ตอนที่ 33
เยวี่ยชิงหยวนยังคงสงบนิ่งไม่หวั่นไหว “เช่นนั้นความคิดเห็นของกงจู่คือ…”
“ตามความเห็นของข้า ให้จัดหาที่ทางให้เสิ่นเซียนซืออยู่ที่วังฮ่วนฮวาเป็นการชั่วคราวก่อน รอจนสืบสาวเป็นที่กระจ่าง ค่อยตัดสินใจอีกทีเป็นอย่างไร”
ผู้ใดก็รู้ คำว่า ‘จัดหาที่ทาง’ นี้มันหมายความว่าอย่างไร
ใต้ดินของวังฮ่วนฮวามีคุกน้ำอยู่แห่งหนึ่ง แผนผังสลับซับซ้อน ผนวกกับค่ายกลของวังฮ่วนฮวา ค่ายกลที่วิเศษเยี่ยมยอดนี้ไม่เหมือนกับค่ายกลป้องกันสำนักที่ใช้ป้องกันคนธรรมดาทั่วไป ภายในคุกน้ำมีการป้องกันอย่างเข้มงวด อุปกรณ์ลงทัณฑ์ทรมานครบครัน ถือเป็นความชำนาญอย่างเอกอุของวังฮ่วนฮวา ผู้ที่ถูกคุมขังล้วนเป็นผู้ที่ก่อความผิดมหันต์ในโลกของผู้ฝึกวิถีพรตวิชาเซียน สองมือเปื้อนเลือด หรือไม่ก็เป็นซิวซื่อที่ไปละเมิดกฏต้องห้ามเข้า
สรุปแล้ว คุกน้ำของวังฮ่วนฮวาคือคุกสาธารณะในโลกของผู้ฝึกวิถีพรตวิชาเซียนนั่นเอง
นอกจากนี้หากมีซิวซื่อที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าก่อคดีทำร้ายผู้คน ต้องเอาตัวมาคุมขังเป็นการชั่วคราวเพื่อรอการไต่สวน ก็จะถูกส่งตัวมานี่นี่เช่นกัน รอจน 4 สำนักใหญ่ร่วมกันตัดสินเสร็จจะได้มีการลงโทษเป็นลำดับต่อไป
หลิ่วชิงเกอยิ้มเย็น “พูดพอหรือยัง”
เขาอดทนฟังคำพูดเหลวไหลไร้สาระพวกนี้อยู่นาน ในใจคุกรุ่นมาสักพักแล้ว มือเอื้อมไปกุมด้ามกระบี่เฉิงหลวนที่อยู่ด้านหลัง ตั้งท่าเตรียมต่อสู้
ศิษย์วังฮ่วนฮวาที่อยู่ตรงข้ามก็ทยอยชักกระบี่ออกมา จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
เยวี่ยชิงหยวนกล่าว “ศิษย์น้อยหลิ่วถอยไป”
หลิ่วชิงเกอต่อให้ไม่เต็มใจ เขาไม่เคยยอมฟังผู้ใด แต่ถึงอย่างไรยังยอมรับนับถือเยวี่ยชิงหยวน จึงจำใจละมือออกจากด้ามกระบี่
พอเห็นเขาถอยกลับไป เยวี่ยชิงหยวนก็พยักหน้า “ข้อกล่าวหาลักษณะนี้ ใช่ว่าสักแต่พูดแล้วก็จะเอามานับได้”
กระบี่ยาวที่ห้อยอยู่ข้างเอวเขาเป็นสีดำมะเมื่อมตลอดเล่ม พลันดีดตัวขึ้นจากฝักมาหนึ่งชุ่น แผ่รัศมีขาวพร่างราวหิมะเจิดจ้าบาดตา
ชั่วพริบตานั้นราวกับมีตาข่ายยักษ์ไร้รูปทิ้งตัวลงมาปกคลุมทั่วทั้งลานกว้าง พลังทิพย์ที่อยู่ภายในลานกว้างแห่งนั้นปั่นป่วนดั่งคลื่นในมหาสมุทรที่โหมซัดไม่หยุด
เสียงหวีดร้องของกระบี่ประหนึ่งดังหึ่งอยู่ข้างหู ศิษย์ที่อายุน้อยพากันเอามืออุดหูโดยไม่รู้ตัว ใจเต้นรัวเป็นการใหญ่
กระบี่เสวียนซู่!
บรรดาผู้คนของทุกสำนักในที่นั้นล้มระเนระนาดไปตามๆกัน
เยวี่ยชิงหยวนสั่งให้หลิ่วชิงเกอถอยไป ที่แท้ต้องการจะเปิดศึกเองอย่างนั้นหรือ พลิกความคาดหมายจริงๆ
ว่ากันว่านับแต่เยวี่ยชิงหยวนเจ้ายอดเขาฉยงติ่งเฟิงแห่งชางฉยงซานรับตำแหน่งมา เคยชักกระบี่เล่มนี้ออกจากฝักเพียง 2 ครั้งเท่านั้น ครั้งแรกคือพิธีรับตำแหน่ง ครั้งที่ 2 คือเข้าต่อสู้กับผู้สืบสายเลือดของมารฟ้าซึ่งก็คือบิดาของลั่วปิงเหอ
แค่กระบี่เสวียนซู่ออกจากฝักเพียงหนึ่งชุ่น ทุกคนในที่นั้นพลันแจ่มแจ้งขึ้นมา
สามารถครองตำแหน่งสูงสุดของฉยงติ่งเฟิง แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่แค่อ่อนโยนสุขุมก็เพียงพอ
กงจู่ฒ่าออกคำสั่ง “ตั้งค่ายกล”
นี่ใช่เวลาจะมาสู้กันหรือ เผ่ามารยังไม่ทันโจมตีเข้ามา มนุษย์กลับสู้กันเองก่อนแล้ว
เสิ่นชิงชิวเห็นสถานการณ์ไม่ถูกต้อง รีบปลดกระบี่ลง ขว้างไปข้างหน้า กระบี่ซิวหย่าปักฉึกลงตรงหน้ากงจู่เฒ่า
ทิ้งกระบี่เท่ากับยอมจำนน ยอมทำตามกฎ กงจู่เฒ่ารีบเก็บกระบี่มายึดไว้ทันที แล้วโบกมือให้คนในสำนักกลับคืนที่
เยวี่ยชิงหยวนกล่าวเสียงต่ำ “ศิษย์น้อง”
เสิ่นชิงชิวกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ผู้บริสุทธิ์ย่อมบริสุทธิ์วันยังค่ำ ชิงชิวเต็มใจถูกจองจำ”
กงจู่เฒ่าวังฮ่วนฮวากัดไม่ปล่อยราวกับพวกตาแก่เลอะเลือน ยิ่งเจอดับเบิ้ลแอทแทคของคนเพาะเมล็ดพันธุ์และชิวไห่ถัง ถูกขังก็เป็นเรื่องที่แน่นอนเหมือนตอกตะปูลงกระดาน ถึงอย่างไรในนิยายดั้งเดิม ตอนแรกก็เขียนออกมาแบบนี้เหมือนกัน เดิมทีเข้าใจว่าเลี่ยงได้แล้ว นึกไม่ถึงว่ายังวงกลับมาที่พล็อตเก่าอยู่ดี แล้วทำไมจะต้องทำให้ 2 สำนักอย่างชางฉยงซานและวังฮ่วนฮวาต้องแตกหักผิดใจกันด้วยล่ะ
เสิ่นชิงชิวยืนกราน “พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้เท่านั้น”
พูดจบ เขาก็ไม่มองว่าเยวี่ยชิงหยวนมีสีหน้าอย่างไร เพียงกวาดตามองลั่วปิงเหอแวบหนึ่ง
ใบหน้าของฝ่ายนั้นมิได้ไม่แสดงอาการดีใจหรือโกรธขึ้ง ยังคงยืนปักหลักอยู่ที่เดิม ทำให้เกิดเป็นภาพที่ตัดท่าทางต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจนกับบรรดาซิวซื่อรอบด้านที่เอามือปิดหูทำหน้ามึนอยู่ในขณะนี้
ครู่ต่อมาเยวี่ยชิงหยวนเก็บกระบี่ในที่สุด ตาข่ายยักษ์ไร้รูปที่กางอยู่กลางอากาศราวกับถูกเก็บกลับไปด้วย
เสิ่นชิงชิวหันไปน้อมคารวะเยวี่ยชิงหยวนอย่างลึกซึ้ง พูดขึ้นมาแล้วเขาก็เรียกได้ว่าสร้างความลำบากให้ศิษย์พี่เจ้าสำนักผู้นี้ไม่น้อยเลยจริงๆ ช่างน่าละอายนัก
ชิวไห่ถังยังคงสะอื้นไม่หยุด ตอนฉินหว่านเยวียเดินผ่านก็กล่าวปลอบ “แม่นางชิวไม่ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไร 3 สำนักจะต้องมีคำอธิบายให้ท่านแน่” พูดว่า 3 สำนัก ละชางฉยงซานไปดื้อๆ แสดงจุดยืนให้เห็นกันจะจะ
ชิงไห่ถังสีหน้าพลุ่งพล่าน แววตาสั่นระริก สองตามีน้ำคลอคลอง เงินหน้าขึ้นกล่าวขอบใจ มองลั่วปิงเหอที่อยู่ด้านหนึ่งเนิ่นนาน สองแก้มเป็นสีระเรื่อทันที
เสิ่นชิงชิวแอบกลอกตามองบน จะว่าไปเขาก็ถูก NTR* ซึ่งๆหน้าเลยนะนี่ ทำไมเขาไม่รู้สึกเดือดร้อนสักนิดเลยล่ะ
(NTR เป็นศัพท์สแลงที่เอามาจากภาษาญี่ปุ่น คำว่า Netoru หมายถึง แย่งคนรัก/สามี/ภรรยา)
ศิษย์วังฮ่วนฮวาสองสามคนนำโดยกงอี๋เซียวเดินเข้ามา ในมือถือสิ่งของบางอย่างที่ดูคุ้นตาอย่างมาก
หวัดดี เชือกมัดเซียน แล้วเจอกันนะเชือกมัดเซียน [โบกมือบ๊ายบาย]
กงอี๋เซียวกล่าวด้วยน้ำเสียงเชิงขอโทษขอโพย “ผู้อาวุโสเสิ่น ล่วงเกินแล้ว ผู้เยาว์ย่อมต้องปฏิบัติต่อท่านเป็นอย่างดี ก่อนที่ความจริงทุกอย่างจะปรากฏ ย่อมต้องดูแลผู้อาวุโสเสิ่นเป็นอย่างดีขอรับ”
เสิ่นชิงชิวพยักหน้า กล่าวเพียง 3 พยางค์ “รบกวนแล้ว”
แค่การดูแลฉันเป็นอย่างดีของนายจะมีประโยชน์อะไร ดูสีหน้าแววตาของบรรดาศิษย์วังฮ่วนฮวาในที่นี้แล้ว แต่ละคนดูแค้นจนแทบจะจับเขากินทั้งเป็นกันทั้งนั้น อย่างไรเสียผู้ที่ประสบความสูญเสียหนักที่สุดตอนงานชุมนุมเซียนก็คือวังฮ่วนฮวา ยังไงก็ต้องลำบากแน่
ถูกเชือกมัดเซียนมัดขามัดแขนไพล่หลัง เสิ่นชิงชิวรู้สึกร่างกายหนักขึ้นไม่น้อย ก่อนหน้านี้เวลาที่พิษไร้ยาถอนกำเริบเป็นพักๆ จะรู้สึกแค่ว่ากระแสปราณติดขัด ก็เหมือนเวลาที่รีโมททีวีขัดข้องนั่นแหละ ตบๆทุบๆแรงหน่อยก็กลับมาใช้ต่อได้ แต่เวลาโดนเชือกมัดเซียนรัด จะส่งผลให้พลังทิพย์ถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง ถูกลดเกรดกลายเป็นแค่กายเนื้อกากๆเท่านั้นเอง
กงจู่เฒ่ากล่าว “การพิจารณาคดีต่อหน้ามวลชน จะมีขึ้นในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง ทุกท่านคิดเห็นเป็นอย่างไร”
หลิ่วชิงเกอกล่าว “5 วัน”
ยิ่งถูกขังอยู่ในคุกน้ำนานก็จะยิ่งทุกข์ทรมานมาก หลิ่วชิงเกอบอกว่า 5 วัน เท่ากับต้องย่นระยะเวลาในการเตรียมการลงมาจนสั้นที่สุด กงจู่เฒ่าย่อมไม่ยินยอมอยู่แล้ว “รีบร้อนเช่นนี้ เกรงว่าจะผิดพลาดตกหล่นไป”
วัดเจาหัวเชี่ยวชาญเรื่องไกล่เกลี่ยเป็นพิเศษ พระรูปหนึ่งกล่าวเสนอ “เช่นนั้น 10 วันเป็นอย่างไร”
เยวี่ยชิงหยวนยื่นคำขาดว่า “7 วัน ไม่อาจถ่วงนานไปกว่านี้”
กลุ่มชนชั้นผู้นำต่อรองกันอยู่ตรงนั้น มองเผินๆ ดูราวกับอยู่ในตลาดสุด
เสิ่นชิงชิวมีแผนการของตัวเอง รีบกล่าว “ไม่ต้องพูดมาก เอาตามที่กงจู่เฒ่าว่าเถอะ 1 เดือน”
ถ่วงเวลานานขึ้นอีกนิด หญ้าน้ำค้างจะได้โตทันเอามาใช้งาน เขามองซั่งชิงหัวที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งด้วยหางตาแล้วยักคิ้ว
ซั่งชิงหัวก็เป็นอันรู้กัน สองมือห้องแนบอยู่ข้างลำตัว ลอบทำท่า ‘ไม่มีปัญหา เดี๋ยวจัดการให้’
ขอแค่เขายืนหยัดอยู่ในวังฮ่วนฮวาที่ลั่วปิงเหอใหญ่คับฟ้าให้ได้ถึง 1 เดือนก็แล้วกัน
บทที่ 7
คุกน้ำ
“ผู้อาวุโสเสิ่น โปรดใส่นี่”
เสิ่นชิงชิวก้มหน้า สายคาดสีดำเส้นหนึ่งก็คาดปิดตาเขา
ช่างทำในสิ่งที่เกินความจำเป็นเสียจริง ด้วยความลึกลับซับซ้อนของค่ายกลวังฮ่วนฮวา ต่อให้เสิ่นชิงชิวถือกล้องวิดีโอเดินถ่ายไปทั่วสักเที่ยวหนึ่ง ก็ไม่แน่ว่าจะจำได้หรอกว่าเข้าอย่างไรออกอย่างไร
บรรยากาศในคุกน้ำอับชื้น พื้นค่อนข้างลื่น ตาถูกปิดทั้งสองข้าง ได้แต่ปล่อยให้พวกศิษย์ที่คุมตัวเขามาพาเข้าไปเท่านั้น
เสิ่นชิงชิวเรียก “กงอี๋เซียว”
กงอี๋เซียงที่ตามติดอยู่ข้างหลังมาตลอด รีบตอบ “ขอรับ ผู้อาวุโส”
เสิ่นชิงชิวถามว่า “ระหว่างที่รอ 4 สำนักไต่สวน ข้าสามารถติดต่อกับคนข้างนอกได้หรือไม่”
กงอี๋เซียวตอบว่า “ต้องมีป้ายผ่านทางของวังฮ่วนฮวา จึงจะสามารถเข้ามาในคุกน้ำได้ขอรับ”
แบบนี้หากซั่งชิงหัวจะเข้ามาเยี่ยมเพื่อหารือเรื่องการใช้หญ้าน้ำค้างคงต้องลำบากนิดหน่อยแล้ว เสิ่นชิงชิวขบคิด ถามว่า “แล้วตกลงจะจัดการกับคนเพาะเมล็ดพันธุ์อย่างไร”
กงอี๋เซียวเป็นประเภทมีคำถามต้องรีบตอบ “หลังจากเผาแล้ว ต้าซือวัดเจาหัวทุกท่านจะนำกลับไปทำพิธีสวดส่งวิญญาณขอรับ”
มีเสียงกล่าวอย่างไม่พอใจดังจากข้างๆ “ศิษย์พี่ ท่านจะพูดกับเขาให้มากมายปานนี้ทำไม เข้าคุกน้ำแล้ว ยังจะคิดออกไปอีกหรือ”
เสียงคุ้นๆ ดูเหมือนจะเป็นศิษย์หน้าสิวที่มีความแค้นกับเขาคนนั้นนั่นเอง
กงอี๋เซียวตวาด “อย่าได้เสียมารยาท”
เสิ่นชิงชิวกล่าวยิ้มๆ “ยามนี้ผู้แซ่เสิ่นมีสถานะเป็นนักโทษ ไม่จำเป็นต้องตำหนิเขาหรอก ทำตามสบายเถอะ”
ขณะที่กล่าวก็มาถึงสถานที่สำหรับคุมขังเขาชั่วคราวพอดี พอเอาผ้าปิดตาสีดำออก สายตาก็ค่อยแจ่มชัดขึ้น จึงได้เห็นว่าพวกเขายืนอยู่หน้าถ้ำศิลาใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่ง
เบื้องล่างเป็นทะเลสาบผิวน้ำดำมะเมื่อม รอบด้านปักคบไฟสีเหลืองส่องแสงสลัวๆ กระจายอยู่ตามผนังอย่างไม่เป็นระเบียบ แสงไฟจับสะท้อนผิวน้ำเป็นประกายพร่างพรายด้วยริ้วคลื่น ใจกลางทะเลสาบมีแท่นหินสีขาวสร้างด้วยฝีมือมนุษย์ตั้งเด่นอยู่ หินสีขาวใสวาววับจนเกือบดูเหมือนหยก เห็นได้ชัดว่าทำมาจากวัสดุที่ไม่ธรรมดา
กงอี๋เซียงล้วงเอากุญแจพวกหนึ่งออกมา จากนั้นคลำไปที่ผนังหินแห่งหนึ่ง แล้วสาละวนอยู่กับการไขกุญแจอยู่เป็นครู่ใหญ่ ในที่สุดก้นทะเลสาบก็มีเสียงกลไกขับเคลื่อนดังขึ้น ทางเดินหินสายหนึ่งยกตัวขึ้นมา ทอดตรงสู่แท่นหินกลางทะเลสาบ
กงอี๋เซียวเอ่ย “ผู้อาวุโส เชิญขอรับ”
ศิษย์หน้าสิบหยิบก้อนหินธรรมดาขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ดูไว้เสีย”
เขาหย่อนหินก้อนนั้นลงในทะเลสาบ ก้อนหินกลับลอยอยู่บนผิวน้ำไม่จมลงไป หลังจากนั้นไม่นานเกิดเสียงดังฉี่ๆ เหมือนกับเสียงทอดเนื้อในกระทะเหล็ก ผิวก้อนหินเดือดเป็นฟอง จากนั้นก็ถูกกัดกร่อนสลายตัวไปอย่างไม่เหลือร่องรอยในเวลาอันรวดเร็ว
ศิษย์หน้าสิวกล่าวอย่างสะใจ “คุกน้ำแห่งนี้ใช้งานไม่บ่อย ใครคิดหนีออกไปจากที่นี่หรือชิงตัวผู้ที่อยู่ข้างในออกมาก็ฝันไปก่อนเถอะ”
เสิ่นชิงชิวถูกน้ำกรดพิฆาตทำช็อคไปแล้ว
หากเกลือกกลิ้งอยู่ในน้ำ สงสัยว่าแม้แต่กระดูกก็ย่อยสลายไม่เหลือ
วังฮ่วนฮวาไม่ใช่สำนักฝ่ายธรรมะรึไง ไปเอาน้ำกรดที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าอำมหิตและผิดกฎหมายมาจากไหนมากมายอย่างนี้ล่ะ
ตอนที่เสิ่นชิงชิวเดินไปตามทางเดินหิน เขาพยายามระมัดระวังตัวเป็นอย่างดีไปตลอดทาง เกิดพลาดท่าลื่นล้มขึ้นมาล่ะก็ไม่สนุกแน่ พอมาถึงแท่นหินใจกลางทะเลสาบ กงอี๋เซียวก็ไขกุญแจอีกรอบ ทางสายน้อยที่ทอดสู่ใจกลางทะเลสาบพลันจมหายลงไป
เสิ่นชิงชิวนั่งลงกับพื้นตรงแท่นหิน มองดูรอบตัว แอบคำนวณอยู่ในใจว่าการท่องกระบี่จะสามารถทำให้ทะเลสาบน้ำกรดหมดความหมายหรือไม่ เพิ่งจะคิดเช่นนี้ก็เห็นกงอี๋เซียงดึงกลไกด้านข้างของรูกุญแจทีหนึ่ง
และแล้วเหนือศีรษะก็มีเสียงน้ำไหลพลั่งๆ เสิ่นชิงชิวเงยหน้าขึ้นพอดี เห็นน้ำสีเข้มไหลลงมาเป็นสายจาก 4 ทิศ 8 ทาง ก่อเกิดเป็นม่านน้ำที่รัดกุมไร้ช่องโหว่โอบล้อมแท่นหินที่เขาอยู่เป็นรัศมีหกจั้ง
ข้าน้อยผิดไปแล้ว! อย่าว่าแต่คนเลย แบบนี้ต่อให้เป็นแมลงวันก็บินออกไปไม่ได้
ชื่อเสียงของคุกน้ำวังฮ่วนฮวาไม่ใช่เรื่องโคมลอย ไม่แปลกเลยที่ทุกสำนักจะพร้อมใจกันเลือกที่นี่เป็นคุกสาธารณะอย่างเป็นเอกฉันท์
……………………………………..
เสิ่นชิงชิวรู้ว่าเดี๋ยวจะต้องมีคนมาหาเรื่อง แต่ไม่นึกว่าจะเร็วขนาดนี้
เขาถูกน้ำเย็นเฉียบกะละมังหนึ่งราดศีรษะ
เสิ่นชิงชิวหนาวจนสั่นไปทั้งตัว ตอนแรกยังเข้าใจว่านอนหลับแล้วดิ้นตกลงไปในน้ำ เขาสะบัดศีรษะพยายามกะพริบตา ความรู้สึกที่น้ำเย็นเฉียบไหลเข้าตาช่างเลวร้ายเอามากๆ แต่ก็แน่ใจว่าเป็นแค่น้ำธรรมดา บนร่างมีเชือกมัดเซียน 118 เส้นมัดไว้ถี่ยิบสะกดปราณชีพจรทิพย์เข้าไว้อย่างแน่นหนา ถึงขนาดว่ากระทั่งเลือดลมยังเดินไม่สะดวก ความสามารถในการต้านทานความหนาวเย็นลดลงฮวบฮาบ ตัวจึงสั่นอย่างอดไม่อยู่
ม่านน้ำโดยรอบหยุดไหลแล้ว ทางเดินที่เชื่อมแท่นหินกับโลกภายนอกก็ยกตัวขึ้นมาเช่นกัน
สายตาค่อยๆแจ่มชัด พอเหลือบขึ้นมอง ที่เห็นเห็นอย่างแรกคือรองเท้าปักลวดลายอ่อนช้อยคู่หนึ่ง ครั้นมองเลยขึ้นไปอีกก็เป็นชายกระโปรงสีชมพู
สาวน้อยในชุดสีชมพู สวมเครื่องประดับทั้งตัว คิ้วเรียวยาว ดวงตากลมโตรูปเมล็ดอัลมอนด์ กำลังถือแส้ทองคำเส้นหนึ่ง จ้องมองเขาอยู่
เสิ่นชิงชิวแอบกลอกตามองบนในใจ
ลั่วปิงเหอคนเดียวก็ทรมานทรกรรมผู้คนพอแล้ว แต่บรรดาเมียๆของฝ่ายนั้นคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนเข็ดขยาดอย่างแท้จริง ทยอยออกโรงกันมาแบบขี่ม้าชมดอกไม้ทีละคน แข่งกันมาสร้างปัญหาให้เขา ไม่ต้องมากันนักก็ได้ เขาไม่ใช่ไอ้ตัวออริจินอลนั่นซะหน่อย ไม่เคยมีความคิดบัดซบกับสาวงามเลยนะจะบอกให้
สาวน้อยเอาแส้ชี้หน้าเขา “ฟื้นแล้วก็ไม่ต้องทำเป็นแกล้งตาย เปิ่นกงจู่* มีเรื่องจะถามเจ้า”
(เปิ่นกงจู่ คือ คำเรียนตนเองที่มีฐานะเป็นกงจู่(เจ้าของวัง) อย่างภูมิใจในศักดิ์ฐานะของตน โดยการเติมคำว่า เปิ่น มีความหมายว่า ตัวข้าผู้เป็นเจ้าของวังผู้นี้)
ดูจากฐานะและพลังความสามารถของแม่คุณ ต่อให้เวลานี้เสิ่นชิงชิวตกที่นั่งลำบากอย่างไรก็ไม่ถึงตานางมาช่วยสั่งสอนหรอกมั้ง
เสิ่นชิงชิวกล่าว “นี่ดูจะไม่ใช่เรื่องที่กงจู่น้อยพึงกระทำเลยนะ”
นี่ก็คือแก้วตาดวงใจของกงจู่เฒ่า หัวโจกตัวแสบในฮาเร็มของลั่วปิงเหอ นางกล่าวอย่างหยาบคายไร้มารยาท “พูดเหลวไหลให้น้อยหน่อย ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร ก็น่าจะรู้ว่าข้ามาทำไมด้วยกระมัง”
ขอบตานางแดงก่ำ กัดฟันกรอด “เจ้าคนถ่อยต่ำช้าที่สมคบคิดกับภพมาร ขายได้กระทั่งเพื่อนร่วมสำนัก นับว่าฟ้ามีตานัก วันนี้เจ้าตกมาอยู่ในมือเปิ่นกงจู่ ข้าจะให้เจ้าเห็นดีแน่”
เสิ่นชิงชิวกล่าว “ดูเหมือนข้าจะยังไม่ได้ยอมรับเลยนะว่าสมคบคิดกับภพมาร”
กงจู่น้อยกระทืบเท้า “เจ้าเข้าใจว่าไม่ยอมรับ ข้าก็จะจัดการเจ้าไม่ได้หรือ เป็นผู้อาวุโสมีชื่อเสียงเสียเปล่า กลับโหดเหี้ยมต่อลั่วเกอเกอ* ถึงขนาดนั้น ชั่วช้าปานนี้ เรื่องอย่างสมคบกับเผ่ามาร ย่อมทำได้แน่”
(哥哥เกอเกอ หมายถึง พี่ชาย เป็นการเรียกอย่างสนิทสนม)
อานุภาพของกรรมพันธุ์ช่างทรงพลังจริงๆ ลอจิกนี้สมแล้วที่เป็นพ่อเป็นลูกกับกงจู่เฒ่า
เสิ่นชิงชิวอับจนคำพูดไปชั่วขณะ “เขาพูดจริงๆหรือว่าข้าเหี้ยมโหดชั่วช้ากับเขา”