ตอนพิเศษ 7
หวนคืนสู่วัยเยาว์
พอตื่นขึ้น เสิ่นชิงชิวพลิกกายอย่างเกียจคร้าน แต่กลับไม่รู้สึกถึงวงแขนที่โอบรัดรอบเอวเหมือนเช่นทุกครั้ง
แสงสว่างยามเช้าส่องลอดเข้ามาทางหน้าต่าง เขาใช้แขนเสื้อตัวกลางปิดตา ทว่าพอขยับตัวก็รู้สึกปวดเมื่อยที่เอวและหลัง แขนอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง บางตำแหน่งของร่างกายท่อนล่างทั้งเจ็บแปลบนิดๆ และเหนอะหนะด้วยคราบของเหลวเกรอะกรัง
เมื่อคืนนี้พวกเขาเพริดกันเตลิดเปิดเปิงทั้งคืน เช้ามาก็ได้แต่นึกว่าไม่น่าเลย เสิ่นชิงชิวประหลาดใจที่วันนี้ลั่วปิงเหอไม่ได้ลุกขึ้นก่อนเพื่อมาช่วยเขาทำความสะอาดเนื้อตัวจากนั้นก็ไปทำอาหารเช้าเหมือนอย่างทุกครั้ง เขาส่งเสียงอู้อี้ “…ปิงเหอ”
ไม่มีเสียงตอบ เสิ่นชิงชิวยิ่งรู้สึกสับสน ฝืนลืมตาขึ้น ก้มหน้ามอง ก็เจอะเอาศีรษะเล็กๆ ที่ปกคลุมด้วยผมดำนุ่มสลวยเข้า
“…”
ศีรษะเล็กๆ นี้ได้รูปสวยและน่ารักน่าเอ็นดู ใบหน้าขาวใส พวงแก้มสุกปลั่ง ขนตาดำขลับงอนยาว หลับตาพริ้มริมฝีปากเป็นสีชมพูระเรื่อกำลังนอนขดตัวอยู่ข้างเขาเหมือนแมวนอนหวด ทั้งยังหนุนแขนตนเองต่างหมอนอีก
ถึงแม้ขนาดตัวจะไม่เท่ากัน ถึงแม้ดูแล้วอย่างมากก็ห้าหกขวบ ถึงแม้…
ไม่มีถึงแม้อะไรอีกแล้ว ต่อให้ย่อส่วนเล็กลงไปอีกเท่าหนึ่ง เสิ่นชิงชิวก็ยังจดจำได้ในปราดเดียว นี่คือใบหน้าของท่านพระเอกอย่างแน่นอน
—อ้าก!!!
เขาสะดุ้งตกใจ ร้องเสียงหลง “ลั่วปิงเหอ!”
เดิมที่ยังอยากหยิกแขนตัวเองแรงๆ เพื่อดูสิว่าจะเจ็บไหม แต่พอดีดกายผึ่งขึ้นมา ร่างกายท่อนล่างก็เจ็บแปลบเป็นระลอก เสิ่นชิงชิวกลับลงไปนอนตัวแข็งทื่อต่อ ลั่วปังเหอที่ขดตัวเป็นก้อนกลมขยับขนตายุกยิก ค่อยๆ ลืมตาตื่น
ซีกหน้าที่กดทับแขนตัวเองมีรอยแดงปื้นหนึ่ง เขาหยีตามองเสิ่นชิงชิวที่กำลังนอนอยู่ด้านข้างในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ย แล้วชูแขนสองข้างโผเข้าหาทำท่า ‘ขอกอดหน่อย’ พร้อมกับส่งเสียงเรียก “ซือจุน…”
เสียงนี้ทั้งเล็กใสและออดอ้อนอ่อนเยาว์เสียจนแทบจะคั้นน้ำออกมาได้เลยทีเดียว ดังนั้นพอเขาได้ยินเสียงของตนเองก็ตัวแข็งทื่อไปอีกคนเช่นกัน
ตาใหญ่ตาเล็กจ้องกันเขม็ง
สับสนงงงวยกันอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดทั้งคู่ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น
ที่แท้ช่วงนี้ลั่วปิงเหอฝึกวิชามาถึงช่วงสำคัญว่ากันตามหลักแล้ว เขาควรจะต้องทำกายใจให้ผ่องแผ้วปราศจากกิเลสตัณหาทั้งปวงเช่นนี้ถึงจะไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น แต่เมื่อคืนนี้เขาดันตบะแตก ก่อกรรมทำเข็ญทั้งคืน ในที่สุดจึงได้เรื่อง! ธาตุไฟเข้าแทรกไปซะแล้ว
เสิ่นชิงชิวทำความเข้าใจได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรเลย เพราะว่าเนื้อเรื่องช่วงนี้ใน “เทพมารอหังการ” ฉบับดั้งเดิมที่มีอยู่ แน่นอนว่า วัตถุประสงค์ของเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีที่ใส่เนื้อเรื่องช่วงนี้มาไม่ใช่เพื่อขายความน่ารักหรืออะไร หากแต่เป็นเพราะเมื่อเปลี่ยนลั่วปิงเหอให้เป็นเด็ก ก็จะสามารถเข้าไปในสถานที่ที่ตามปกติแล้วชายหนุ่มไม่อาจเข้าออกได้ เป็นสถานที่แบบไหนนั้น โปรดไปนึกกันเอาเอง อีกทั้งพอเป็นเด็ก สาวๆ ก็จะลดการระวังและการป้องกันลงอย่างง่ายดาย ตามมาด้วยปฏิบัติการแบบถึงเนื้อถึงตัว หลังจากนั้นก็จะจู่โจมทีเผลอ พิชิตหัวใจสาวๆอย่างหมดจดรวบรัดในกระบวนท่าเดียว
ด้วยความที่พล็อตนี้โผล่มาช้ามาก เขายังหลงนึกว่ามันคงจะหลุดวงจรไปแล้ว ใครจะไปคิดว่ามันแค่มาช้ากว่าที่ควรเท่านั้น
เสิ่นชิงชิวเอามือกุมหน้าผากพลางกล่าว “…พลังวัตรเจ้ายังเหลืออีกเท่าไหร่”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ไม่ถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ”
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาเปี่ยมไปด้วยความเคร่งขรึม แต่ดูยังไงก็ไม่อาจทำให้คนรู้สึกถึงสถานการณ์ที่มันซีเรียสได้เลย หากแต่…ตลกดี
ดังนั้นเสิ่นชิงชิวจึงหัวเราะอย่างใจดำ หัวเราะเสร็จก็ปรับสีหน้า กล่าวในงานเป็นการว่า “แค่กๆ เหลือแค่หนึ่งในสิบหรือ เอาล่ะ งั้นก็อยู่ภพมารไม่ได้แล้ว”
ทั้งคนและมารที่ลั่วปิงเหอล่วงเกินมีจำนวนไม่น้อย เวลาเช่นนี้ย่อมต้องหนีให้ไกลเอาไว้ก่อน ไปหาที่หลบซ่อนตัวยิ่งลึกยิ่งดี ความคิดแรกของเสิ่นชิงชิวก็คืออุ้มลั่วปิงถวน*หนี
พอตกลงใจได้ เขาก็เตรียมจะสวมเสื้อผ้าลงจากเตียงนึกไม่ถึงว่า แค่ปรับตัวให้ตรง ก็มีอันต้องหน้าเหยเกเลยทีเดียว
เมื่อก่อนนี้ หลังจากเสร็จกิจ ลั่วปิงเหอจะฉวยจังหวะที่เขาหลับสนิทอุ้มเขาไปชำระล้างร่างกายที่บ่อน้ำพุร้อน แต่ลั่วปิงเหอในยามนี้ จะขยับตัวเขายังทำไม่ไหว มีปัญญาแค่กอดขาเขาได้ข้างเดียวเท่านั้น ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ อยู่ด้านข้าง ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เต็มแก่
“…” เสิ่นชิงชิวกล่าวปลอบใจเขา “ช่างเถอะ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวข้าทำเอง”
บ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติในตำหนักใต้ดินของลั่วปิงเหอนั้น ตรงส่วนที่ลึกที่สุดลึกกว่าหน้าอกเสิ่นชิงชิว หากจับลั่วตัวปิงถวนโยนลงไป ก็จะจมมิดหัวทันที เสิ่นชิงชิวได้แต่อุ้มเขาไปนั่งบนก้อนหินริมขอบบ่ออย่างระมัดระวัง ทั้งยังกำชับลั่วปิงเหอให้นั่งดีๆ อย่าได้ร่วงลงไป
เขากะจะรีบอาบน้ำให้เสร็จไวๆ แต่แล้วก็เห็นลั่วปิงเหอกำลังพยายามเอื้อมมือไปที่ก้อนหินด้านข้าง เพื่อจะหยิบตลับใส่จ้าวเจี๋ย*ให้เขา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เอื้อมไม่ถึง
(*จ้าวเจี๋ย Chinese honey horust หรือฝักสบู่ เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง คนจีนโบราณนำฝักของมันมาใช้เป็นสบู่)
ท่าทางเช่นนี้เตือนใจให้เขานึกถึงตอนที่ลั่วปิงเหอกราบเขาเป็นศิษย์ชางฉยงซาน สวมเสื้อตัวน้อยปะชุนไปทั้งตัว นั่งก้มหน้าก้มตาขุดดินอยู่ในหุบเขา เสิ่นชิงชิวมองดูอยู่พักหนึ่ง ก็ฉุดเขาเข้ามากอดไว้ในอ้อมอกอย่างอดไม่อยู่จับมาฟัดอย่างมันเขี้ยวด้วยสีหน้าไม่แสดงความรู้สึก ทำเอาลั่วปิงเหอสำลักน้ำไปหลายอึก ผิวเขาที่เดิมที่ก็สุกปลั่งอยู่แล้วเพราะไอน้ำร้อน พอโดนฟัดเข้าพักหนึ่ง ก็กลายเป็นก้อนสีชมพูทันที
ด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านลั่วปิงเหอคว้าข้อมือของเสิ่นชิงชิวไว้ทันทีตามสัญชาตญาณ หมายจะจับเขากดกับก้อนหินตามความเคยชิน
ถึงแม้เสิ่นชิงชิวจะให้ความร่วมมือกับเขาอย่างมีน้ำใจ ลงนอนให้เขา ‘กด’ แต่โดยดี ทว่าใบหน้าเล็กๆ ของลั่วปิงเหอก็ดำทะมึนไปแล้วในชั่วพริบตา
ร่างกายเช่นนี้…จะกดสักกี่พันกี่หมื่นทีก็ไม่มีประโยชน์!
ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น
เห็นใบหน้าของลั่วปิงถวนเปลี่ยนจากแดงเป็ขาว ขาวเป็นดำ เสิ่นชิงชิวก็กลั้นหัวเราะเสียจนเจ็บท้อง “เมื่อคืนทรมานทรกรรมเหวยชื่อโดยไม่รู้จักคิด วันนี้เลยโดนกรรมสนองเข้าแล้ว”
ลั่วปังเหอกล่าวอย่างปวดร้าว “มิใช่เพราะซือจุนยั่วยวนศิษย์ก่อนหรอกหรือ”
พอได้ฟังประโยคนี้เข้า หนังหน้าแก่ๆ ของเสิ่นชิงชิวก็แดงแปร๊ด แอบร้องว่าละอายอยู่ในใจ เขาปรับสีหน้าปล่อยมือเดี๋ยวนั้นลั่วปิงเหอไม่ทันระวังจมน้ำทันที ฟองอากาศผุดขึ้นมาบุ๋งๆ
ตามแผนการของเสิ่นชิงชิว สถานที่หลบภัยที่ผุดขึ้นมาในความคิดเป็นอันดับแรกย่อมจะเป็นชางฉยงซาน แต่ลั่วปิงเหอกลับคัดค้านหัวชนฝา ตีให้ตายก็ไม่ยอมกลับไปที่นั่นเด็ดขาด
คิดๆ ดูแล้วก็พอจะเข้าใจได้ พลังวัตรของเขาในตอนนี้แทบจะเป็นศูนย์ พอไปอยู่ที่นั้นก็จะต้องถูกคนมามุงดู อีกทั้งหนึ่งในบรรดาขามุงย่อมจะมีหลิ่วชิงเกอรวมอยู่ในนั้นด้วย
ดังนั้นเสิ่นชิงชิวจึงพบกันครึ่งทาง พาเขาไปที่ภพมนุษย์แทน
ว่ากันว่า ในเมืองจะกลืนหายไปกับผู้คนได้ง่าย พวกเขาจึงเลือกเมืองเล็กแห่งหนึ่งที่คึกคักเป็นพิเศษ ระหว่างที่รอใหพหลังวัตรของลั่วปิงเหอฟื้นฟูก็พำนักอยู่ที่นี่ไปก่อนเป็นการฆ่าเวลา เสิ่นชิงชิวว่างงานคันคะเยอเข้าไปถึงกระดูก จึงไปสมัครเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่สำนักศึกษาใหญ่ที่สุดในเมือง
แน่นอนว่าลั่วปิงเหอย่อมจะไม่พอใจ ประการแรก เขาไม่ชอบให้เสิ่นชิงชิวรับศิษย์คนอื่นอีก ศิษย์โขยงนั้นบนชิงจิ้งเฟิงยังไม่พออีกหรือ ยังจะรับเพิ่มอีก?!
ประการที่สอง เขาไม่ชอบที่ถูกเหมาเอาว่าเป็นลูกชายของเสิ่นชิงชิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอได้เวลานอนตอนกลางคืน ถึงแม้จะกอดจะหอมได้ตามสบาย แต่อย่างอื่นทำไม่ได้ทั้งสิ้น ไหนจะต้องมาฟังเสิ่นชิงชิวแกล้งเรียกเขาว่า ‘เด็กดี’ บ้างล่ะ ‘เป่าเป้ย*คนดี’ บ้างล่ะ และที่แค้นยิ่งกว่าก็คือ แค้นตัวเองที่ไม่ได้ดังใจ
(เป่าเป้ย แปลตามตัวอักษรว่า สิ่งล้ำค่าอันเป็นที่รัก เป็นคำเรียกเด็กๆ ด้วยความเอ็นดู)
วันนี้พอเสิ่นชิงชิวกลับมาจากสำนักศึกษา ก็เห็นลั่วปิงเหอย้ายม้านั่งตัวหนึ่งมานั่งรอเขาอย่างเชิดหยิ่งที่หน้าประตู
หากนี่เป็นลั่วเปิงเหอเวอร์ชั่นผู้ใหญ่ ย่อมจะทำให้ผู้พบเห็นหัวหดไปตามๆ กัน แต่ด้วยขนาดร่างกายเขาในเวลานี้ มีแต่จะทำให้คนยื่นอุ้งมือมารไปบีบแก้มเขาแรงๆ อย่างอดใจไม่อยู่เสียมากกว่า ไม่ว่าจะทำหน้าตายด้านปฏิเสธผู้คนออกไปให้ห่างสักพันลี้แค่ไหน แต่เสียงนกกระจอกขามุงที่จ๊อกแจ็กจอแจอยู่รอบข้างก็ไม่เคยหยุด ใกล้ๆ กับบริเวณที่เขานั่งอยู่เต็มไปด้วยปราสาททรายที่ถูกก่อขึ้นมา และมีเสียงชวนให้มาเล่นด้วยกันเป็นระยะๆ
นกกระจอกเหล่านี้ก็คือบรรดาเด็กๆ ที่บ้านอยู่ละแวกนั้นนั่นเอง นับจากวันแรกที่เสิ่นชิงชิวย้ายเข้ามา พวกหนูๆ เหล่านี้ก็พร้อมใจกันมาสยบอยู่ใต้ออร่าอันเจิดจ้าของพระเอกจนหมดสิ้น เกาะติดเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ไล่ยังไงไล่ก็ไม่ไป ดีที่พวกเขากลัวเสิ่นชิงชิว ไม่มีเด็กคนไหนไม่กลัวคุณครูอยู่แล้ว ดังนั้นพอเห็นเขากลับมา ฝูงนกกระจอกก็แตกฮือทันที
เสิ่นชิงชิวเตรียมจะยื่นอุ้งมือมารด้วยท่วงท่าอันสง่างามไปบีบแก้มลั่วปิงเหออย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน เวลานี้เอง ด้านหลังเขาก็มีกลุ่มผู้คนแข่งกันเรียก “เสิ่นเซียนเซิง” ด้วยเสียงอันดัง จากนั้น ร่างอ้อนแอ้นสองสามร่างที่แพรวพราวไปด้วยเครื่องประดับก็ก้าวเข้ามาในลานบ้านโดยไม่รอให้เชื้อเชิญ
เสิ่นชิงชิวหันกลับไป ที่เห็นคือฮูหยินสองสามคนที่ปกติมักจะทำตัวเด่นดังอยู่ในอำเภอนี้ เขาพยักหน้าเป็นการทักทายพวกนาง แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร ผู้ที่เป็นหัวโจกนำหน้ามาก็คว้าแขนเขาหมับก่อนจะลากตัวเขาออกไปข้างนอกเดี๋ยวนั้น “เส้นเซียนเซิง ตามหาท่านมาครึ่งค่อนวันแล้ว รีบไปกับข้าเร็วเข้า พวกสาวๆ เขารออยู่นานแล้ว”
ลั่วปิงเหอถามเสียงเข้ม “ไปทำอะไร สาวๆ ที่ไหน”
เสิ่นชิงชิวเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นกัน ฮูหยิน ก. ถูกสีหน้าบอกบุญไม่รับของลั่วปิงเหอทำเอาตกใจจนสะดุ้งโหยง โบกพัดกล่าวว่า “ไอ้หยา เด็กอะไรนี่ ส่งเสียงทีทำเอาคนตกใจได้ขนาดนี้ คุณชายน้อยโมโนโทโสอะไรรึ เสิ่นเซียนเซิง นี่เขางอนอะไรท่านเปล่า”
ฮูหยิน ข. รีบเข้ามาทันที “มาๆๆ คุณชายน้อยรีบมาเร็วเข้า เจี่ยเจียจะให้กินขนม อย่ารบกวนท่านพ่อนะ”
ลั่วปิงเหอไม่สนใจพวกนาง ทำหน้าเย็นชา “ซือ..วันนี้ท่านมีกำหนดการจะต้องทำอะไรหรือ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “เหวยซือ…ข้าไม่ยักจำได้”
ฮูหยิน ก. กล่าวตำหนิ “เสิ่นเซียนเซิง ท่านยังทำเป็นมาถามทั้งๆ ที่รู้ จะต้องให้ข้าพูดโจ่งแจ้งขนาดไหนกัน ได้ ได้ บ้านข้ามีหลานสาวอยู่คนนึง รูปร่างหน้าตาดี ดูแล้วเหมาะสมคู่ควรกับท่าน เลยจัดงานเลี้ยงที่หอทางตะวันตกของเมืองเพื่อให้พวกท่านได้พบกันอย่างไรล่ะ”
“ที่บ้านข้าก็มีคนนึงเหมือนกัน”
“ญาติผู้น้องข้าเอง ยังมีญาติผู้น้องข้าอีกคนนะ”
ที่แท้ในสถานที่อันคึกคักเช่นนี้ ไม่ว่าข่าวอะไรก็แพร่ไปเร็วมาก เสิ่นชิงชิวเพิ่งมาอยู่ได้ไม่นาน คนในเมืองก็เอาไปลือกันทั่วแล้วว่า มีอาจารย์สอนหนังสือมาใหม่คนหนึ่ง ไม่เพียงรู้หนังสือมีการศึกษาสูง กริยามารยาทดี สุภาพเรียบร้อย รูปร่างหน้าตายิ่งหล่อเหลาทรงภูมิ เจริญหูเจริญตายิ่งนัก
แต่ทั้งหมดนี้หาได้มีความสำคัญเท่าไรนัก ที่สำคัญที่สุดคือ เขาจะต้องเป็นเศรษฐีมีเงินอย่างแน่นอน มีเงินมากเสียด้วย ซื้อบ้านทีก็ซื้อเสียหรู หากมิใช่เป็นเศรษฐีแล้วจะมีปัญญาทำขนาดนี้ได้อย่างไร เขายังมีลูกชายอายุสี่ห้าขวบมาด้วย ขาวผ่องน่ารักเป็นนักหนา อายุน้อยๆ ก็ยังหล่อเหลาเสียขนาดนี้ วันหน้าจะต้องเติบโตเป็นชายหนุ่มที่องอาจสง่างามเป็นแม่นมั่น ให้ตายสิ! บ้านไหนมีลูกสาวถึงวัยออกเรือนที่ยังไม่ได้แต่งออกไป หรือว่าบ้านไหนที่มีลูกสาวที่เพิ่งจะคลอดออกมาหรือแม้กระทั่งยังไม่ได้หมั้นหมายให้แก่ใคร จึงรีบมาจับจองกันไว้ก่อน ไม่ว่าจะจองผู้ใหญ่หรือจองเด็กรับรองไม่ขาดทุน
ลั่วปิงเหอโมโหจนหน้าเขียว กล่าวอย่างดุดัน “เขาไม่จำเป็นต้องไปดูตัวที่ใหนทั้งนั้น”
เจ้าของตัวจริงยังไม่ตายนะ!
ฮูหยิน ค. เดินยักย้ายส่ายสะโพกเข้ามา “คุณชายน้อยเสิ่น เจ้าไม่อยากให้ท่านพ่อของเจ้าแต่งฮูหยินใหม่หรือ ได้ท่านแม่คนใหม่ที่ทั้งสวยทั้งอ่อนโยนมารักเจ้าไม่ดีหรือไร”
ฮูหยิน ข. กล่าวเสริมทัพ “ถูกต้องๆ เสิ่นเซียนเซิงตามอกตามใจลูกเช่นนี้ไม่ได้นะ ข้าได้ยินว่าท่านไปสำนักศึกษาก็ยังพาเขาไปด้วยตลอด เขายังขอนั่งตักท่านด้วยใช่หรือไม่ อย่าหาว่าข้าว่าเลยนะทะนุถนอมกันขนาดนี้จะโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มที่ดีได้อย่างไร ลูกชายข้าที่บ้าน…”
เสิ่นชิงชิวเห็นลั่วปิงเหอทำท่าเหมือนกำลังจะโบกมือระเบิดบ้านทั้งหลัง ก็รีบอุ้มเขาถอยหลังกรูด “ผู้แซ่เสิ่นขอรับแต่เพียงน้ำใจของฮูหยินทุกท่านก็แล้วกัน ผู้แซ่เสิ่นไม่คิดจะ อะแฮ่ม แต่งงานใหม่ ในบ้านไม่มีผู้ใด ทั้งยังต้องดูแลบุตรน้อย ขออภัยที่ไม่สะดวกรับคำเชิญ”
ฮูหยิน ก. ซึ่งติดโบตั๋นแดงดอกใหญ่ไว้ที่เรือนผมกล่าวขึ้นอย่างเจ้าหลักการว่า “เสิ่นเซียนเซิงพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ชายหนุ่มเติบใหญ่ย่อมต้องแต่งภรรยา หญิงสาวเติบโตย่อมต้องออกเรือน บ้านช่องท่านใหญ่โตขนาดนี้ไม่มีนายหญิงควบคุมจะอยู่กันเยี่ยงไร ชายหนุ่มบุคลิกท่าทางเช่นท่านจะมัวแต่คอยดูแลเลี้ยงดูบุตรชายอย่างเดียวได้อย่างไร ไม่เพียงลำบากตนเอง ซ้ำยังดูไม่งาม พูดออกไปก็ไม่น่าฟังด้วย”
นางกระพือพัดด้ามจิ้วกล่าวรวบรัดตัดความไม่เปิดโอกาสให้แย้งว่า “เป็นอันตกลงตามนี้ เสิ่นเซียนเซิง ท่านไปกับพวกเราตอนนี้เลย ส่วนคุณชายน้อยก็คอยอยู่ที่บ้าน ย่อมมีคนดูแลเขาเอง”
ลั่วปิงเหอยิ้มเย็นยะเยียบ “ข้ากลับอยากเห็นว่าจะมีใครไปได้!”
ท่าทางชั่วร้ายเยือกเย็นของเขามิได้ดำเนินอยู่นานนัก เสิ่นชิงชิวเห็นแก่ชีวิตของฮูหยินทั้งสามที่มีน้ำใจจะจับคู่ให้เขารวมทั้งความสงบสุขของเมืองนี้ ก็สะบัดมือโยนยันต์ออกไปน็อคพวกนางให้สลบเดี๋ยวนั้น แล้วทิ้งบ้านที่เพิ่งจะซื้อมาได้ยังไม่ทันถึงเดือนชิ่งหนีเป็นการด่วน
ทีนี้ก็ได้แต่หนีกลับชางฉยงชานเท่านั้น
เบื้องล่างบันไดทางขึ้นเขาที่ยาวเหยียด เสิ่นชิงชิวจูงมือลั่วปิงเหอเดินขึ้นไป
พี่ชายกวาดบันไดทางขึ้นเขาปฏิบัติหน้าที่อย่างขยันขันแข็งมาสิบกว่าปีแล้ว เสิ่นชิงชิวเดินขึ้นบันได พอสบตากับเขาก็ยิ้มน้อยๆ ขณะกำลังจะกล่าวทักทายเสียหน่อย แต่พอพี่ชายเห็นเขา แล้วมองไปยังลั่วปิงเหอที่เขาจูงมืออยู่ กล้ามเนื้อบนใบหน้าพี่ชายก็กระตุก
ทันใดนั้นเขาก็โยนไม้กวาดที่สูงเท่าตัวคนทิ้ง โกยแนบขึ้นบันไดราวกับมีไฟจ่อก้น กระโจนพรวดเดียวก็ขึ้นบันไดไปหลายร้อยขั้น เสิ่นชิงชิวอ้ำอึ้งตะถึงลาน นึกภาคภูมิใจอยู่ในที
สมแล้วที่เป็นชางฉยงชาน ขนาดศิษย์กวาดบันไดยังคมในฝักเลย!
บันไดทางขึ้นเหยียดยาว ขึ้นไปยังไม่ทันจะถึงครึ่ง ลั่วปิงเหอก็อ้าปากหาว ตอนนี้กำลังวังชาของเขาไม่ค่อยพร้อมนักจึงมักจะเหนื่อยง่ายเสิ่นชิงชิวอุ้มเขาขึ้น “เจ้าหลับเถอะ”
ใจของลูกศิษย์ยากแท้หยั่งถึง บางครั้งลั่วปิงเหอก็เต็มใจให้เขาอุ้ม แต่บางครั้งกลับหน้าแดง ดิ้นหนีจะขอเดินเอง ยามนี้ดูท่าจะเหนื่อยแล้วจริงๆ ซุกกายอยู่ในอ้อมแขนเขา ตาหรี่ปรืออยู่ครู่หนึ่งก็หลับไปทั้งๆ อย่างนั้น
เดินขึ้นบันไดสวรรค์เสร็จ ขณะกำลังจะย่างเท้าเข้าลาน เสิ่นชิงชิวก็รู้สึกว่าสายตาที่มองมาจากรอบด้านนั้นดูไม่ค่อยปกตินัก ผู้คนกระซิบกระซาบกันเสียงหึ่ง พี่ชายกวาดบันไดกอดไม้กวาดวิ่งกลับลงเขาไปใหม่แล้ว เห็นเขาทำตาแปลกก็บอกไม่ถูก
เขาอุ้มลั่วปิงเหอเดินขึ้นชิงจิ้งเฟิง พอถึงหน้าประตูเรือนไผ่ พวกศิษย์ทุกคนก็วิ่งแจ้นเข้ามาอย่างตื่นเต้นดีใจ
แต่พอหมิงฟานเห็นลั่วปิงเหอในอ้อมกอดเสิ่นชิงชิว ก็ตัวแข็งทื่อราวกับถูกฟ้าผ่า ผงะถอยหลังไปหลายก้าว คนอื่นๆ ก็เบียดกันเข้ามามุงดู หนิงอิงอิงผลักคนที่ขวางอยู่ตรงหน้าออกไป จ้องมองลั่วปิงเหอที่หลับสนิทในอ้อมแขนของเสิ่นชิงชิว นางยกมือขึ้นปิดปาก “…เหมือนอาลั่ว เหมือนอาลั่วเลย”
เหลวไหว ไม่เหมือนลั่วปิงเหอแล้วจะให้เหมือนใครล่ะ
หนิงอิงอิงคว้าแขนเสื้อของเสิ่นชิงชิวด้วยความตื่นเต้น ถามอย่างกระตือรือร้น “ซือจุน เขามีชื่อหรือยังเจ้าคะ ท่านตั้งชื่อให้เขาแล้วหรือยัง”
เสิ่นชิงชิว “…?”
หนิงอิงอิงกล่าวว่า “หากยังไม่มีชื่อ ขะ..ข้าตั้งให้เขาสักชื่อได้หรือไม่เจ้าคะ”
จะบ้าตาย!
ลั่วปิงเหอที่อยู่ในอ้อมอกเขาดิ้นอย่างไม่สบายตัว กล่าวเสียงงัวเงีย “…หนวกหู”
เสิ่นชิงชิวชูพัดขึ้นสูงในท่าตักเตือน ต่อมาก็รีบเอาลง ทำท่าให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ทันใดนั้น ประตูเรือนไผ่จู่ๆ ก็หลุดห้อยร่องแร่ง ลั่วปิงเหอผวาทีหนึ่ง ตกใจลืมตาตื่นขึ้น
หลิ่วชิงเกอสาวเท้าพรวดเข้ามา เสิ่นชิงชิวมองปราดไปยังหมิงฟานที่ทำลับๆ ล่อๆ ก่อนทันที จากนั้นย้ายลั่วปิงเหอที่ยังอุ้มอยู่ไปไว้ด้านหลังตนทั้งๆ ที่รู้ว่าเปล่าประโยชน์ พร้อมกับแสร้งหัวเราะ “ศิษย์น้องหลิว ไม่พบกันเสียนาน สบายดีไหม”
หลิ่วชิงเกอกล่าวเสียงเข้ม “จะซ่อนทำไม”
เสิ่นชิงชิว “ซ่อนเซิ่นอะไรกัน ไม่ได้ซ่อนเสียหน่อย”
ลั่วปิงเหอใช้มือข้างหนึ่งยันอกเสิ่นชิงชิว “ไม่ต้องซ่อน ข้าไม่กลัวเขาหรอก”
หลิ่วชิงเกอเดินเข้ามาใกล้ ก้มหน้ามองใบหน้าน้อยๆ ที่แสดงอาการท้าทายของลั่วปิงเหอ ผ่านไปครู่ใหญ่ จึงค่อยกล่าวกับเสิ่นชิงชิวอย่างตะกุกตะกัก ราวกับกำลังอดกลั้นต่อบางสิ่งบางอย่างว่า “เจ้า…ตั้งแต่เมื่อไหร่…เจ้ากับลั่วปิงเหอ เจ้ากับเขา…”
“กับเขา?”
กับเขาหรือ กับเขาอะไรหว่า
หลิ่วชิงเกอทำหน้าราวกับหมดปัญญาจะกล่าว หมิงฟานจึงช่วยตะโกนแทนให้ “ท่านมีลูกกับเขาโตปานนี้แล้วเรอะ”
……..โห พี่หลิ่ว!
นิยายที่ไอ้คุณเซี่ยงเทียนต่าเฟยจีมันเขียนไม่ใช่นิยาย mpreg* ของจิ้นเจียงนะ
(นิยาย mpreg หมายถึง นิยายที่ผู้ชายในเรื่องตั้งท้องได้)
หลังจากไล่พี่หลิ่วผู้ยิ่งใหญ่ลงไปจากชิงจิ้งเฟิงอย่างไม่สนมารยาทแล้ว เสิ่นชิงชิวก็มีอาการราวกับถูกสายฟ้าฟาดจนประสาทสัมผัสทั้งห้าบกพร่อง “ผู้ชายจะคลอดลูกได้อย่างไรเล่า”
หนิงอิงอิงในที่สุดก็เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร พอรู้ว่าเด็กที่เสิ่นชิงชิวอุ้มกลับมาไม่ใช่ลูกของพวกเขาสองคนก็ผิดหวังเป็นการใหญ่ รู้สึกว่าความสุขปรี่ล้นทรวงในอีกทั้งชื่อห้าสิบกว่าชื่อที่นางอุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจคิดนั้นต้องมาสูญเปล่า นางทำแก้มป่องปากยื่นกล่าวว่า “ต้องโทษพี่ชายกวาดบันไดที่เอามาบอกนั่นแหละ คนเขาเลยนึกว่าจริงน่ะสิ ใครจะไปนึกว่าอาลั่วจะมีเวลาที่ธาตุไฟเข้าแทรกกับเขาด้วย”
ไอ้พี่ชายกวาดบันไดตัวดี รวดเร็วสุดๆ สมองก็ประหลาดพิสดารเกินเหตุ ฉันจะจำไว้เลย
หมิงฟานกล่าวอย่างเหนียมๆ “ศิษย์ยังหลงเข้าใจว่าหากเป็นเผ่ามารล่ะก็ การจะทำให้ผู้ชายคลอดลูกก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่นา”
ทุกคนที่อยู่ด้านหลังพยักหน้ากันหงึกหงัก เสิ่นชิงชิวรู้สึกเหมือนจะพังทลาย ยกเหตุผลมากล่าวแย้งว่า “ต่อให้คลอดลูกมาจริง ก็ไม่มีทางโตขนาดนี้ในเวลาไม่กี่เดือนหรอก”
หมิงฟานกล่าวอีกว่า “ก็ไม่แน่นี่ขอรับ พวกศิษย์นึกว่า หากเป็นลูกของลั่วปิงเหอเจ้าเด็กประหลาดผู้นั้นล่ะก็ ต่อให้เกิดมาแล้วเติบใหญ่พรวดเดียวขนาดนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นะขอรับ”
“……..”
การลงโทษคัดคัมภีร์ที่ห่างหายไปนานบนชิงจิ้งเฟิง จึงได้กลับมาเยือนสรรพสัตว์อีกครั้งในคืนนี้
…………………………………..
ยากนักที่จะมีเวลากลับมาเยือนชางฉยงซานสักหน เจ้ายอดเขาทั้งสิบสองนานๆ ทีจะได้อยู่พร้อมหน้า ย่อมจะมีการนัดประชุมกินข้าวอะไรเหล่านี้กัน
เสิ่นชิงชิวไม่ได้นั่งเก็กบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งอันดับสองภายในห้องด้านในอารามฉยงติ่งเสียนาน คิดถึงความรู้สึกแบบนี้จริงๆ
เขากล่าวทักทายกับเจ้ายอดเขาแต่ละคน ‘ไม่เจอกันเสียนาน’ ‘จากมาสบายดี?’ ‘เกรงใจแล้วๆ’ ยกหนึ่ง ก็กางพัดด้ามจิ้วยิ้มแย้มอย่างสดชื่น
เยวี่ยชิงหยวนเห็นเขาเข้า สีหน้าก็ออกจะแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เข้านั่งประจำตำแหน่งผู้นำแล้วส่งยิ้มมาให้ เอาเอกสารที่หอบมาวางไว้บนโต๊ะ ซั่งชิงหัวรีบเข้ามารับไปแจกจ่ายอย่างรู้งาน
เสิ่นชิงชิวรับสมุดที่ซั่งชิงหัวส่งให้ พลางชำเลืองมองเขาเสียทีหนึ่งก่อน ไม่รู้ว่าซั่งชิงหัวไปล่วงเกินโม่เป่ยจวินตรงไหนเข้า ริมฝีปากถึงได้ดูเจ่อๆ พลางส่งยิ้มน่าเวทนามาให้เขา เสิ่นชิงชิวสุดจะทนมอง จึงเป็นสายตามาจับที่เอกสารเสีย หัวข้อที่จะหารือได้มีการแต้มชาดแดงเอาไว้แล้ว
แวบแรกที่อ่าน ก็พ่นชาที่เพิ่งจะจิบเข้าไปออกมาพรวดใหญ่
ข้อหนึ่ง ให้มีมาตรการอย่างเข้มงวดที่จะยับยั้งไม่ให้มีการเผยแพร่หนังสือ ‘แค้นซุนซาน’ ‘ลำน้ำปิงชิว’ และอื่นๆ ในทำนองเดียวกันนี้ออกไปไม่ว่าจะฉบับใด ในรูปแบบใดหรือช่องทางใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการเผยแพร่อย่างเปิดเผยหรือว่าลักลอบ โดยให้ผู้ที่มีอยู่ในครอบครองนำมาส่งมอบภายในหนึ่งเดือน มิฉะนั้นแล้ว หากตรวจพบว่าผู้ใดลักลอบมีไว้ในครอบตรองหรือว่าส่งต่อ จะถูกลงโทษอย่างเฉียบขาด หนังสือที่มีภาพประกอบจะเพิ่มโทษอีกหนึ่งเท่า
ข้อสอง ตามที่มีการร้องเรียนจากหลายฝ่าย ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องของไป๋จั้นเฟิงจะต้องเพิ่มมาตรการในการจัดการอย่างเข้มงวด ห้ามปรามไม่ให้ศิษย์ในสังกัดรวมกลุ่มกันไปโจมตียอดเขาอื่น
ข้อสาม ตามที่มีการร้องเรียนเข้ามาประปราย ขอให้ชิงจิ้งเฟิงระวังเรื่องเวลาในการฝึกซ้อมดนตรี โดยขอให้หลีกเลี่ยงช่วงเวลาพักผ่อนตอนกลางวันและยามค่ำคืน
ข้อสี่ เซียนซูเฟิงขอให้เพิ่มความสูงและความแข็งแรงของรั้ว และขออนุมัติในการปล่อยสายฟ้าผ่านรั้ว
ข้อห้า หลายปีมานี้ขู่สิงเฟิงคนน้อยลงไปเรื่อยๆ ขออนุมัติรับศิษย์เพิ่มและในการเปิดรับศิษย์ครั้งต่อไปขอโอกาสเลือกศิษย์ก่อน
ข้อหก เจ้ายอดเขาทุกท่านจะต้องอบรมสั่งสอนศิษย์อย่างเร่งด่วน ห้ามศิษย์ในสังกัดอ้างความเป็นศิษย์ชางฉยงซานต่อสู้กับศิษย์ของวังฮ่วนฮวาอย่างออกหน้า
ข้อเจ็ด ยามออกไปปฏิบัติภารกิจ หากเจอเข้ากับเผ่ามาร อย่าได้ปุ่มบ่ามลงมือทันที โปรดไต่ถามให้กระจ่างว่าอยู่ใต้สังกัดผู้ใด แล้วค่อย
พิจารณาอีกทีว่าควรจัดการอย่างไร
………
การพ่นน้ำชาออกมาต่อหน้าทุกคนเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง แต่เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเสียมารยาทเพราะว่าพออ่านข้อแรกจบ เจ้ายอดเขาแปดเก้าคนก็พ่นน้ำชาออกมาพร้อมกับเขาเลยทีเดียว ในสถานการณ์เช่นนี้เขาก็เลยไม่โดดเด่นสะดุดตาไปกว่าใคร
สถานการณ์ภายในห้องประชุมตกอยู่ในความกระอักกระอ่วน ไม่ว่าเสิ่นชิงชิวจะกระพือพัดแรงแค่ไหนก็ไล่บรรยากาศนั้นออกไปไม่สำเร็จ
นี่ ‘แค้นซุนซาน’ มันสั่งสมบุญวาสนามาแต่ชาติปางไหนวะนี่ ถึงกับได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับหนึ่งเลย แล้วยังมี ‘ลำนำปิงชิว’ บ้าอะไรนี่เพิ่มมาอีกด้วย นี่มันอะไรกัน
สิ้นสุดการประชุมเสิ่นชิงชิวมุ่งหน้าไปยังชิงจิ้งเฟิงด้วยความหงุดหงิดเต็นหัวใจ เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็พบว่าเจ้ายอดเขาไม่น้อยเดินตามเขามา
เสิ่นชิงชิวกล่าวอย่างเป็นกันเองว่า “ศิษย์น้องทุกคน ทางกลับยอดเขาของพวกเจ้าเหมือนจะไม่ใช่ทางนี้นะ”
ฉีชิงชีกล่าวว่า “ก็เพราะว่าไม่ได้จะกลับยอดเขาน่ะสิ”
เสิ่นชิงชิวรู้อยู่แล้วว่าต้องเจอเคราะห์กรรมนี้ แต่ยังพยายามดิ้นรน “นึกอย่างไรจู่ๆ อยากจะไปเป็นแขกที่ชิงจิ้งเฟิงล่ะ เรือนไผ่ของข้าซอมซ่อ เกรงว่าจะต้อนรับได้ไม่ทั่วถึง”
“อย่ามาแกล้งทำโง่หน่อยเลย รู้น่าว่าเรือนไผ่ของเจ้าซอมซ่อ ใครเขาอยากไปดูเจ้ากัน แน่นอนว่าต้องอยากไปดูศิษย์หัวแก้วหัวแหวนที่เจ้าซ่อนไว้ผู้นั้นน่ะซิ”
คนกลุ่มนี้กระดี๊กระด๊าเห็นลั่วปิงเหอเป็นของแปลกเอาไว้ให้มุงดูเสียแล้ว เสิ่นสิ่งชิวกล่าวอย่างจนใจว่า “เดี๋ยวเขาต้องโกรธแน่”
“ข้าไม่ได้จะว่าเจ้านะศิษย์พี่เสิ่น เขาเป็นศิษย์จะกล้าโมโหโทโสใส่ซือจุนเชียวรึ หรือท่านไม่ได้อบรมเขาให้ดีๆ”
“แบบนี้ใช้ไม่ได้นะ ไม่ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าจะเป็นยังไง ถึงคราวต้องอบรมสั่งสอนก็ต้องอบรมสั่งสอน”
“โกรธก็โกรธสิ กลัวอะไร ถึงอย่างไรตอนนี้พลังวัตรของลั่วปิงเหอก็เหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ ไม่ยั่วโมโหเขาตอนนี้แล้วจะให้รอถึงเมื่อไหร่ล่ะ”
เจ้ายอดเขาขู่สิงเฟิงใช้ชีวิตอย่างยากลำบากตลอดทั้งปี ย่อมมีไฟสุมอยู่ในใจ ยิ่งคราวนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้เพิ่มจำนวนศิษย์ตามที่ขอไว้ ก็ยิ่งหงุดหงิดหนักเข้าไปใหญ่ “พูดมากอยู่ได้ กลัวพวกเราจะไปกินชาเจ้าหมดหรือไร รีบเดินๆ”
เสิ่นชิงชิวรู้แต่แรกแล้วว่าคราวนี้ต้องหนีไม่รอด เขาถูกฉุดๆ ลากๆ ไปยังชิงจิ้งเฟิงพร้อมกับขีดดำเต็มหน้า
ทำไมพวกเจ้าถึงได้รู้ดีกันนัก รู้ดีกันเหลือเกิน ดูจะรู้ดีกว่าข้าเสียอีก!
แค่คนสองคนเขาก็ยังพอจะห้ามได้ แต่เจ้ายอดเขาหลายท่านแห่กันมาเรือนไผ่เป็นโขยงแบบนี้ ห้ามยังไงก็ห้ามไม่ไหว พอฉีชิงซีย่างเท้าเข้าประตูได้ ก็หลุดขำพรืดอย่างอดไม่อยู่
ลั่วปิงเหอกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง โดยมีผ้าห่มคลุมอย่างเรียบร้อยยังคงอยู่ในท่าเดิมเหมือนตอนที่เขาจะออกไป เสิ่นชิงชิวทำมือบอกเป็นนัยๆ ว่า เขาหลับอยู่ อย่าไปกวนเขา
หลิ่วชิงเกอมองเข้าไปข้างในแวบหนึ่งก็กล่าวออกมาอย่างอดใจไม่อยู่ “ทำไมเขาดูไม่เหมือนเมื่อวานแล้วล่ะ
ไม่เหมือนหรือ เสิ่นชิงชิวหันไปมอง พบว่าไม่เหมือนจริงๆ ลั่วปิงเหอเหมือนจะโตขึ้นอีกสองปี ตอนนี้เหมือนอายุประมาณเจ็ดแปดขวบ เว่ยชิงเวยกล่าวเสียงเบา “โตเร็วทันใจดีจริง! โตเร็วทันใจดีจริง!”
ฉีชิงชีก็มองอย่างพิจารณาครู่หนึ่ง กล่าวว่า “เขาโตเร็วแบบนี้อีกเดี๋ยวเสื้อผ้าคงสวมไม่ได้กระมัง”
เสิ่นชิงชิวไม่เคยคิดถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน พอขบคิดอย่างละเอียด เมื่อเช้าเสื้อผ้าของลั่วปิงเหอก็ดูจะไม่พอดีตัวอยู่จริงๆ แขนเสื้อเหมือนจะสั้นไปหน่อย เขารีบกล่าว “จริงด้วยสิ ข้าสะเพร่าเอง พรุ่งนี้ข้าจะพาเขาลงไปซื้อเสื้อผ้าใหม่สักสองสามชุด”
ฉีชิงชีกล่าวว่า “ซื้อทำไม ของดีมีอยู่ไม่รู้จักใช้ เดี๋ยวให้พี่ๆ น้องๆ ที่เซียนซูเฟิงช่วยกันตัดเย็บคนละไม้ละมือให้เขาสักสองสามชุดก็ใช้ได้แล้ว”
ได้ฟังดังนั้นเจ้ายอดเขาสองสามคนก็หัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ แค่นึกภาพต้วนซิ่ว*เผ่ามารผู้มีท่าทางคับแค้นฝังลึกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเทพธิดาตัวหอมๆ พูดจาเจื้อยแจ้วราวกับนกขมิ้น ก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้ายอดเขาที่วันๆ ว่างจัดไม่มีอะไรจะทำกลุ่มนี้หัวเราะออกมาได้แล้ว เห็นกลุ่มคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของชาวบ้านแถมยังมีหน้ามาหัวเราะ เสิ่นชิงชิวก็นึกสงสารลั่วปิงเหอสุดใจที่เกียรติภูมิต้องมาย่อยยับในคราวนี้รีบกล่าว “เอาแค่หอมปากหอมคอ เอาแค่หอมปากหอมคอ ไปๆ ไปนั่งในห้องโถงกัน อย่ามามุงดูเขาตรงนี้ เลิกหัวเราะได้แล้ว! ระวังจะไปทำเขาตกใจตื่นเข้า”
(ต้วนซิ่ว เป็นคำเรียกชายรักชายในภาษาจีนโบราณ)
“ก่อนหน้านี้ไม่ยอมให้ดู ตอนนี้ก็ยังไม่ให้ดูอีก ศิษย์พี่เสิ่นนี้ไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ไว้หน้าข้าบ้างสิ”
“ก็ได้ เช่นนั้นเย็นนี้ศิษย์พี่เสิ่นต้องไปดื่มที่ยอดเซาจุ้ยเซียนเฟิง(ยอดเขาเซียนเมามาย)ด้วย”
“ข้ายังต้องดูแลลั่วปิงเหอนะ…”
“เมื่อก่อนท่านอยู่ที่นี่ทั้งวันไม่ยอมไปไหน ต่อมาก็ถูกลากไปโน่นมานี่ หายากนักกว่าจะกลับมาสักครั้ง ไม่ต้องไปสนใจเด็กนั้นหรอกน่า ไปสังสรรค์กับพวกเราดีกว่า ถึงอย่างไรท่านก็ต้องมีเวลาให้ตัวเองบ้าง จะมัวยุ่งอยู่กับศิษย์ท่านทั้งวันไม่ได้กระมัง”
ไม่ง่ายเลยกว่าจะต้อนเพื่อนร่วมสำนักออกไปได้ พอกลับถึงเรือนไผ่เสิ่นชิงชิวก็หัวพองโตขึ้นมาอีกเท่าตัว
ลั่วปิงเหอตื่นแล้ว กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือตัวเก่าของเขา ขายังแตะไม่ถึงพื้นด้วยซ้ำ ที่พื้นมีเอกสารกองเป็นตั้งสูงกว่าตัวเขาเสียอีก ในมือถือพู่กันแต้มชาด ตรวจตรารายการไปพลางทำเครื่องหมายไปพลาง
เสิ่นชิงชิวมองดูอยู่พักหนึ่ง ก็เดินเข้าไปถาม “เจ้ากำลังทำอะไร”
ลั่วปิงเหอเงยหน้าขึ้นตอบว่า “ซือจุนไม่ได้กลับมาเสียนาน คัมภีร์โบราณไม่มีคนดูแลจัดเก็บ ศิษย์คิดจะเอาจัดลงรายการแบ่งแยกหมวดหมู่เสียใหม่ก่อนจะนำเข้าคลังขอรับ”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าพักผ่อนให้ดีๆ ก็พอ เรื่องพวกนี้ไม่ต้องไปสนใจหรอก”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “แต่ซือจุนไม่อยู่ อีกทั้งข้าเองก็ไม่มีอะไรอื่นทำ มิสู้ลุกขึ้นมาจัดการเรื่องพวกนี้ดีกว่า”
เสิ่นชิงชิวนั่งลงข้างเขาขบคิดก่อนจะถามว่า “เจ้าไม่มีความสุขที่กลับมาชิงจิ้งเฟิงหรือ”
ลั่วปิงเหอยิ้มน้อยๆ “ซือจุนถามอะไรเช่นนี้ ศิษย์จะไม่มีความสุขได้อย่างไรกัน”
เสิ่นชิงชิวค่อยๆ ลุกขึ้น ตั้งท่าจะเดินออกไป แต่แล้วเขาก็ขยับขาเดินต่อไม่ได้
ลั่วปิงเหอกระโจนลงจากโต๊ะเขียนหนังสือมากอดขาเขาไว้ กล่าวอย่างคับแค้นว่า “…ใช่แล้ว ศิษย์…ไม่มีความสุข!”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ต้องแบบนี้สิ ไม่มีความสุขก็พูดออกมา ภายหน้ามีเรื่องอะไร ก็ต้องไม่เก็บเอาไว้ในใจ หากเจ้าไม่ชอบชิงจิ้งเฟิงจริงๆ รอหลังจากร่างกายเจ้ากลับคืนสู่สภาพเดิม พวกเราค่อยออกไปก็แล้วกัน สภาพของเจ้าในเวลานี้มันไม่สะดวกเดินทางเท่าไหร่นัก หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาอย่างน้อยชางฉยงซานก็ปกป้องเจ้าได้”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ข้าชอบนะขอรับ! แต่ที่ข้าชอบก็แค่ชิงจิ้งเฟิงอย่างเดียว ไม่ใช่ชางฉยงซาน ข้าชอบชิงจิ้งเฟิงที่มีเพียงซือจุนกับข้า ไม่มีใครอื่นอีก”
ไม่ใช่เลย เสิ่นชิงชิวคิดในใจ ชิงจิ้งเฟิงแบบที่เจ้าชอบนั้น ในความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีอยู่เลยต่างหาก
ลั่วปิงเหอกล่าวอย่างอัดอั้น “ซือจุน พออยู่กับข้า ท่านเลยไม่มีเวลาเป็นของตัวเองใช่หรือไม่”
เสิ่นชิงชิวอดหัวเราะไม่ได้ “เมื่อครู่แกล้งหลับได้เก่งนักนะ หูก็ดีเสียด้วย พลังวัตรกลับคืนมากี่ส่วนแล้วเล่า”
ลั่วปิงเหอกล่าวว่า “ซือจุน ที่ข้าไม่เต็มใจกลับมา มิใช่เพราะไม่ชอบที่นี่ หากแต่เป็นเพราะ…เวลาอยู่ที่นี่ท่านจะถูกคนอื่นมาแย่งตัวไปอยู่เรื่อย”
เขากล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า “หากเป็นตัวข้าก่อนหน้านี้ ก็ยังมีความเชื่อมั่นว่าสามารถชิงท่านกลับมาได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการอะไรก็ตาม แต่ตัวข้าในตอนนี้ ไม่มีปัญญาจะแย่งกับใครได้เลยจริงๆ”
เสิ่นชิงชิวเขกศีรษะเขาทีหนึ่ง กล่าวว่า “จะต้องไปแย่งทำไม ไม่ต้องแย่งชิง เหวยซือก็ไปกับเจ้าเองอยู่แล้ว”
รูปร่างลักษณะของผู้ที่สนทนาด้วยมีความสำคัญมากจริงๆ หากเป็นลั่วปิงเหอวัยผู้ใหญ่ ต่อให้เอามีดจ่อคอ เสิ่นชิงชิวก็คงกล่าวคำพูดเปิดอกที่แสนจะเลี่ยนนี้ไม่ออกแน่ แต่พอเป็นลั่วปิงเหอฉบับมินิขนาดอุ้มไว้ในอ้อมอกได้ และยอมกอดขาเขาเพื่อออดอ้อนขอคำปลอบขวัญ เสิ่นชิงชิวก็ไม่มีความกดดันอะไรในใจทั้งสิ้น
ลั่วปิงเหอเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก
บุปผางดงามพระจันทร์กลมเกลี้ยงทัศนียภาพที่เจริญตา กลิ่นดอกไม้หอมลอยมาตามลม บรรยากาศช่างเป็นใจสุดๆ แล้วใครเล่าจะอดใจไหว
ดวงตารื้นน้ำของลั่วปิงเหอเริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ทนต่อไป
ไม่ไหว ผลักเสิ่นชิงชิวล้มลงไปบนเตียงไผ่ แล้วก็โผกายตามลงมา
เขานั่งคร่อมอยู่บนหน้าอกของเสิ่นชิงชิว ตาใหญ่ตาเล็กจ้องตากัน
เสิ่นชิงชิว “อะแฮ่ม…เจ้า…จะต่อก็ได้นะ”
แต่ถึงแม้จะเดินหน้าต่อ เขาก็ทำเรื่องที่อยากทำไม่ได้อยู่ดี…
สีหน้าแววตาของเสิ่นชิงชิวเปี่ยมไปด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างปิดไม่มิด
ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดลำคอที่ยังอ่อนเยาว์ของลั่วปิงเหอก็กู่ร้องลั่นออกมาอย่างสุดจะทานทนด้วยความเกลียดชังโลกใบนี้