Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1203

ตอนที่ 1203

สหายเก่า

หลังจากที่ออกมาจากกู่เซียนหลิง เมิ่งฮ่าวก็บินผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ครุ่นคิดไปถึงวันเก่าๆ ในสำนักเอกะเทวะ หลังจากผ่านไปชั่วขณะเขาก็หมุนตัวและมุ่งหน้าตรงไปยังดาวอีกดวงและประตูเคลื่อนย้ายทางไกลอีกแห่ง

ครั้งนี้จุดหมายปลายทางของเขาคือ สำนักกระบี่ไท่สิง!

เขาไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อทวงหนี้ แต่ไปหาสหายเก่า ศิษย์พี่เฉินฝานที่เข้าสังกัดสำนักกระบี่ไท่สิงเมื่อหลายปีก่อน!

เมิ่งฮ่าวไม่คุ้นเคยกับสำนักกระบี่ไท่สิง ถึงแม้ว่าเขาไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน แต่เมื่อเข้าสังกัดเป็นศิษย์ของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่ โดยหลักการแล้วสำนักกระบี่ไท่สิงก็คือสำนักของเขาด้วยเช่นกัน

ในทันทีที่เมิ่งฮ่าวไปถึง เสียงเคาะระฆังก็ดังก้องกังวานออกไปทั่วทั้งสำนัก ปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าออกมาพบเขา เมิ่งฮ่าวทำความเคารพต่อเจ้าสำนักและเหล่าปรมาจารย์ พร้อมทั้งอธิบายถึงจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้

ในที่สุดเขาก็ได้พบกับเฉินฝาน มันดูแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ ครั้งล่าสุดมันดูเหมือนกับเป็นบุรุษวัยกลางคน แต่ตอนนี้กลับดูแก่ชราลงไป มีเส้นผมสีเทาและสีหน้าที่สงบนิ่ง พื้นฐานฝึกตนของมันอยู่ในอาณาจักรเซียนแล้วเช่นกัน

ถึงแม้ว่ามันจะไม่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ศิษย์ทั้งหลายของสำนักกระบี่ไท่สิง แต่กลุ่มคนรุ่นอาวุโสต่างก็รู้สึกว่ามันมีศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด!

เฉินฝานนั่งขัดสมาธิ ไม่ว่าจะไปยังที่แห่งใด มันก็จะนำเอาศิลาก้อนใหญ่ไปด้วย ภายในนั้นสามารถมองเห็นเป็นภาพอันเลือนลางของหญิงสาวผู้หนึ่ง

หนึ่งในปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าของสำนักกระบี่ไท่สิง ยืนอยู่ข้างกายเมิ่งฮ่าวอธิบายว่า “มันรวบรวมความรักของมันเปลี่ยนให้กลายเป็นกระบี่ เป็นกระบี่ที่สามารถจะแทงทะลุขึ้นไปจนถึงสวรรค์!”

“กระบี่ของศิษย์พี่เจ้าไม่ได้ไร้น้ำใจ และไม่ได้ตัดรัก ความทรงจำเมื่อในอดีตเต็มอยู่ในจิตใจ จนถึงจุดที่กลายมาเป็นกระบี่ของมัน ความรักของมัน…ช่วยให้มันฝึกฝนเต๋าแห่งกระบี่จิตใจได้สำเร็จ!”

“พรสวรรค์ของมันเหมาะสำหรับเต๋าเช่นนั้น ถ้ามันสามารถก้าวเข้าไปในอาณาจักรโบราณได้ภายในไม่กี่ร้อยปีข้างหน้านี้ มันก็จะกลายเป็นผู้ถูกเลือกอีกคนของสำนักกระบี่ไท่สิงอย่างแน่นอน!” แววตาของปรมาจารย์อาณาจักรเต๋าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อมองไปยังเฉินฝานจนยากที่จะปกปิดไว้ได้

เฉินฝานลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ ตอนแรกก็มองไปยังกระบี่ที่วางอยู่บนหน้าตักของตนเอง จากนั้นก็มองขึ้นมายังเมิ่งฮ่าว ใบหน้าปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้น

เป็นรอยยิ้มเช่นเดียวกันกับที่เมิ่งฮ่าวจดจำได้จากสำนักเอกะเทวะ และสำนักอีเจี้ยน เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่น ห่วงใยกังวล ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะดูแก่ชราลงไปมากก็ตามที

“ศิษย์น้อง” ในทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมาจากปากของเฉินฝาน จิตใจเมิ่งฮ่าวก็เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ขณะที่นึกย้อนกลับไปยังเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาเมื่อในอดีต

“ศิษย์พี่…” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงแผ่วเบา ขณะที่เดินตรงไปยังเฉินฝาน ปรมาจารย์อาณาจักรเต๋ายิ้มน้อยๆ ออกมา จากนั้นก็หมุนตัวและจากไป ปล่อยให้เมิ่งฮ่าวอยู่ในความดูแลของเฉินฝาน

เมิ่งฮ่าวประสานมือและโค้งตัวลงเพื่อคารวะต่อก้อนศิลาก่อน เขารู้ว่าหญิงสาวที่อยู่ในก้อนศิลานี้คือคนรักที่แท้จริงของศิษย์พี่ และนางก็จะอยู่กับเฉินฝานไปชั่วชีวิตในที่สุด

ในชีวิตข้า จะรักแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ข้าจะรักท่าน หลังจากที่ท่านตายไป ความรักนั้นจะกลายเป็นความทรงจำ…

ราวกับว่าท่านมีชีวิตอยู่ร่วมกับข้าไปชั่วชีวิต ราวกับว่าถึงท่านจะตายไป แต่ยังคงอยู่ในความทรงจำของข้าตลอดไป

นี่ก็คือเฉินฝาน

ความซื่อตรงและหมกมุ่นของมัน ทำให้สำนักอีเจี้ยนนำมันออกมาจากสำนักเอกะเทวะเป็นคนแรก ในตอนนั้นมันตัดสินใจโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ถ้าสำนักถูกทำลายไป มันเลือกที่จะ…ตายตามไป

ความซื่อตรงและหมกมุ่นของมัน นั่นก็คือ…เฉินฝาน!

สีหน้าเฉินฝานยังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่มองดูเมิ่งฮ่าวคารวะต่อก้อนศิลาอย่างเป็นทางการ เมื่อเมิ่งฮ่าวเป็นศิษย์น้องของมัน เขาก็เป็นศิษย์น้องของภรรยามันด้วยเช่นกัน

หลายปีก่อน มันรู้สึกกังวลใจต่อศิษย์น้องผู้นี้อยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อได้เห็นความก้าวหน้าของเขาในตอนนั้น ก็ทำให้มันรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง มันมักจะหวังว่าเมิ่งฮ่าวจะก้าวหน้าได้ต่อไป และสักวันหนึ่งเขาก็จะบรรลุถึงจุดสูงสุดที่แท้จริง

“บนเส้นทางแห่งการฝึกตน ไม่สำคัญว่าเจ้าจะพูดถึงจิตใจหรือเต๋าของตนเองหรือไม่ สิ่งสำคัญมากที่สุดคือความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว” เฉินฝานกล่าวเสียงแผ่วเบา

เมิ่งฮ่าวพยักหน้า จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิอยู่ที่เบื้องหน้าเฉินฝาน รู้สึกคล้ายกับว่าได้กลับไปในปีนั้นที่คนทั้งสองพบกัน ถึงแม้ว่าเมิ่งฮ่าวจะมีพื้นฐานฝึกตนเทียบเท่ากับก้าวเข้าไปในอาณาจักรเต๋าแล้วก็ตาม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าศิษย์พี่ผู้นี้ เขาก็ยังคง…เป็นศิษย์น้องเหมือนเช่นเคยตลอดไป

นี่คือสิ่งที่จะเป็นไปตราบชั่วชีวิตของคนทั้งสอง

เขาบอกกับเฉินฝานว่ากำลังจะออกไปจากขุนเขาทะเลที่เก้า เพื่อไปค้นหาสวี่ชิงและนำนางกลับมา

“ข้าตระหนักดีถึงจุดประสงค์ในการมาเยือนของเจ้าครั้งนี้” เฉินฝานกล่าวขึ้นอย่างเงียบๆ “พวกเราเป็นผู้ฝึกตน มีอายุขัยที่ยืนยาว และฟ้าดินก็กว้างใหญ่ เป็นเรื่องดีที่จะได้ไปยังสถานที่ใหม่ๆ ท่องเที่ยวไปในเส้นทางใหม่…ไม่ต้องกังวลกับพวกเราที่อยู่ในขุนเขาทะเลที่เก้าแห่งนี้ พวกเราแต่ละคนต่างก็มีเส้นทางที่แตกต่างกันของตนเอง”

“ข้าก็ดี หลี่ฟูกุ้ยก็ดี ต้องยอมรับในความเป็นจริงข้อนี้เช่นเดียวกับเจ้า ความฝันของพวกเรา…จะกลายเป็นความจริงได้ในที่สุด!” เฉินฝานมองไปยังก้อนศิลาและภาพที่ดูเลือนลางของหญิงสาวข้างใน

“ศิษย์พี่…สักวันหนึ่งถ้าข้าสามารถจะทำได้ ข้าจะต้อง…ช่วยให้พี่สะใภ้ซานหลิงฟื้นคืนชีพขึ้นมาอย่างแน่นอน!” เมิ่งฮ่าวกล่าวเสียงแผ่วเบา เป็นครั้งแรกที่เขากล่าวออกมาเช่นนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับหานซานได้ แต่ด้วยระดับพื้นฐานฝึกตนของเขาในตอนนี้ ก็ไม่มีทางจะสามารถฟื้นคืนชีพใครบางคนที่ตายมาเป็นเวลานานแล้วได้

“เจ้าคิดมากไปแล้ว” เฉินฝานกล่าวขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมา ดวงตาลุกโชนขึ้นด้วยแสงอันอ่อนโยน “สำหรับข้าแล้ว นางยังอยู่ที่นี่ตลอดไป”

เมิ่งฮ่าวจ้องมองไปยังเฉินฝานด้วยความตกตะลึง

“เมื่อเต๋าของเจ้าคือจิตใจ ถ้าเจ้ามีบางสิ่งอยู่ภายในใจ มันก็จะคงอยู่ ถ้าเจ้าไม่มีมันอยู่ในจิตใจ มันก็จะไม่คงอยู่” เฉินฝานโบกสะบัดมือขวาออกไป และบางสิ่งที่คล้ายกับเป็นอาณาจักรก็ปรากฏขึ้น มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก กว้างประมานสามจ้างเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่ออาณาจักรนี้ปรากฏขึ้น เมิ่งฮ่าวก็มองเห็นว่าหญิงสาวที่อยู่ในก้อนศิลากำลังลืมตาขึ้นมา พลังชีวิตของนางดูเหมือนว่าจะฟื้นฟูกลับคืนมา และทันใดนั้น…นางก็เดินออกมาจากก้อนศิลาและนั่งลงไปที่ข้างกายเฉินฝาน มองมายังเมิ่งฮ่าวพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่เอนกายไปพิงไหล่เฉินฝาน

“นี่…” เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เวทแห่งเต๋านี้ทำให้เขารู้สึกว่ากำลังมองไปยังภาพลวงตาในตอนแรก แต่เมื่อตรวจสอบดูหญิงสาวอย่างละเอียด ก็พบว่านางดูไม่เหมือนกับภาพลวงตาแม้แต่น้อย

เฉินฝานมองเข้าไปในดวงตาเมิ่งฮ่าวอย่างลึกซึ้งและกล่าวว่า “สำหรับเจ้าแล้วนางอาจจะดูเหมือนของปลอม แต่สำหรับข้านางคือของจริง…บางครั้งความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เป็นของปลอมและของจริง ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองที่แตกต่าง และจิตใจที่ผิดแผกกันไป”

จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ราวกับว่าเขาเพิ่งจะได้รับความรู้แจ้งบางอย่าง หลับตาลงและเริ่มเข้าฌาน สามวันต่อมาเขาก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ลุกขึ้นยืน ประสานมือและโค้งตัวลงให้กับเฉินฝาน

“ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำ ศิษย์พี่” เขากล่าว ถึงแม้ว่าพื้นฐานฝึกตนของเขาจะสูงกว่าของเฉินฝาน แต่พฤติกรรมของเฉินฝานก็ทำให้เขาได้รับความรู้แจ้งเกี่ยวกับเต๋าของจริงและของปลอมได้อย่างน่ามหัศจรรย์ นั่นคือเหตุผลที่ทำไมเฉินฝานถึงได้ฝึกฝนกระบี่จิตใจได้สำเร็จ และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมสำนักกระบี่ไท่สิงถึงมองว่ามันคือคนที่สำคัญมากเช่นนั้น

“ไปเถอะ นำศิษย์น้องสวี่ชิงกลับมาให้ได้ ข้าไม่เห็นนางมานานแล้ว รู้สึกคิดถึงเป็นอย่างยิ่ง” แววตาที่ให้กำลังใจของเฉินฝานสาดประกายขึ้น เมิ่งฮ่าวสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ พยักหน้าและจากไป

จุดหมายปลายทางของเขาต่อมาคือลั่วเยี่ยหู (ทะเลสาบจันทร์ลาลับ) หนึ่งในห้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ สถานที่แห่งนั้นไม่ได้งดงามเหมือนกับนามของมัน เมิ่งฮ่าวไม่เคยติดต่อกับสำนักแห่งนี้ แต่ก็ตระหนักดีว่าวิชาเวทของลั่วเยี่ยหูเหมือนกับเต๋าแห่งปีศาจ!

เมื่อดวงจันทร์ลอยสูงอยู่ในท้องฟ้า มันก็ควรจะเป็นยามราตรี แต่ก็ยังคงมีแสงสว่างอยู่ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ดวงจันทร์ตกลงไปแล้ว ตอนที่ดวงตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา ก็ไม่มีความมืดมิดของยามราตรีแม้แต่น้อย

ทะเลสาบจันทร์ลาลับ มีความหมายว่าเช่นนี้!

หวังโหย่วฉายเหมาะสมกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง เดิมทีมันเป็นคนที่โหดร้ายอยู่แล้ว มันปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความโหดร้าย และ…ปฏิบัติต่อตนเองด้วยความโหดร้ายยิ่งกว่า เพื่อที่จะมีพลังการฝึกตนที่ก้าวหน้าขึ้นและสร้างเป็นวิชาเวทของตนเอง เพื่อที่จะมองเห็นได้ไกลเกินกว่าที่ตนเองเคยเห็นมา…มันถึงกับต้องควักลูกตาของตนเองออกมา

การกระทำที่โหดร้ายเช่นนี้ ทำให้ผู้อาวุโสของลั่วเยี่ยหูเกิดความสนใจขึ้นมา และกระตุ้นให้พวกมันต้องรีบนำหวังโหย่วฉายกลับมาเพื่อช่วยให้ก้าวหน้ามากขึ้นกว่าเดิม

ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะคิดว่า มันอยู่ในโลกที่มืดมิดไปโดยสิ้นเชิง แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีใครรู้ จริงๆ แล้วหวังโหย่วฉายมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง

ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่มันสร้างขึ้นมา ยังคงอยู่ในจิตใจมันไปตลอดกาล นับจากนั้นเป็นต้นมา มันก็สามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งได้อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะไร้ดวงตาก็ตามที

หลังจากที่มายังลั่วเยี่ยหู ความดุร้ายและโหดเหี้ยมของมันยิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม หลังจากที่ผ่านการต่อสู้อย่างดุร้ายมาหลายครั้ง ทั้งคนในสำนักของมันและคนอื่นๆ ต่างก็พร้อมใจกันตั้งฉายามันว่านักฆ่าดวงตาปีศาจ

คำว่า ‘ปีศาจ’ มีความหมายในแง่ของความเคารพ คำว่า ‘ดวงตา’ อ้างอิงถึงเบ้าตาที่ว่างเปล่าทั้งสองข้างบนใบหน้าของมัน และคำว่า ‘นักฆ่า’…เป็นตัวแทนการสังหารศัตรูของมัน!

เมื่อเมิ่งฮ่าวมาถึงและบอกว่าต้องการจะมาเยี่ยมหวังโหย่วฉาย ศิษย์ซึ่งทำหน้าที่ต้อนรับแขก ก็มองมายังเขาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป เห็นได้ชัดว่าในลั่วเยี่ยหู นามของหวังโหย่วฉายยังน่ากลัวกว่าของเมิ่งฮ่าวซะอีก

ถึงแม้ว่าหวังโหย่วฉายจะยังคงเป็นแค่เซียนเท่านั้น!

เมื่อเขาถูกนำไปยังที่อยู่ของหวังโหย่วฉาย ก็พบว่ามันกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ด้านข้างของสระน้ำสีดำ ใบหน้าที่ดูชั่วร้ายลอยไปมาอยู่ในน้ำ หมุนวนไปรอบๆ ร่างหวังโหย่วฉาย ขณะที่ใบหน้าชั่วร้ายเหล่านั้นกำลังกลืนกินชิ้นเนื้อบางส่วนของมันไป

“ไม่ได้พบกันนานแล้ว เมิ่งฮ่าว” มันกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง เงยหน้าขึ้นจ้องมองมายังเมิ่งฮ่าวด้วยสองเบ้าตาที่ว่างเปล่า

เมิ่งฮ่าวมองไปยังมันและถอนหายใจออกมา

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ หวังโหย่วฉายก็กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ “ไม่จำเป็นต้องถอนหายใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมาพร้อมกับค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายออกไป”

ใบหน้าที่อยู่รอบๆ ตัวมัน ยังคงฉีกทึ้งชิ้นเนื้อมันไปอย่างต่อเนื่อง แต่มันก็ไม่ขมวดคิ้วแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่ามันคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้

“เหล่านี้คือบุคคลที่ข้าสังหารมาทั้งหมด ข้าดึงวิญญาณของพวกมันออกมา ปล่อยให้พวกมันเคี้ยวข้าตลอดทั้งวันและคืน มีแต่ทำเช่นนี้เท่านั้นข้าถึงจะสามารถรู้สึกได้ถึงความเกลียดชังของพวกมัน และมองเห็นโลกที่มีสีสันรอบๆ ตัวข้าได้”

เมิ่งฮ่าวมองไปยังหวังโหย่วฉายและแอบถอนหายใจออกมา คนทั้งสี่ที่ถูกนำตัวมาจากภูเขาต้าชิงเมื่อหลายปีก่อนโน้น รวมทั้งตนเอง, เจ้าอ้วน, หวังโหย่วฉาย และต๋งหู่…เจ้าอ้วนมีชีวิตที่ปราศจากความวิตกกังวลใดๆ และหวังโหย่วฉายก็เป็นผู้ที่โหดร้ายมากที่สุด สำหรับต๋งหู่ถึงแม้ว่าจะหายสาบสูญไปนานแล้ว แต่เมิ่งฮ่าวก็ยังคงรู้สึกว่า…มันน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่ง กำลังกระทำเรื่องราวที่ฟ้าสะท้านดินสะเทือนอยู่

เมิ่งฮ่าวนั่งเข้าฌานพร้อมกับหวังโหย่วฉายตลอดทั้งคืน วันต่อมาเขาลุกขึ้นมายืน หันหลังเพื่อจากไป แต่ทันใดนั้นหวังโหย่วฉายก็กล่าวขึ้นว่า “เมิ่งฮ่าว…พวกเราคือสหายกัน ใช่หรือไม่…?”

เมิ่งฮ่าวมองกลับไปและกล่าวตอบว่า “พวกเราคือสหายกันเมื่อในอดีต พวกเราเป็นสหายกันในตอนนี้ และพวกเราจะเป็นสหายกันต่อไปในวันข้างหน้า”

หวังโหย่วฉายหัวเราะออกมา เป็นเสียงหัวเราะที่แหบแห้ง แต่ก็ไม่เสียดแทงแก้วหู นี่คือบุรุษหนุ่มที่ชอบวางท่าใหญ่โตคนเดียวกับตอนที่ย้อนกลับไปบนภูเขาต้าชิง ซึ่งคิดว่าตนเองมีอายุมากที่สุด จึงต้องดูแลสหายคนอื่นๆ

“เมิ่งฮ่าว เจ้าต้องกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเท่าที่สามารถจะทำได้ และให้เร็วที่สุด…ดวงจันทร์ตกลงไปแล้ว และดวงตะวันก็ไม่โผล่ขึ้นมา…ความมืดมิดยามราตรีปกคลุมมาแล้ว…จนยากที่จะบอกได้ว่ามันจะคงอยู่ไปนานแค่ไหน”

“ข้ามองเห็น และรู้สึกได้ว่าในที่สุด…ความวุ่นวายครั้งใหญ่…จะเกิดขึ้นมา!”

เมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน ถึงแม้เขาจะรู้ว่าสิ่งที่มันกำลังพูดถึงนั้นคืออะไร แต่ก็ไม่เคยคาดคิดว่าหวังโหย่วฉายจะรับรู้ได้เช่นกัน เขาจ้องมองไปยังมันอย่างลึกซึ้งสักพัก จากนั้นก็จากไป

ร่างเมิ่งฮ่าวจางหายไปในที่ห่างไกลอย่างช้าๆ ทิ้งลั่วเยี่ยหูให้อยู่ที่ด้านหลัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!