้า ขณะที่หมิงฟานตื่นเต้นดีใจเสียจนแทบจะหลั่งน้ำตา
ลั่วปิงเหอที่มีสภาพเหมือนเพิ่งโดนอัดน่วมมายกหนึ่ง ตัวสั่นงันงกเปียกโชกไปทั้งตัวด้วยน้ำเย็นจัด ส่วนซือจุนยืนกอดอกพลางหัวเราะอย่างเยียบเย็นใส่หน้ามัน อา…ภาพอันแสนจะคุ้นเคยนี้ คิดถึงเหลือเกินแล้ว
พวกศิษย์พากันกระซิบกระซาบขณะปิดล้อมลั่วปิงเหอที่ยกมือปิดหน้าอยู่ในสระน้ำไม่พูดไม่จาเอาไว้ หนิงอิงซึ่งเป็นสาวเป็นนาง ย่อมจะหวีผมแต่งตัวช้ากว่าจะยุรยาตรออกมาได้ พอมาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เข้า ก็ร้องเสียงหลง “อาลัว! จะ…เจ้าไฉนลงไปอยู่ในน้ำเล่า เป็นผู้ใดรังแกเจ้าอีกแล้ว ซือจุน เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวเฉยชา “เหวยซือเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าตกลงแล้วเป็นผู้ใด ตกลงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ลั่วปิงเหอส่ายศีรษะทั้งๆ ปิดหน้าอยู่ “ไม่มีผู้ใดทั้งนั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกขอรับ”
เสิ่นชิงชิวยืนอยู่ริมสระน้ำอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ถอนหายใจ “ขึ้นมาเถอะจะมัวแช่อยู่ในนั้นทำไม”
ลั่วปิงเหอส่ายหน้าต่อ “ไม่ขอรับซือจุน ข้าจะอยู่นี่ ท่านปล่อยให้ข้าอยู่ตรงนี้สักครู่ก็พอ…”
ขณะนั้นเป็นช่วงฤดูหนาว ถึงแม้หิมะไม่ตก แต่ขืนปล่อยให้เขาแช่อยู่ในน้ำเย็นจัดต่อไปทั้งคืน จะไม่เอาชีวิตไปทิ้งหรอกรึ
เสิ่นชิงชิวยกชายเสื้อหมายจะลงไปในน้ำเพื่อฉุดเขาขึ้นมา ลั่วปิงเหอรีบกล่าว “ซือจุนอย่าลงมา! น้ำมันทั้งเย็นทั้งสกปรก อย่าให้ต้องเปียกตัวท่านเลย….”
สาวเท้าพรวดไม่กี่ก้าวเสิ่นชิงชิวก็ถึงตัวเขาแล้วมองเขาด้วยสีหน้าดุๆ
ลั่วปิงเหอจึงยิ่งก้มหน้าต่ำ ไม่กล้าสบตาเขา ย่อตัวต่ำลงไปในน้ำให้ลึกขึ้นอีก
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “หรือจะต้องให้เหวยซือประคองเจ้าขึ้นมา”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุน…ข้า…ท่านปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวที่นี่เถอะขอรับ”
เสิ่นชิงชิวไม่รู้จะทำยังไงกับเขาดี ชะงักไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็หันไปกล่าวกับบรรดาศิษย์ชิงจิ้งเฟิงที่มุงดูอยู่รอบสระด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึม “มองอะไร แยกย้ายได้แล้ว กลับไปนอนซะ”
พวกศิษย์พากันผลักทึ้งเกี่ยงกันไปมาแต่ไม่มีใครยอมขยับตัว เสิ่นชิงชิวกล่าวต่อ “พรุ่งนี้ยามอิ๋นให้ลุกขึ้นมาเรียนแต่เช้า ใครตื่นสายคัดตำราร้อยจบ”
ยามอิ๋น* นี่ก็ปาเข้าไปยามโฉ่วแล้ว! ให้คัดตาราแถมยังคัดตั้งร้อยจบ!
(ยามอิ๋นคือช่วงเวลาระหว่างตีสามถึงตีห้า ส่วนยามโฉ่ว คือช่วงเวลาระหว่างตีหนึ่งถึงตีสาม)
พอกล่าวคำนี้ออกมา รอบสระน้ำพลันว่างเปล่าทันทีราวกับถูกลมหอบ
พอเสิ่นชิงชิวแน่ใจว่าไม่มีขามุงหลงเหลือแล้ว ก็หมุนกาย ค้อมตัวลงไปช้อนหลังกับเข่าของลั่วปิงเหอขึ้นมา
พอรู้ตัวว่าเขาคิดจะทำอะไร ลั่วปิงเหอก็ยิ่งมุดตัวหลบลงไปในน้ำราวกับปลาเผือกตัวน้อยดิ้นกระแด่วๆ “ซือจุนๆ อย่าทำเช่นนี้ อย่าทำเช่นนี้!”
เสิ่นชิงชิวถูกน้ำกระเซ็นใส่หน้า เสื้อผ้าเปียกปอน เขายกแขนเสื้อขึ้นเช็ดหน้า กล่าวว่า “คืนนี้เจ้ายังก่อเรื่องวุ่นวายไม่พออีกหรือ”
เห็นลั่วปิงเหอไม่กล้าขยับตัวอีก เขาออกแรงเพียงเล็กน้อย ก็อุ้มลั่วปิงเหอขึ้นมาได้สำเร็จ
หนักเหมือนกันแฮะ เขากล่าวพึมพำในใจแล้ว อุ้มลั่วปิงเหอกลับไปยังเรือนไผ่
เดินไปได้ครึ่งทาง ลั่วปิงเหอก็กล่าวด้วยสีหน้าเจ็บปวดทรมานอยู่ในอ้อมอกเขา “ซือจุน ข้า…ข้ากลับไปอยู่ห้องเก็บฟืนจะดีกว่า”
“ลั่วปิงเหอ!” เสิ่นชิงชิวกล่าวเสียงดุ “คืนนี้เจ้าเป็นบ้าอะไรขึ้นมา ทั้งโยกโย้ทั้งกระบิดกระบวนเช่นนี้วิ่งหนีเป็นบ้าเป็นหลัง คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องราวมาเห็นเข้า เป็นได้เข้าใจว่าเหวยซือกระทำเรื่องบาปหนาต่อเจ้าแล้ว”
……..
ลั่วปิงเหอในคืนนั้น กล่าวได้ว่าน่าอับอายขายหน้าอย่างถึงที่สุด หมดสภาพอย่างถึงที่สุด
อา ประวัติอันมืดมน นี่มันประวัติอันมืดมนของลั่วปิงเหอชัดๆ
ต่อมาภายหลัง เสิ่นชิงชิวนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้โดยบังเอิญ พอเอาเรื่องนี้ไปล้อเลียนเขา ลั่วปิงเหอกลับหน้าไม่แดงแล้ว ก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้วนี่นะหน้าเลยหนาขึ้น เขาแก้ต่างว่า “ตอนนั้นข้ายังเด็ก เป็นวัยที่เลือดลมกำลังพลุ่งพล่านพอดี อยู่ในอ้อมกอดของคนที่ตนเองแอบชื่นชมอยู่ในใจ ทั้งกอดทั้งลูบคลำ แล้วซือจุนจะให้ข้าควบคุมตัวอย่างไรไหว พอค้นพบความรู้สึกตัวเอง ก็ควบคุมปฏิกิริยาทางร่างกายไม่อยู่ ทั้งกลัวจะทำให้ท่านรู้ตัว นอกจากปล่อยห้าแต้มไปเช่นนั้นแล้ว ยังจะทำอะไรได้อีกเล่า”
นึกถึงลั่วปิงเหอตอนที่พูดเช่นนี้ พร้อมกับสีหน้าท่าทางขัดเขินที่น้อยนักจะได้เห็น เสิ่นชิงชิวก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่
หัวเราะๆ อยู่ ก็หัวเราะไม่ออกเสียแล้ว
เขาไม่กล้าไปคิดเลยว่า ลั่วปังเหอที่กอดศพเขาอยู่ในยามนี้ กำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่
ห้วงฝันที่ไม่อาจหลุดพ้นนี้ทั้งยาวนานทั้งน่าเบื่อ ดุจเดียวกับชีวิตของลั่วปิงเหอในวังฮ่วนฮวานั่นเอง ในแต่ละวัน เวลาส่วนใหญ่ของเขาล้วนหมกตัวอยู่ในหอฮ่วนฮวาอันหนาวยะเยือก พวกหนังสือเอกสารก็ขนเข้ามาทำงานข้างในหมด
น้อยนักที่เสิ่นชิงชิวจะได้เห็นลั่วปิงเหอทำงานนั่งโต๊ะเป็นเรื่องเป็นราว
ส่วนใหญ่แล้วท่าทางของลั่วปิงเหอยามอยู่ต่อหน้าเขามักจะไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ เหมือนสาวน้อยไร้สมองกำลังมีความรัก ยามเขาสะสางหน้าที่การงานของเผ่ามาร เพื่อไม่ให้เป็นที่ครหา เสิ่นชิงชิวจึงมักหลบฉากไม่ไปรบกวนเขา
บางครั้งเขาเผลอเข้าไปดูโดยไม่ตั้งใจ ลั่วปิงเหอก็จะหมดอารมณ์ทำงานทันที
ทิ้งเอกสารที่กองสุมอยู่บนโต๊ะมาเจ๊าะแจ๊ะออดอ้อนเขาแทน นึกไม่ถึงว่าเวลาที่อยู่ในห้วงฝันจึงค่อยได้เห็นอย่างใกล้ชิดว่ายามที่ลั่วปิงเหอตั้งอกตั้งใจทำงานนั่งโต๊ะอยู่เพียงลำพังนั้นเป็นอย่างไร
เสิ่นชิงชิวชอบที่ได้นั่งข้างโต๊ะจ้องมองซีกหน้าด้านข้างที่สงบนิ่งและเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังของเขาราวกับกำลังพบเห็นเรื่องที่น่าสนใจ ลั่วปิงเหอขมวดคิ้วน้อยๆ ลากสายตาอ่านเอกสารปราดๆ แล้วเขียนหนังสืออย่างรวดเร็วและถูกต้อง ออกคำสั่งสั้นกระชับเข้าใจง่าย ประหนึ่งว่าหมึกนั้นเป็นทองคำเลยไม่ยอมสิ้นเปลืองเขียนให้ยาว สรุปแล้ว มุ่งมั่นตั้งใจจนไม่น่าเชื่อ
เขายังคงกิจวัตรอย่างที่เคยทำในอดีต ยืนหยัดทำอาหารทุกวัน มื้อเช้าคือของกินเล่นจานเล็กจานน้อยที่ทำอย่างประณีตหน้าตาน่ากิน มื้อกลางวันเป็นกับข้าวสีน้ำแกงหนึ่งมื้อเย็นเป็นโจ๊กหนึ่งถ้วย โจ๊กขาวข้นโรยต้นหอมเขียวซอยละเอียดและขิงสีเหลืองอ่อนนั่นเป็นเส้นฝอย เหมือนอย่างโจ๊กที่ลั่วปิงเหอทำให้เขากินเป็นครั้งแรก อาหารถูกจัดวางในจานชามกระเบื้องสีขาวเนื้อละเอียด พอไอร้อนกระจายหายไปหมด ลั่วปิงเหอจะเอาพวกมันใส่กล่องอาหารอีกทีแล้วหิ้วออกไป
ไม่มีใครมาสนใจซักถาม เขายังคงปฏิบัติเหมือนตอนที่ยังอยู่ชิงจิ้งเฟิง ราวกับว่าวันใดหากเสิ่นชิงชิวตื่นขึ้นมา พอลืมตาปุ๊บ ก็สามารถเสิร์ฟอาหารได้ทันทีไม่ต้องให้รอ
บางครั้งลั่วปิงเหอต้องออกไปข้างนอกเกือบทั้งวัน โดยมากคือเผ่ามารเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น ให้คนอื่นไปจัดการก็ไม่ลงตัว จำเป็นที่เขาจะต้องไปจัดการด้วยตัวเอง
เขาแทบจะไม่เคยได้รับบาดเจ็บ แต่มีอยู่วันหนึ่งกลับได้แผลกลับมา
ลั่วปิงเหอเดินเข้าประตูมาก่อน จากนั้นก็หยุดชะงักราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ ผงะถอยหลังไปสองสามก้าว ถอดเสื้อที่เปื้อนเลือดออก เพิ่มพลังในมือเล็กน้อยเผาเสื้อตัวนั้น หลังจากแน่ใจว่าบนร่างไม่มีคราบเลือดแล้วจึงค่อยเข้าไปที่ตั่ง
เขากล่าวกับร่างที่อยู่บนตั้งด้วยสีหน้าเช่นเดียวกับยามปกติ “ซือจุนข้างนอกเกิดเรื่องหน่วงเหนี่ยวเสียเวลา ศิษย์เลยกลับมาช้า ไม่มีโจ๊กนะขอรับ”
แน่นอนว่าไม่มีใครตอบเขา ภาพที่ออกมาจึงออกจะ…น่าขัน
เสิ่นชิงชิวหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ในใจฝาดเฝื่อนอีกคำรบหนึ่ง ตอบว่า “ไม่มีก็ไม่มีซิ ไม่เป็นไรหรอก”
หมู่นี้เขาพูดเองเออเองจนติดเป็นนิสัยแล้ว ด้วยมีสถานที่และเวลากั้นกลาง เจ้าเลยไม่ได้ยินข้า ส่วนข้าก็สัมผัสเจ้าไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังอยากจะตอบอยู่ดี
ลั่วปิงเหอยืนเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวต่อว่า “ช่างเถอะ”
เขาหมุนกายออกนอกประตูไป ผ่านไปไม่นาน ก็ประคองโจ๊กที่ยังมีควันร้อนกรุ่นเข้ามา เอาชามวางบนโต๊ะ ลั่วปิงเหอก็แก้สายคาดเอวพลางกล่าวว่า “หลิ่วชิงเกอช่วยมู่ชิงฟางออกไปแล้ว”
เสิ่นชิงชิวทำเสียง “อือ”
ลั่วปิงเหอพูดเองเออเองต่อไป “ช่วยออกไปแล้วก็ช่วยออกไปแล้วเถอะ ถึงอย่างไรมู่ชิงฟางก็เอาแต่พูดว่าไม่มีวิธี ทำอะไรไม่ได้ ไม่เห็นจะมีประโยชน์สักนิด”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “มีใครที่ไหนจะให้ร้ายอาจารย์อาเช่นเจ้าบ้างนี่”
ลั่วปิงเหอถอดเสื้อนอกออก บนหน้าอกมีรอยแผลแถบหนึ่งกำลังค่อยๆ สมานตัวเอง เสิ่นชิงชิวมองปราดเดียวก็จำได้ทันที นี่คือรอยไหม้จากปราณกระบี่ของหลิ่วชิงเกอ ใต้รอยแผลที่เพิ่งได้มาใหม่นี้มีรอยแผลเก่าที่ดื้อด้านไม่ยอมหายอยู่
ลั่วปิงเหอนอนลงแล้วพลิกกายรวบร่างศพเข้าไปกอด กล่าวว่า “เมื่อก่อนเวลาศิษย์ไป๋จั้นเพิ่งมารุมซ้อมข้า ซือจุนก็จะคอยพลิกแพลงหาวิธีแก้แค้นกลับไป เมื่อไหร่ซือจุนจะไปทวงแค้นเอากับหลิ่วชิงเกอเสียทีขอรับ”
เสิ่นชิงชิวนั่งลงที่ขอบตั่ง กล่าวว่า “ทำไงได้ สู้เขาไม่ชนะนี่นา”
ลั่วปิงเหอกล่าวต่อ “ซือจุน”
เสิ่นชิงชิวตอบว่า “อือ”
ลั่วปังเหอ “ซือจุน ข้าจวนจะยันต่อไปไม่ไหวแล้ว”
“…”
ลั่วปิงเหอกล่าวยิ้มๆ “…จริงๆ นะ ซือจุน หากท่านไม่ฟื้นขึ้นมาเสียทีข้าก็จะยันต่อไม่ไหวแล้วนะ”
แต่เสิ่นชิงชิวรู้ว่า เขาจะยังคงยืนหยัดต่อไป
เขาจะยังคงกอดศพอันเย็นยะเยียบไร้ลมหายใจไว้ในอ้อมอกยืนหยัดไปเช่นนี้เป็นเวลาเกือบสองพันทิวาราตรี
ความปวดใจจนอึดอัดระเบิดขึ้นในอกเขา เสิ่นชิงชิวเห็นแขนข้างหนึ่งยื่นออกไป พยายามจะสัมผัสใบหน้าขาวเผือดของลั่วปิงเหออย่างไร้ผล เขาเห็นแขนข้างนี้สั่นระริก แต่ไม่ว่าอะไรก็สัมผัสไม่โดน พลันค่อยรู้สึกตัว แขนข้างนี้ก็คือแขนของตนนั่นเอง
“ซือจุน ซือจุน”
ท่ามกลางความสับสนเลอะเลือนเสิ่นชิงชิวรู้สึกว่ามีใครบางคนพยุงไหล่เขาให้ลุกขึ้นนั่ง เขาลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ ใบหน้าของลั่วปิงเหออยู่ห่างออกไปแค่เอื้อม กำลังจ้องมองเขาอย่างเป็นห่วง “ซือจุน ท่านเป็นอะไรไป”
เสิ่นชิงชิวยังไม่ทันได้สติกลับคืนมาเต็มที่ดีมองเขาอย่างงุนงง
ลั่วปิงเหอเห็นดังนั้นก็ยิ่งกระวนกระวาย วันนี้เขาบำเพ็ญฌานมาถึงช่วงสำคัญ พอตกกลางคืนก็ผนึกดวงจิตเอาไว้ ไม่มีเวลาไปควบคุมห้วงฝัน จึงนอนหลับไม่ค่อยจะสนิทนัก ครั้นตกใจตื่นขึ้นมากลางดึก ก็เห็นเสิ่นชิงชิวที่นอนอยู่ด้านข้างหัวคิ้วขมวดมุ่น หน้าผากชื้นไปด้วยเหงื่อก็นึกรู้ว่าไม่ดีแน่
มั่นใจว่าเป็นเพราะตนไม่ได้ผนึกพลังไว้หมดสิ้น จึงทำให้ซือจุนหลุดเข้าไปในห้วงฝันได้
เขากลัวว่าจะไปทำให้เสิ่นชิงชิวฝันเห็นอะไรที่น่ากลัวเข้า รีบซักเป็นการใหญ่ “ซือจุน เมื่อครู่ท่านฝันเห็นอะไร ได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
เพราะติดอยู่ในความฝันนานเกินไป ขวัญของเสิ่นชิงชิวจึงยังไม่กลับคืนมาทันที มองหน้าลั่วปิงเหอที่เหมือนฝันเหมือนจริง ภาพตรงหน้าเดียวก็พร่าเดี๋ยวก็ชัด ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ลั่วปิงเหอจึงยิ่งร้อนใจร้องลั่น “ซือจุน! พูดอะไรสักคำเถอะ”
ทันใดนั้นในใจก็สว่างวาบ เสิ่นซึ่งชิวกะพริบตาปริบๆ โน้มใบหน้าเขาเข้ามาจูบ
ลั่วปิงเหอ “…”
ถึงแม้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ถูกจุมพิตที่มาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนี้สร้างความสุขให้เป็นนักหนา ลั่วปิงเหอเบิกตากว้าง เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว เขาก็รั้งคอของเสิ่นชิงชิวเข้ามา เป็นฝ่ายเพิ่มความดื่มด่ำลึกซึ้งให้กับจุมพิตนี้ยิ่งขึ้น
เสิ่นชิงชิวไม่หยุดเพียงแค่นี้ ท่ามกลางเสียงสวบสาบ เขาแก้สายคาดเอวของลั่วปิงเหอ คว้ามืออีกฝ่ายให้สอดเข้ามาในสาบเสื้อที่แบะออกของตนเอง ลูบไล้ตามช่องท้องที่แน่นกระชับมาจนถึงหัวใจที่กำลังเต้นระรัวด้วยความปรารถนา
คราวนี้ลั่วปิงเหอจึงแทบจะตื่นตะลึงไปกับวาสนาที่คาดไม่ถึง กลับไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหวแล้ว ทุกท่วงท่ากิริยาค่อยเป็นค่อยไปด้วยความระมัดระวัง
แต่แล้ว ขณะที่เขามัวรีรออยู่นั่นเอง เสิ่นชิงชิวก็พลิกตัวจับเขากดไว้ใต้ร่าง แล้วฉีกทึ้งเสื้อตัวกลางของเขาออกไป
ลั่วปิงเหอหอบหายใจไม่เป็นสำ จับเอวเขาไว้ หน้าแดงระเรื่อ กล่าวระล่ำระลัก “ซือจุน คืนนี้ท่านเป็นอะไรไป”
เสิ่นชิงชิวโน้มกายลงไปกระซิบข้างหูเขา “คืนนี้ข้ารู้สึกรักเจ้าเป็นพิเศษ”
ลั่วปิงเหอตัวแข็งเป็นหินตั้งแต่หัวจรดเท้าในชั่วพริบตา
เขายันกายขึ้นอย่างรวดเร็ว กักเสิ่นชิงชิวไว้ในวงแขน สูดหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุน ข้า…อาจจะนุ่มนวลไม่ไหวนะขอรับ”
ฟังเสียงที่ฝืนทำเป็นสงบนิ่งของเขาแล้ว เสิ่นชิงชิวก็หัวเราะออกมา “พูดราวกับว่าหากเจ้านุ่มนวลแล้วข้าจะไม่เจ็บอย่างนั้นแหละ”
ไม่รอว่าลั่วปังเหอจะทำหน้าอย่างไร เสิ่นชิงชิวก็ยื่นมือทั้งสองข้างออกมา
“แต่ข้าก็ยอมด้วยความเต็มใจอยู่ดี”